“คุณคือ หลิง อี้หราน” สิ่งที่ ไป๋ ทิงซิน พูดนั้นไม่ใช่คำถาม แต่มันคือการยืนยันตัวตน หลังจากที่เขาได้เห็น ชิน เหลียนอี ที่ถนนในวันนั้น เขาก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับชิน เหลียนอี และแน่นอนว่า ในบางส่วนของส่วนประกอบข้อมูลทั้งหมดที่เขาหาได้นั้นก็คือ หลิง อี้หราน เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของชิน เหลียนอี มันเป็นเพราะ ชิน เหลียนอี ต้องไปช่วยในเรื่องคดีของ หลิง อี้หราน จนทำให้ชิน เหลียนอี ต้องบินกลับจากต่างประเทศอย่างไวที่สุดเช่นกัน เธอทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ก็เพื่อจะช่วยหลิง อี้หราน ไม่ว่าจะเรื่องการหาทนายความ และหาหลักฐานต่าง ๆ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นเพราะ หลิง อี้หราน นั้นแหละ ที่ทำให้ชิน เหลียนอี ต้องทิ้งเขาไปอย่างกะทันหัน ไป๋ ทิงซิน รู้สึกอึดอัดหัวใจแปลก ๆ เมื่อเขาต้องนึกถึงเรื่องนี้ ถ้า หลิง อี้หราน ไม่ได้เป็นผู้หญิง ไป๋ ทิงซิน อาจจะถือว่าเธอเป็นเหมือนคู่แข่งของเขา “คุณไม่มีสิทธิ์ เข้ามายุ่งกับเรื่องระหว่างชิน เหลียนอี กับผม คุณไม่พูดมากในบางสิ่งที่คุณไม่รู้จะดีกว่า ผมไม่ได้มีความเมตตากับผู้หญิงหรอกนะ” ไป๋ ทิงซิน กล่าวอย่างเย็นชา ชิน เหลียนอี เริ่มรู้สึกกังวล “ไป
จากนั้น ไป๋ ทิงซิน ก็หยิบกระดาษสีเหลืองที่ยับยู่ยี่ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกของเขา มีความความเขียนว่า ‘ฉันขอโทษ ฉันต้องไปก่อนนะ’ มันคือกระดาษที่เธอทิ้งไว้ในตอนนั้น เขาพกติดตัวไปกับเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายครั้งที่เขาขยำกระดาษนี้แล้วโยนทิ้งถังขยะด้วยความโกธร แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็เก็บมันขึ้นมาอยู่ดี กระดาษแผ่นนี้ เป็นเหมือนกับหนามในหัวใจของเขา เขาไม่สมารถที่จะดึงมันออกมาได้ และก็ไม่อยากที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เธอทิ้งไว้ให้กับเขา ถ้าเขาไม่มีสิ่งนี้เขาก็จะไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเธอ อย่างไรก็ตาม... ตอนนี้เขาได้เจอกับเธอแล้ว! “เหลียนอี... ชิน เหลียนอี...” เขาพึมพำชื่อของเธอซ้ำไปซ้ำมา และริมฝีปากบาง ๆ ของเขา ก็จูบลงบนกระดาษในมือ เขาดูเหมือนว่าจะติดมันมาก ... ชิน เหลียนอี เดินตามหลิง อี้หราน ไปที่รถของอี้ จิ่นหลี และเธอก็พูดกับพวกเขาว่า “ขอบคุณนะ” อี้ จิ่นหลี พูดเบา ๆ “ผมจะไปส่งคุณก่อน คุณพักอยู่ที่ไหน?” ชิน เหลียนอี รีบบอกที่อยู่ของเธอให้เขารู้ หลิง อี้หราน ยังรู้สึกเป็นกังวล “ไป๋ ทิงซิน ไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?”“เขาก็แค่ให้ฉันนั่งบนเก้าอี้ แล
นอกจากนี้ ถ้าผู้ชายอย่างเขาตกอยู่ในอันตราย มันก็ไม่สำคัญอะไรเลย แม้ว่าเธอจะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่าก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะหักขาตัวเอง มันก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรต่อเขาเลย ความเงียบของเธอ ทำให้แววตาของเขาพล่ามัว เขาสตาร์ทรถและขับไปโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ในตอนนั้น หลิง อีหราน ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยนอกจากนิ่งเงียบ และอึดอัดในตอนที่อยู่ในรถ วันรุ่งขึ้น หลิง อี้หราน ไปหาชิน เหลียนอี เธอทั้งสองหาโต๊ะอารหารนั่งในร้านอาหารที่อยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของชิน เหลียนอี เมื่อเธอมองไปที่เพื่อนสนิทของเธอ ก็เห็นว่ามีรอยคล้ำรอบดวงตาที่เห็นได้ชัด หลิง อี้หราน คิดว่าเมื่อคืนเธอคงนอนไม่ค่อยหลับ “เมื่อวานนี้หลังจากที่เธอกลับมาบ้าน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลิง อี้หราน ถาม “อย่าไปพูดถึงมันเลย ตอนที่ฉันกลับไปถึงบ้าน พ่อแม่กำลังเตรียมทำโทษฉัน ฉันเกือบโดนนั่งคุกเข่าบนกระดานซักผ้า” ชิน เหลียนอี กล่าว หลิง อี้หราน ทำหน้าสงสัย “ทำไมเธอไม่บอกกับพวกเขา เกี่ยวกับเรื่องไป๋ ทิงซิน?” “เอ่อ... ฉันบอกพวกเขาว่า เพื่อนที่ฉันไม่ได้เจอมานาน แค่แกล้งฉันเล่นนิดหน่อย แต่ฉันเผลอบอกพวกเขาไป แต่ทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง” ชิน เหลียน
“ถ้าถึงตอนนั้นเธอจัดการมันไม่ได้ ก็บอกกับฉันนะ แล้วฉันจะ...” หลิง อี้หราน ถูกชิน เหลียนอี ขัดจังหวะ “เมื่อวานเธอช่วยฉันมามากแล้ว อี้หราน ถ้าไม่เป็นเพราะเธอ ฉันคิดว่า อี้ จิ่นหลี ก็คงไม่มาช่วยฉัน จบเรื่องทั้งหมดนี้กับไป๋ ทิงซิน แน่นอน ฉันจะปล่อยให้เขามาลงที่ฉันเอง” ชิน เหลียนอี พูดอย่างนุ่มนวล แต่หลิง อี้หราน ก็ยังเป็นกังวล มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? “เฮ้ ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าฉันจะจากไป๋ ทิงซิน โดยที่ไม่ได้บอกลา แต่ฉันก็ไม่ได้ไปฆ่าใครหรือยิงเขานิ และฉันก็ไม่ได้ข้องใจอะไรกับเขา มันก็เป็นแค่… คืนเดียวเท่านั้น ฉันคิดว่าเขาคงไม่ยากเกินไปสำหรับฉัน” ชิน เหลียนอี ทำให้เพื่อนสนิทของเธอมั่นใจ สุดท้ายแล้ว แค่เรื่องของอี้ จิ่นหลี มันก็หนักมากพอสำหรับเพื่อนสนิทของเธอแล้ว เธอจึงไม่อยากให้เพื่อนรักของเธอต้องมากังวลเรื่องเธออีก “อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอมีปัญหาอะไร ต้องบอกกับฉันนะ!” หลิง อีหราน กล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าฉันจะช่วยเธอไม่ได้ แต่ฉันขออี้ จิ่นหลี ได้ บางทีเขาอาจจะช่วยได้นะ” หลิง อี้หราน รู้สึกอายอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเธอพูดว่าจะขอความช่วยเหลือจาก อี้ จิ่นหลี ซิน เหลียนอี รู้ดีว่าเมื่อวานเ
“ขึ้นมา” ปากบาง ๆ ของเขาพูดสองคำนี้ออกมา คำพูดเป็นนัย ๆ ของการต่อสู้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของชิน เหลียนอี อย่างกะทันหัน โทรศัพท์เครื่องนั้นของเธอมีค่า แต่อิสรภาพของเธอนั้นมีค่ายิ่งกว่า เธอไม่อยากถูกขังให้อยู่ในห้องของเขานานหลายชั่วโมงแบบเมื่อวาน ถ้า อี้หราน ไม่มากับอี้ จิ่นหลี เพื่อพาเธอออกมาเมื่อวาน เธอก็รู้ไม่เลยว่าเมื่อไหร่เธอจะได้ออกมา “ไม่เป็นไร ฉันกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนโทรศัพท์อยู่พอดี ฉันไม่ต้องการโทรศัพท์เครื่องเก่าแล้ว” ชิน เหลียนอี พูดอย่างกลัว ๆ “คุณไม่ต้องการรูปถ่ายและบัญชีอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในโทรศัพท์ของคุณแล้วเหรอ? ผมคิดว่ามันมีข้อมูลในบริษัทของคุณอยู่ด้วยนะ” ไป๋ ทิงซิน พูดเบา ๆ “ถ้าคุณไม่ต้องการแล้ว ก็ช่างมันเถอะ” นี่มัน... ภัยคุกคาม! ชิน เหลียนอี กัดฟัน แต่ปัญหาคือโทรศัพท์ของเธอมีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน หรือว่า... เขาปลดล็อกโทรศัพท์ของเธอ แล้วเจอรูปถ่ายและข้อมูลในนั้น? แล้วบัญชีโซเซียวต่าง ๆ ของเธอ... เขาก็สามารถถอดรหัสได้ใช่ไหม? “ทำไมคุณถึง?” เธอพูดด้วยความโกรธ “คุณอยากขึ้นามาหรือไม่?” เขาถามโดยไม่ตอบ เธอรู้สึกหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ ที่เธอไม่สามรถจะกลืนหร
ชิน เหลียนอี กระพริบตา อะไรกัน... เขาจะไม่ให้โทรศัพท์เธอคืนเหรอ?“ฉันต้องให้เงินคุณไหม?” ชิน เหลียนอี รู้สึกโง่ที่ถามออกไปแบบนั้น ด้วยสถานะของเขา เขาจะสนใจเรื่องเงินเหรอ?แน่นอนว่าเขายิ้มเยาะและมองเธอราวกับเป็นคนโง่“แล้วคุณต้องการอะไร?” เธอถามก่อนหายใจเข้าลึก ๆ ถ้าเธอไม่ได้เสี่ยงทำอะไรเลย เธอก็อยากลองเสี่ยงทำทุกอย่างดูสักครั้ง เธอเดาว่าเขากำลังใช้โทรศัพท์ของเธอเพื่อระบายความโกรธที่มีต่อเธอเมื่อสามปีก่อนเธอจะปล่อยให้เขาระบายความโกรธออกมา“ตลอดสามปีคุณได้คบกับใครไหม?” เขาถามเธอส่ายหัวอย่างสงสัยว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้“แล้วคุณเคยชอบใครหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นอีกครั้งมีหลายครั้งเลยล่ะ ถ้าเธอนับคนดังที่เธอชอบด้วยสิบนิ้วมือของเธอ มันคงไม่เพียงพอ เมื่อหันหน้าไปหาใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขา เธอกลับส่ายหัวอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ“พูดแบบนี้ เหมือนคุณจะมีความสุขกับแฟนอย่างผมใช่ไหม?” เขากล่าวเสริมอย่างไม่เป็นทางการเธอแทบจะสำลักน้ำลาย นั่นเป็นเรื่องที่เธอเคยพูดเมื่อเธอยังเป็นเด็กและเป็นเรื่องที่โง่เขลา! ตามที่เคยคุยกับอี้หราน เขาเป็นเป็นประธานของ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป คนที่ดูแลตระกูลไป๋ ไม่ใช
ใบหน้าแดงก่ำของชิน เหลียนอี เปลี่ยนเป็นซีดเผือก ริมฝีปากของเธอสั่น และกล่าวออกมาว่า “ฉันขอโทษ”เธอเป็นคนพูดคำเหล่านั้นและเธอเองที่เป็นคนไม่ได้ทำตามสัญญา“คุณทำให้ผมผิดหวัง” เขากล่าวภายในรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่านานแค่ไหนจนกระทั่งรถหยุด ชิน เหลียนอี เดินตามไป๋ ทิงซิน ออกจากรถและพบว่ามันเป็นคฤหาสน์หลังเดียวกันกับเมื่อวานที่เขาพาเธอมาชิน เหลียนอี หยุดไม่ได้ที่จะหยุดดูลาดเลาเมื่อคิดได้ว่าเธอถูกขังอยู่ในนั้นในคือที่ผ่านมา“ทำไม คุณกลัวที่จะเข้าไปเหรอ?” ไป๋ ทิงซิน หันหน้ากลับไปมองชิน เหลียนอีเธอขบที่มุมปากเพื่อฝืนยิ้มออกมา “เราคุยกันข้างนอกก็ได้นี่ มันมีค่าเท่ากันแหละ”ไป๋ ทิงซินยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ชิน เหลียนอี ผมมีหลายวิธีที่จะทำให้คุณอยู่ที่นี่ และผมรับประกันเลยว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายที่อี้ จิ่นหลี จะมาช่วยคุณ”ชิน เหลียนอี ตกตะลึง เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟัน ใครสนล่ะ? ถ้าเขาจะทำร้ายเธอ ด้วยสถานะของเธอในตอนนี้ ยังไงเธอก็หยุดเขาไม่ได้ชิน เหลียนอี ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงไป๋ ทิงซิน ยิ้มบางและก้าวไปข้างหน้าขณะที่สองคนก้าวเข้ามาในคฤหา
“ก็... ดี” เธอพูดไม่ออก และปากของเธอเต็มไปด้วยรสชาติของค็อกเทลเธอควรลิ้มรสเครื่องดื่มอย่างช้า ๆ แต่เธอกลับดื่มมันหมดแก้วในคราวเดียว “ไป๋ ทิงซิน คุณต้องการให้ฉันทำอะไรเพื่อจบเรื่องนี้เสียที? บอกฉันมา!”บางทีอาจเป็นเพราะค็อกเทลที่ทำให้เธอรู้สึกกล้าขึ้นและเสียงดังมากขึ้นดวงตาของเขามัวหมองลง “ไม่ว่าคุณจะติดหนี้อะไรผมไว้ คุณจะได้สะสางมันตอนนี้แหละ”เธอเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่เขาราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ฉันต้องสะสางหนี้อะไรก็ตามที่ติดค้างคุณไว้งั้นเหรอ?”“ใช่” เขากล่าวชิน เหลียนอี ยืนขึ้นและสายหัว เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในตัวเธอ ทำไห้เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยฤทธิ์ของค็อกเทลยังแรงเหมือนเดิมเพราะสิ่งนี้ทำให้เธอกล้าขึ้นและทำในสิ่งที่ปกติเธอไม่กล้าทำเหมือนกับตอนที่เธอกำลังปลดซิปเสื้อโค้ทของเธอและถอดมันออกในตอนนี้ไป๋ ทิงซิน หรี่ตามองการกระทำของชิน เหลียนอี ในตอนนี้ ดวงตาของเขามีประกายแวววาวชิน เหลียน ถอดเสื้อโค้ทของเธอออกและเริ่มถอดเสื้อกันหนาวข้างใน เมื่อเสื้อสเวตเตอร์อยู่บนพื้น เธอก็เริ่มถอดเสื้อยืดคอตตอน...“อะไร คุณคิดว่าผมต้องการคุณเหรอ?”