”แน่นอน” หลิง อี้หรานตอบ ขณะที่หลิง อี้หรานวางโทรศัพท์ของเธอ เธอก็ได้ยินเสียงของอี้ จิ่นหลี “นั่นเป็นสายจากชิน เหลียนอี เหรอ?” “ใช่” "ทำไม? พี่ขอให้ไป๋ ทิงซิน ช่วยทำคดีของพี่เหรอ?” เขาถาม “ก็ไม่เชิง” หลิง อี้หรานกล่าว “เธอเพิ่งขอให้ไป๋ ทิงซิน สอบสวนพยานในเมืองเอส เธอบอกว่าพยานถูกคุมขัง และเขามีวิธีที่จะทำให้พยานพูดได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองเอส” แม้ว่าชิน เหลียนอีจะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หลิง อี้หรานซึ่งอดีตเคยเป็นทนายความมาก่อนก็พอรู้ที่จะจัดบางสิ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดคุยกับชายผู้ถูกคุมขัง แต่ด้วยความสามารถของเหลียนอี จึงไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เป็นฝีมือของไป๋ ทิงซินนั่นเองที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ตามนี่เป็นธุระของเธออย่างชัดเจน แต่เธอปล่อยให้เหลียนอีเป็นหนี้บุญคุณไป๋ ทิงซินอีกครั้งได้อย่างไร เหลียนอีต้องทำเพื่อเธอมากขนาดไหน? เธอจะสามารถตอบแทนเหลียนอีได้อย่างไร? หัวใจของหลิง อี้หรานหนักอึ้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของอี้ จิ่นหลี “ผมจะไปกับพี่ในวันพรุ่งนี้” อี้ จิ่นหลีกล่าว “ไม่เป็น
“คุณคิดว่า ผมควรจะบอกให้เธอรู้ความจริงไหม?” อี้ จิ่นหลีถามเบา ๆ แต่มีความรู้สึกเย็นชาอยู่ในดวงตาของเขา ทันใดนั้นร่างกายของเกา ฉงหมิง ก็สั่นสะท้าน เขารู้ว่าเขาเผลอพูดแทงใจดำของเจ้านาย เกี่ยวกับคดีความและหลิง อี้หราน... นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายน้อยอี้จะปล่อยให้คนนอกสอดรู้สอดเห็น สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่ทำตามคำสั่งของนายน้อยอี้ “ฉันกำลังจะไปที่เมืองเอสแล้วค่ะ” เกา ฉงหมิง กล่าว จากนั้นเขาก็ออกไป เมื่อเขาออกจากที่นั่น เขาก็เห็นหลิง อี้หราน เดินตรงมาหาเขา “คุณกำลังมองหานายน้อยอี้หรือเปล่าครับ คุณหลิง?” เกา ฉงหมิงถามด้วยความเคารพ เขารู้อยู่ในใจว่าเธอจะเป็นนายหญิงของตระกูลอี้หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้ว่านายน้อยอี้เหมือนแค่เล่นกับผู้หญิงคนนี้ในตอนแรก แต่ตอนนี้เขาจริงจังกับเธอมาก สามารถพูดได้เลยว่าเขาไม่เคยเห็นนายน้อยอี้จริงจังกับผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ห่าว อี้เหมิงซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวจากการเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ แต่นายน้อยอี้ก็ไม่เคยจริงจังเลย อย่างไรก็ตามหลิง อี้หรานได้สิ่งนั้นไป มีเพียงไม่กี่คนในเมืองเฉินที่จะคาดคิดถึงสิ่งนี้ “ใช่ค่ะ” หลิง อี้หรานตอบ
”ไม่มีอะไร ผมแค่อยากจะกอดพี่ไว้แบบนี้สักพัก” เขากระซิบ ใบหน้าของเขาแนบลึกลงไปที่คอของเธอและพลันดมกลิ่น ราวกับว่าแค่กอดเธอแบบนี้จะทำให้เขาสบายใจได้ หลิง อี้หรานคิดว่าพฤติกรรมของอี้ จิ่นหลี ในตอนนี้เหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ เขาเหมือนเด็กที่กำลังจับของเล่นล้ำค่า เธอเป็นของเล่น หลิง อี้หรานยกมือขึ้นและกอดอี้ จิ่นหลีกลับอย่างนุ่มนวล ในขณะที่เธอวางมือรอบตัวเขา ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นในหูของเธอ “ผมชอบวิธีที่พี่กอดผมนะพี่สาว พี่จะกอดผมอีกหน่อยไหม?” น้ำเสียงของเขาเป็นที่รักใคร่ เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ “ได้สิ” เธอตอบในขณะที่ยังคงกอดเขาไว้ เธอปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ... ... เช้าวันรุ่งขึ้น ชิน เหลียนอีมาถึงทางเข้าของคฤหาสน์อี้ตรงเวลาที่นัดกันไว้ อย่างไรก็ตามนอกจากชิน เหลียนอีแล้ว ไป๋ ทิงซินก็มาด้วยเช่นกัน เขาเป็นคนขับ รถที่เขาขับคือรถราคาถูกของชิน เหลียนอี ไป๋ ทิงซินและอี้ จิ่นหลีจ้องมองหน้ากันที่ประตูคฤหาสน์อี้ ในขณะที่ชิน เหลียนอีได้เริ่มลากหลิง อี้หรานไปที่ด้านหลังของรถเพื่อที่พวกเขาจะได้พูดคุยกันอย่างอิสระ
หลังจากที่ไป๋ ทิงซินทำสิ่งนี้และบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ยกย่องไป๋ ทิงซินอย่างมาก แน่นอนหลังจากยกย่องเขา ไป๋ ทิงซินก็ใช้ประโยชน์จากเธอ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้การถูกไป๋ ทิงชิน เอาเปรียบ เธอไม่ได้รังเกียจแต่เธอกลับสนุกกับมัน ชิน เหลียนอีเคยวิเคราะห์ตัวเองมานานแล้วว่าทำไมเธอถึงทำตัวแบบนั้น ในที่สุดเธอก็สรุปได้ว่าอาจเป็นเพราะใบหน้าของไป๋ ทิงซิน ท้ายที่สุดรูปลักษณ์ของเขาก็เหมือนกับถ้วยชาของเธอ เธอหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์มากจนยากที่เธอจะไม่ได้รับผลกระทบ ผู้คนไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์ ที่มองเห็นและได้กลิ่นอายของชายสองคนที่มองหน้ากันนอกรถนั่นช่างไม่กลมกลืนเหมือนของผู้หญิงสองคนที่อยู่บนรถ “ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะไปกับเราในวันนี้ คุณนายน้อยแห่งตระกูลอี้” ไป่ ทิงซิน กล่าว “อี้หรานเป็นแฟนของฉัน แน่นอนว่าฉันจะต้องไป ฉันเป็นห่วงเธอ” อี้ จิ่นหลีตอบเบา ๆ “อย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคนที่เสียชีวิตในคดีของหลิง อี้หราน คือคู่หมั้นของคุณ ห่าว เหมยยวี่ คุณนายน้อยแห่งตระกูลอี้ คุณเชื่อว่าหลิง อี้หรานมีความผิดหรือบริสุทธิ์?” ดวงตาของอี้ จิ่นหลีเปลี่ยนไปอย่างเย็นชา สายตาของเขาจ้อ
ชายทั้งสองคนได้เข้าไปในรถ ขณะที่ผู้หญิงสองคนได้นั่งอยู่ที่เบาะหลังแล้ว ไป๋ ทิงซินขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ ในขณะที่อี้ จิ่นหลีนั่งลงที่นั่งข้างคนขับเมื่อรถแล่นอยู่บนถนน ชิน เหลียนอีก็รู้สึกราวกับว่ารถยนต์คันเก่าของเธอได้รับการปรับปรุงให้ดูดีขึ้น คนอื่น ๆ คงจะตกใจถ้าพวกเขารู้ว่าประธานของอี้ กรุ๊ป และประธานของ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป อยู่ในรถคันเดียวกันระหว่างทางไปที่นั่น ชายสองคนที่อยู่แถวหน้าเงียบสงบ ขณะที่ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังคุยกันอย่างออกรสชิน เหลียนอีเป็นฝ่ายพูดส่วนใหญ่ ในขณะที่หลิง อี้หรานตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนพูด“เมื่อเร็ว ๆ นี้มีละครเรื่องหนึ่งได้รับความนิยมมาก ชื่อว่า The King's Lover เธอได้ดูไหม?” ชิน เหลียนอีถามหลิง อี้หราน ส่ายหัว เธอต้องทำงานตอนกลางวันและกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำแล้ว เธอมีเวลาอ่านอย่างมากแค่ข่าวต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตก่อนเข้านอนเท่านั้น“สนุกมาก เนื้อเรื่อง... จุ๊ ๆ... ฉันบอกเธอไม่ได้ ไว้ฉันจะเอาลิงค์ให้เธอทีหลังนะ นักแสดงนำชายคือเกา จิ้งชานที่เธอเคยชอบมากในตอนนั้นไง” ชิน เหลียนอีกล่าว เธอกลับมาสนใจจากนักแสดงอีกครั้งเพราะละครทางทีวีเธอเป็นแฟนคลั
เขาโกรธที่เขารู้สึกอิจฉานักแสดง แม้จะเป็นเพียงแค่บทบาททางทีวีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเขาสามารถยอมรับมันได้เพราะชิน เหลียนอีถ้าเขากดดันเธอ ยังไงเธอก็ทนได้ แต่ถ้าเขาทำดีกับเธอ เธอก็จะได้ใจและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลยไป๋ ทิงซินรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อชิน เหลียนอี บอกว่าหลิง อี้หราน ก็เป็นแฟนของเกา จิ้งชาน เหมือนกันดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ต้องรู้สึกขมขื่น!อี้ จิ่นหลีและไป๋ ทิงซินผลัดกันขับรถคนละครึ่งทาง เมื่อพวกเขาไปถึงศูนย์กักกันในเมืองเอส ก็เป็นเวลาเก้าโมงแล้วไป๋ ทิงซินจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกับห้องประชุมในห้องมีหน้าจอขนาดใหญ่หลายจอตั้งอยู่ ที่กำลังแสดงภาพของห้องประชุม พวกเขาสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในห้องประชุมและได้ยินการสนทนาของผู้คนที่อยู่ข้างในได้หลังจากนั้นไม่นานผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นคนกลางก็เข้ามาในห้องที่หลิง อี้หรานอยู่ หลิง อี้หรานจึงบอกประเด็นสำคัญที่เธอได้คิดขึ้นมาและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับวิธีตั้งคำถามเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างแท้จริง และเขาได้คิดคำถามมากมายโดยไม่ต้องรบกวนหลิง อี้หรานหลิง อี้หรานรู้
โหยว เหลยกระพริบตาด้วยความรู้สึกผิด พร้อมกับกล่าวว่า “คุณหมายถึงอะไร? ผมเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ อะไรคือการทีคุณบอกว่าไม่สะอาด?”“ยังไงก็ตาม เมื่อวานนี้ผมไปที่บ้านพ่อแม่ของคุณเพื่อพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับคุณ พวกเขาทั้งคู่สื่อสารโดยใช้ภาษาของเมืองเฉิน พวกเขามาจากเมืองเฉินหรือเปล่า?” ผู้ไกล่เกลี่ยกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ“ครับ พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในเมืองเฉิน”“คุณเคยอาศัยอยู่ในเมืองเฉินด้วยใช่หรือไม่? ทำไมคุณถึงย้ายมาที่เมืองเอสล่ะ? เมืองเฉินดีกว่าเมืองเอสตั้งเยอะ” ผู้ไกล่เกลี่ยกล่าวราวกับว่าพวกเขากำลังคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ“เมืองใหญ่มีแต่ความกดดัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะเล็กกว่า แต่ก็รู้สึกสบายใจที่จะอยู่มากกว่า”“ก็จริงครับ” ผู้ไกล่เกลี่ยยิ้มและกล่าวทันทีว่า “ผมเกือบลืม ผู้ชายที่คุณสร้างบาดแผลในใจให้เขา เขาขอให้ผมถามคุณเกี่ยวกับคุณห่าว เขาบอกว่าถ้าคุณกลัวที่จะถูกเปิดโปง คุณควรจ่ายเงินตามที่เขาเรียกมาหรือไม่อย่างนั้นเขาจะประกาศให้โลกรับรู้”ใบหน้าของโหยว เหลยพลันเป็นซีดเผือก แม้ว่าเขาพยายามจะข่มความกลัวไว้ในใจอย่างหนัก “คุณห่าว... ผมไม่รู้ว่าเขาจะเปิดโปงอะไร แต่ผมเป็นพยานในคดีที่เหยื
หากผู้ปกครองท้องถิ่นแห่งเมืองเฉินต้องการช่วยใครสักคนในการแก้ไขคดีก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน!นอกจากนี้อี้หรานยังเป็นผู้บริสุทธิ์! ใครที่อยู่เบื้องหลัง รับรองว่าต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน!ชิน เหลียนอีโล่งใจ จากใบหน้าที่เศร้าหมองของเธอก็สว่างสดใสขึ้น “ใกล้เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันเถอะ”หลิง อี้หรานพยักหน้าและทั้งสี่คนก็เดินออกจากศูนย์กักกันก่อนที่จะเข้าไปในรถของพวกเขาชิน เหลียนอีกำลังยุ่งอยู่กับการดูรายการอาหารแนะนำในเมืองเอส และพบร้านอาหารหลายแห่งที่น่าสนใจ จากนั้นเธอก็ขอให้หลิง อี้หรานช่วยเลือกร้านอาหาร ชายทั้งสองคนไม่มีท่าทีคัดค้านอะไร ไป๋ ทิงซินจึงขับรถไปที่ร้านอาหารร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเมืองเอส พวกเขาทั้งสี่คนลงจากรถ และขอห้องส่วนตัวก่อนที่จะเริ่มสั่งอาหารแน่นอนว่าชิน เหลียนอีเป็นคนสั่งอาหารซะส่วนใหญ่ แต่เธอก็สั่งตามรายการคำแนะนำที่เธอได้อ่านบนอินเทอร์เน็ตจากที่ชิน เหลียนอีได้สั่งอาหารตามรายการคำแนะนำ เธอพบว่ามีอาหารยี่สิบจานหรือมากกว่านั้น แต่พวกเขากลับมีเพียงกันสี่คน เธอจึงพูดอย่างเขิน ๆ ว่า “ดูเหมือนว่าเราจะสั่งกันเยอะไปหน่อย”“คุณจะสั่งอะไร