นั่นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเธอ เธอรู้สึกว่าไม่มีความหมายสำหรับเธอที่จะอยู่ต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะเหลียนอีที่มาเยี่ยมเธอบ่อย ๆ เธอก็คงไม่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ คุณหมอถอนหายใจ “ให้สูตินารีแพทย์ตรวจดูผลของคุณ และดูว่ามีอะไรที่เราสามารถทำได้หรือเปล่า” “มีอะไรที่ทำได้อีกหรือคะ?” หลิง อี้หรานตะลึงไปชั่วขณะ “มีวิธีอื่นอีกหรือคะ?” “คุณยังอายุน้อย เราไม่สามารถบอกได้ว่าโอกาสของคุณเป็นศูนย์ นอกจากนี้ในทางการแพทย์ ก็ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความหวังเริ่มงอกเงยขึ้นภายในใจของหลิง อี้หราน แม้ว่าเธอจะรู้ว่าความหวังนั้นมันช่างเล็กน้อยเพียงใด ปต่มันก็ยังคงเป็นความหวัง ใช่ไหมล่ะ? หากมีวิธีที่เธอจะรักษามดลูกได้ นั่นหมายความว่าเธอสามารถมีลูกได้ ถูกไหม? เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของอี้ จิ่นหลีก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ ถ้าเธอสามารถมีลูกได้ แล้วพ่อของเด็กก็จะ... “เอาล่ะ เสร็จแล้ว คุณสามารถลุกขึ้นได้” คำพูดของแพทย์ขัดจังหวะฝันกลางวันของหลิง อี้หราน เธอลุกขึ้นจากเตียงตรวจทันทีและจัดระเบียบเสื้อผ้า เธอรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่รวดเร็วเพราะความคิด
หลังจากที่หลิง อี้หรานพูดเสร็จ เธอก็ไม่ได้อยากที่จะอภิปรายกับกวาน ลี่หลี่ต่ออีก เธอแจ้งพยาบาลที่อยู่กับเธอ และพวกเขาก็ไปที่การตรวจถัดไป กวาน ลี่หลี่ถูกทิ้งไว้ที่จุดเดิม เธอจ้องมองไปทางด้านหลังของหลิง อี้หรานอย่างโกรธแค้น เมื่อเธอหันกลับมาอีกครั้ง เธอก็ต้องเผชิญกับการจ้องมองของเพื่อนร่วมงาน กวาน ลี่หลี่ยิ้มอย่างอับอายและเข้าไปต่อคิวขณะที่รู้สึกพ่ายแพ้ หลังจากผ่านปัญหามามากมาย เธอก็ยังไม่เห็นว่าหลิง อี้หรานจะมีเงินพอที่จะซื้อแพ็คเกจวีไอพีได้ หลังจากที่หลิง อี้หรานตรวจสุขภาพที่จำเป็นทั้งหมดเสร็จแล้ว เธอก็กลับไปที่อี้ จิ่นหลีรออยู่ “เสร็จแล้วเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถาม “เสร็จแล้ว แต่บางส่วนของรายงา สามารถทำได้ในช่วงบ่ายน่ะ” หลิง อี้หรานตอบ “งั้นเราไปกินอาหารเช้ากันเถอะ ตั้งแต่เช้าพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” อี้ จิ่นหลีเสนอ “ได้สิ” หลิง อี้หรานออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับอี้ จิ่นหลี “พี่อยากไปกินที่ไหน?” “ไปหาดูที่ใกล้ ๆ แล้วกัน” ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาเก้าโมงเช้า ร้านแผงลอยส่วนใหญ่น่าจะยังไม่หมด “โอเค” เขายิ้มและจับมือเธอ ขณะที่พวกเขาเดินไปที่แผงขายของที่อยู่ใกล้
หลิง อี้หรานครุ่นคิดและพบว่ามันสมเหตุสมผลเธอจึงพยักหน้าและพูดว่า “โอเค” จากนั้นเธอก็กินอาหารเช้าในขณะที่อี้ จิ่นหลียังคงสังเกตเธอ บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาสังเกตการกระทำของเธอตอนที่เธอกัดแต่ละคำ การเคลื่อนไหวและปาท่องโก๋ รวมถึงการตักเต้าฮวยแต่ละคำของเธอ มันช่างน่ารักมากในสายตาของเขา ผมหางม้า หน้าผากที่เกลี้ยงเกลา และใบหน้าที่สง่างามของเธอ ดวงตาที่ส่องประกายคู่นั้น จมูกเล็ก ๆ และริมฝีปากสีชมพูเหล่านั้น... ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนว่าเธอดูธรรมดาสำหรับเขามาก ตอนที่หลิง อี้หรานกำลังกิน เธอมองไปเรื่อยเปื่อยจนทำให้ดวงตาอัลมอนด์ของเธอสบกับสายตาของอี้ จิ่นหลีมี่กำลังมองเธออย่างจดจ่อ ในเสี้ยววินาทีเธอก็รู้สึกว่าสมองของเธอถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่นั้น “หือออ... มีอะไรเหรอ?” เธอพึมพำ “ไม่มีอะไร ผมแค่เห็นว่าพี่สวยมาก” หลิง อี้หรานตกตะลึง เขาเคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ มากมาย แต่เขาก็ยังพูดแบบนี้กับเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังละเลยการใช้ครีมดูแลผิวของเธอด้วยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เธอรู้ว่าหน้าตาของเธอตอนนี้ คนส่วนใหญ่จะม
“เครื่องครัวและเครื่องนอนสามารถขายได้ที่ร้านขายของมือสอง ส่วนเสื้อผ้าและรองเท้าฉันยังใส่ได้ ฉันจะเอากลับไป” อี้ จิ่นหลีมองไปที่เสื้อผ้าและรองเท้าที่หลิง อี้หรานต้องการนำกลับไปด้วย พวกนั้นมันเป็นเสื้อผ้าเก่า แม้ว่าคุณภาพจะดีแต่สไตล์ก็ล้าสมัยและสีบางส่วนก็ซีดจางแล้ว อี้ จิ่นหลีเข้าใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้น่าจะเป็นของเธอก่อนที่เธอจะต้องเข้าคุก อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไร ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะต้องการให้เงินเธอและบอกให้เธอซื้อใหม่ แต่เขาก็ยังต้องค่อย ๆ ทำสิ่งนั้นอย่างช้า ๆ เขากลัวว่าถ้ารีบเกินไปอาจจะทำให้เธอตกใจได้ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะค่อย ๆ ทะลายกำแพงของเธอกับเขา “ทำไมคุณไม่รอฉันที่นี่? เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว” หลิง อี้หรานกล่าว จากนั้นเธอก็หยิบเครื่องครัว และเครื่องนอนที่เธอเก็บรวบรวมเพื่อนำไปที่ร้านขายของมือสอง อี้ จิ่นหลีเร็วกว่าเธอและแย่งของไปจากเธอ “ให้ผมแบกของพวกนี้เอง เปิดประตูให้ผมหน่อยสิ” "โอ้" เธอตอบและเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดมัน อี้ จิ่นหลีเดินออกจากบ้านพร้อมกับถือถุงเครื่องครัวในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือชุดเครื่องนอน หลิง อี้หรานรีบปิดประต
อี้ จิ่นหลีหยุดเดินชั่วครู่ ขณะที่ดวงตาสีดำของเขากำลังจ้องมาที่เธอ เธองงงวย “มันคืออะไร?” “ถ้าผมหลอกพี่ล่ะ จะทำยังไง?” ทันใดนั้นเขาก็ถาม เธอผงะไปชั่วครู่ ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ หายไป ด้วยความลำบากใจ เธอเม้มริมฝีปากและมองเขาอย่างเคร่งขรึม “จิน ฉันไม่ชอบเวลาที่มีคนมาโกหกฉัน ฉันคิด มาตลอดว่าเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาวเราควรซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างน้อยที่สุดก็คือการไม่โกหกกัน เขาเงียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอ “คุณจะหลอกฉันเหรอ?” เธอถามอีกครั้ง หัวใจของเธอรู้สึกกังวลและไม่สบายใจราวกับว่า เธอกลัวว่าเขาจะตอบว่าใช่ เธอกลัวว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะอยู่ในทัศนคติที่ตรงกันข้ามกัน หากพวกเขาไม่มีทัศนคติที่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปอย่างไร? มือของเขาที่อยู่ข้าง ๆ กำลังกำแน่นอย่างไม่สังเกตเห็น จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ค่อย ๆ ขยับขณะที่เขาเปล่งเสียงออกมา “ผมไม่มีทางที่จะทำแบบนั้น” เมื่อเธอได้ยินคำตอบของเขา เธอรู้สึกราวกับว่าก้อนหินถูกยกออกจากหัวใจของเธอ และถอนหายใจ 'โชคดีที่เขาจะไม่หลอกฉัน' “ทำไมล่ะ พี่กลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งท
เขาคลายการกอดลงเล็กน้อย แต่ยังคงกอดเธอต่อไป “พี่สาว ห้ามบอกผมว่าพี่จะเลิกกับผมอีกนะ ตกลงไหม?” เขาก้มศีรษะลง มีความรู้สึกทุกข์ใจที่เพิ่มขึ้นในดวงตาอันแวววาวของเขา อย่างที่เธอ ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าถ้าเธอบอกเขาว่าเธอต้องการที่จะเลิกราเป็นอะไรที่ทำให้เขาเสียสูญ เธอ... สำคัญกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ? สำคัญมากจนเขายอมรับสถานการณ์สมมุติไม่ได้เลยด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? หลิง อี้หรานรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เธอไม่สามารถดึงมือของตัวเองออกและคืนกอดให้กับเขาได้ “ตกลง จิน ฉันจะไม่พูดคำว่า ‘เลิก’ อีก” สัญญานี้เป็นคำมั่นสัญญาของเธอเช่นเดียวกัน ในขณะนี้เธอไม่ได้คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายและคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังคำสัญญานี้ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนั้น นั่นจะทำให้เธอรู้สึกหดหู่... ในช่วงบ่ายหลิง อี้หรานและอี้ จิ่นหลีกลับไปที่โรงพยาบาล ผลการตรวจสุขภาพของเธอก็พร้อมที่จะรวบรวมแล้ว ปัญหาหลักของเธอมาจากการบาดเจ็บครั้งเก่าของเธอ แม้ว่าอาการ บาดเจ็บเหล่านั้นจะหายเป็นปกติแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่อากาศเย็นและชื้น ข้อต่อบางส่วนของเธอก็
เธอตกใจมาก หน้าของเธอพลันแดงก่ำ “ฉัน... ฉัน...” หลิง อี้หรานรู้สึกตื้ออย่างกะทันหัน ราวกับว่าการตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ มันดูจะผิดทั้งคู่! “พี่ห้ามตอบว่า ไม่ นะ” อี้ จิ่นหลีโอบรอบเอวของหลิง อี้หรานอย่างเจ้ากี้เจ้าการและพูดกับเธอว่า “ถ้าผมมีลูก ผมจะมีลูกกับพี่เท่านั้น ดังนั้น... ถ้าพี่อยากเป็นแม่คน พี่เป็นได้แค่แม่ของลูกผมคนเดียว” ใบหน้าของหลิง อี้หรานพลันแดงขึ้น “นี่มันโรงพยาบาลนะ” ยังคงมีผู้คนเดินไปเดินมาตลอดทาง และมีคนมองมาทางนี้อยู่แล้วขณะที่เขาโอบแขนรอบตัวเธอ “แล้วไง?” ริมฝีปากของเขากดแนบชิดใบหูของเธอ เขาหายใจรดหูและคอของเธอ “พี่เข้าใจที่ผมพูดไปเมื่อกี้ใช่ไหม?” ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับ มันเอาแต่สั่นระริก เสียงและลมหายใจของเขาดูเหมือนทำให้ต้องมนต์สะกด เธอจึงพยักหน้า หลังจากเข้าไปในรถใบหน้าของหลิง อี้หรานก็ยังคงแดงอยู่ อี้ จิ่นหลีกำลังขับรถอยู่และเธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาตรงที่นั่งข้าง ๆ จากมุมมองของเธอ เธอสามารถเห็นโครงร่างด้านข้างที่คมชัด ดวงตาที่ลึกและจมูกที่โด่ง หน้าของเขาดูโดดเด่นกว่า คนเอเชียทั่วไป ลักษณะของเขา สันกรามและคอของเขาล้วนดูงดงาม ถ้า
”แน่นอน” หลิง อี้หรานตอบ ขณะที่หลิง อี้หรานวางโทรศัพท์ของเธอ เธอก็ได้ยินเสียงของอี้ จิ่นหลี “นั่นเป็นสายจากชิน เหลียนอี เหรอ?” “ใช่” "ทำไม? พี่ขอให้ไป๋ ทิงซิน ช่วยทำคดีของพี่เหรอ?” เขาถาม “ก็ไม่เชิง” หลิง อี้หรานกล่าว “เธอเพิ่งขอให้ไป๋ ทิงซิน สอบสวนพยานในเมืองเอส เธอบอกว่าพยานถูกคุมขัง และเขามีวิธีที่จะทำให้พยานพูดได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองเอส” แม้ว่าชิน เหลียนอีจะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หลิง อี้หรานซึ่งอดีตเคยเป็นทนายความมาก่อนก็พอรู้ที่จะจัดบางสิ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดคุยกับชายผู้ถูกคุมขัง แต่ด้วยความสามารถของเหลียนอี จึงไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เป็นฝีมือของไป๋ ทิงซินนั่นเองที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ตามนี่เป็นธุระของเธออย่างชัดเจน แต่เธอปล่อยให้เหลียนอีเป็นหนี้บุญคุณไป๋ ทิงซินอีกครั้งได้อย่างไร เหลียนอีต้องทำเพื่อเธอมากขนาดไหน? เธอจะสามารถตอบแทนเหลียนอีได้อย่างไร? หัวใจของหลิง อี้หรานหนักอึ้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของอี้ จิ่นหลี “ผมจะไปกับพี่ในวันพรุ่งนี้” อี้ จิ่นหลีกล่าว “ไม่เป็น