“ขึ้นมา” ปากบาง ๆ ของเขาพูดสองคำนี้ออกมา คำพูดเป็นนัย ๆ ของการต่อสู้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของชิน เหลียนอี อย่างกะทันหัน โทรศัพท์เครื่องนั้นของเธอมีค่า แต่อิสรภาพของเธอนั้นมีค่ายิ่งกว่า เธอไม่อยากถูกขังให้อยู่ในห้องของเขานานหลายชั่วโมงแบบเมื่อวาน ถ้า อี้หราน ไม่มากับอี้ จิ่นหลี เพื่อพาเธอออกมาเมื่อวาน เธอก็รู้ไม่เลยว่าเมื่อไหร่เธอจะได้ออกมา “ไม่เป็นไร ฉันกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนโทรศัพท์อยู่พอดี ฉันไม่ต้องการโทรศัพท์เครื่องเก่าแล้ว” ชิน เหลียนอี พูดอย่างกลัว ๆ “คุณไม่ต้องการรูปถ่ายและบัญชีอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในโทรศัพท์ของคุณแล้วเหรอ? ผมคิดว่ามันมีข้อมูลในบริษัทของคุณอยู่ด้วยนะ” ไป๋ ทิงซิน พูดเบา ๆ “ถ้าคุณไม่ต้องการแล้ว ก็ช่างมันเถอะ” นี่มัน... ภัยคุกคาม! ชิน เหลียนอี กัดฟัน แต่ปัญหาคือโทรศัพท์ของเธอมีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน หรือว่า... เขาปลดล็อกโทรศัพท์ของเธอ แล้วเจอรูปถ่ายและข้อมูลในนั้น? แล้วบัญชีโซเซียวต่าง ๆ ของเธอ... เขาก็สามารถถอดรหัสได้ใช่ไหม? “ทำไมคุณถึง?” เธอพูดด้วยความโกรธ “คุณอยากขึ้นามาหรือไม่?” เขาถามโดยไม่ตอบ เธอรู้สึกหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ ที่เธอไม่สามรถจะกลืนหร
ชิน เหลียนอี กระพริบตา อะไรกัน... เขาจะไม่ให้โทรศัพท์เธอคืนเหรอ?“ฉันต้องให้เงินคุณไหม?” ชิน เหลียนอี รู้สึกโง่ที่ถามออกไปแบบนั้น ด้วยสถานะของเขา เขาจะสนใจเรื่องเงินเหรอ?แน่นอนว่าเขายิ้มเยาะและมองเธอราวกับเป็นคนโง่“แล้วคุณต้องการอะไร?” เธอถามก่อนหายใจเข้าลึก ๆ ถ้าเธอไม่ได้เสี่ยงทำอะไรเลย เธอก็อยากลองเสี่ยงทำทุกอย่างดูสักครั้ง เธอเดาว่าเขากำลังใช้โทรศัพท์ของเธอเพื่อระบายความโกรธที่มีต่อเธอเมื่อสามปีก่อนเธอจะปล่อยให้เขาระบายความโกรธออกมา“ตลอดสามปีคุณได้คบกับใครไหม?” เขาถามเธอส่ายหัวอย่างสงสัยว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้“แล้วคุณเคยชอบใครหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นอีกครั้งมีหลายครั้งเลยล่ะ ถ้าเธอนับคนดังที่เธอชอบด้วยสิบนิ้วมือของเธอ มันคงไม่เพียงพอ เมื่อหันหน้าไปหาใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเขา เธอกลับส่ายหัวอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ“พูดแบบนี้ เหมือนคุณจะมีความสุขกับแฟนอย่างผมใช่ไหม?” เขากล่าวเสริมอย่างไม่เป็นทางการเธอแทบจะสำลักน้ำลาย นั่นเป็นเรื่องที่เธอเคยพูดเมื่อเธอยังเป็นเด็กและเป็นเรื่องที่โง่เขลา! ตามที่เคยคุยกับอี้หราน เขาเป็นเป็นประธานของ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป คนที่ดูแลตระกูลไป๋ ไม่ใช
ใบหน้าแดงก่ำของชิน เหลียนอี เปลี่ยนเป็นซีดเผือก ริมฝีปากของเธอสั่น และกล่าวออกมาว่า “ฉันขอโทษ”เธอเป็นคนพูดคำเหล่านั้นและเธอเองที่เป็นคนไม่ได้ทำตามสัญญา“คุณทำให้ผมผิดหวัง” เขากล่าวภายในรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่านานแค่ไหนจนกระทั่งรถหยุด ชิน เหลียนอี เดินตามไป๋ ทิงซิน ออกจากรถและพบว่ามันเป็นคฤหาสน์หลังเดียวกันกับเมื่อวานที่เขาพาเธอมาชิน เหลียนอี หยุดไม่ได้ที่จะหยุดดูลาดเลาเมื่อคิดได้ว่าเธอถูกขังอยู่ในนั้นในคือที่ผ่านมา“ทำไม คุณกลัวที่จะเข้าไปเหรอ?” ไป๋ ทิงซิน หันหน้ากลับไปมองชิน เหลียนอีเธอขบที่มุมปากเพื่อฝืนยิ้มออกมา “เราคุยกันข้างนอกก็ได้นี่ มันมีค่าเท่ากันแหละ”ไป๋ ทิงซินยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ชิน เหลียนอี ผมมีหลายวิธีที่จะทำให้คุณอยู่ที่นี่ และผมรับประกันเลยว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายที่อี้ จิ่นหลี จะมาช่วยคุณ”ชิน เหลียนอี ตกตะลึง เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟัน ใครสนล่ะ? ถ้าเขาจะทำร้ายเธอ ด้วยสถานะของเธอในตอนนี้ ยังไงเธอก็หยุดเขาไม่ได้ชิน เหลียนอี ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงไป๋ ทิงซิน ยิ้มบางและก้าวไปข้างหน้าขณะที่สองคนก้าวเข้ามาในคฤหา
“ก็... ดี” เธอพูดไม่ออก และปากของเธอเต็มไปด้วยรสชาติของค็อกเทลเธอควรลิ้มรสเครื่องดื่มอย่างช้า ๆ แต่เธอกลับดื่มมันหมดแก้วในคราวเดียว “ไป๋ ทิงซิน คุณต้องการให้ฉันทำอะไรเพื่อจบเรื่องนี้เสียที? บอกฉันมา!”บางทีอาจเป็นเพราะค็อกเทลที่ทำให้เธอรู้สึกกล้าขึ้นและเสียงดังมากขึ้นดวงตาของเขามัวหมองลง “ไม่ว่าคุณจะติดหนี้อะไรผมไว้ คุณจะได้สะสางมันตอนนี้แหละ”เธอเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปที่เขาราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ฉันต้องสะสางหนี้อะไรก็ตามที่ติดค้างคุณไว้งั้นเหรอ?”“ใช่” เขากล่าวชิน เหลียนอี ยืนขึ้นและสายหัว เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในตัวเธอ ทำไห้เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยฤทธิ์ของค็อกเทลยังแรงเหมือนเดิมเพราะสิ่งนี้ทำให้เธอกล้าขึ้นและทำในสิ่งที่ปกติเธอไม่กล้าทำเหมือนกับตอนที่เธอกำลังปลดซิปเสื้อโค้ทของเธอและถอดมันออกในตอนนี้ไป๋ ทิงซิน หรี่ตามองการกระทำของชิน เหลียนอี ในตอนนี้ ดวงตาของเขามีประกายแวววาวชิน เหลียน ถอดเสื้อโค้ทของเธอออกและเริ่มถอดเสื้อกันหนาวข้างใน เมื่อเสื้อสเวตเตอร์อยู่บนพื้น เธอก็เริ่มถอดเสื้อยืดคอตตอน...“อะไร คุณคิดว่าผมต้องการคุณเหรอ?”
เมื่อเขาบอกเธอว่าเขาเป็นลูกนอกสมรส เธอยิ้มอย่างสดใสและกล่าวว่า “คุณเป็นลูกนอกสมรสแล้วยังไง? คุณก็คือคุณและคุณมีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ การที่คนจะประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับชีวิตสมรมของพ่อแม่สักหน่อย”“คุณไม่คิดว่ามันน่าขายหน้าที่ผมเกิดมาเหรอ?”เธอกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ฉันคิดว่าพ่อแม่ของคุณขาดความรับผิดชอบในเรื่องการแต่งงาน ตอนนี้พวกเขามีลูกแล้ว พวกเขาควรแต่งงานกัน แต่ถ้าพวกเขาแต่งงานกันไม่ได้ พวกเขาควรรักษาระยะห่างหรือไม่ก็ควรป้องกันตั้งแต่แรก ไม่เคยมีคำพูดไหนที่บอกว่าการมีความสัมพันธ์โดยปราศจากการแต่งงานเป็นการล่วงละเมิดทางเพศนี่?”เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนั้นถึงพ่อแม่ต่อหน้าเขาเธอจะรู้ไหมว่าบางครั้งคนที่มีความสัมพันธ์กันโดยไม่ได้คำนึงถึงการแต่งงานเพราะมันมีข้อพิจารณาอื่น ๆ อีกมากมายการแต่งงานไม่มีอะไรมากกว่าการเลือกผู้หญิงที่ช่วยให้พวกเขาได้ประโยชน์สูงสุด“คุณอยากมีความสัมพันธ์เพื่อแต่งงานเหรอ?” เขาถาม“แน่นอน” เธอตอบ “ถ้าฉันอยากจะแต่งงานในอนาคต ฉันจะแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันรักมากและเขาก็รักฉันมากเช่นกัน เราจะรักกันและกันตลอดไป บางทีหลังจากนั้นไม่นาน ความรักที่โรแมนติกจ
เขาจับมือของเธอไว้เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หลับใหลอยู่ในที่สุดเขาก็เจอเธอ! เธอไม่ได้มีตัวตนอยู่แค่ในความทรงจำของเขาอีกต่อไป แต่ตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว“วันนี้คุณตอบตกลงแล้ว ผมจะไม่ให้คุณผิดสัญญาอีก” เสียงแผ่วเบาของเขาดังขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงลมสายใจของอีกคนเท่านั้นที่ให้คำตอบเขา...หลิง อี้หราน กลับไปยังคฤหาสน์ อี้ หลังจากเธอสอบสัมภาษณ์เสร็จ การสอบสัมภาษณ์ในวันนี้ค่อนข้างง่ายสำหรับเธอ ผู้สัมภาษณ์แค่ดูใบตรวจสุขภาพร่างกายของเธอและถามคำถามเบื้องต้นเมื่อถูกถามว่าทำไมเธอที่จบการศึกษาด้านกฎหมายที่เก่งกาจถึงอยากเป็นพนักงานส่งอาหาร เธอก็พร้อมที่จะตอบคำถามนั้นแล้ว แต่เธอรู้สึกประหม่าที่จะตอบว่าเธอถูกจำคุกเพราะความผิดเกี่ยวกับการจราจร ดังนั้นใบอนุญาตการเป็นทนายความของเธอถึงถูกเพิกถอนไม่มีคำถามเพิ่มเติมเมื่อเธอตอบเช่นนั้น พวกเขาแค่บอกให้เธอกลับบ้านได้และรอการตอบกลับเธอรู้ว่าเธออาจจะสอบตกการสอบสัมภาษณ์แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลีกเลี่ยงคำถามเช่นนั้นเมือง เฉิน มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่กำลังมองหาพนักงานขนส่งอาหาร หลิง อี้หราน ส่งใบสมัครไปทุก ๆ บ
หลิง อี้หราน ดูตกใจ “คุณว่ายังไงนะ?”“พี่ไม่ได้ยินเหรอ?” อี้ จิ่นหลี ถามด้วยความอดทน “ผมบอกว่าถ้าพี่ไม่ชอบบริษัทนั้น ผมก็จะกำจัดเขาออกไป”ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องธรรมดาอยู่แต่กำจัดออกไปงั้นเหรอ?!รูม่านตาของหลิง อี้หราน หดตัวลงอย่างกะทันหัน เธอกำลังเข้าใจอะไรเขาผิดหรือเปล่า? บริษัทนั้นเป็นมือใหม่ในอุตสาหกรรมการจัดส่งอาหาร แม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าบริษัทที่มีชื่อเสียง แต่ก็มีผลงานที่ค่อนข้างดีเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้เธอยังอ่านเจอข่าวที่ว่าบริษัทนี้กำลังระดมเงินลงทุนอีก 1.7 ล้านดอลลาร์จะกำจัดบริษัทอย่างนั้นง่ายได้ได้อย่างไร?แต่... ถ้าเป็นอี้ จิ่นหลี อะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็จะเป็นไปได้สำหรับเขาอยู่ดี“แค่เพราะฉันไม่ชอบน่ะเหรอ?” เธอถามและมองไปที่อี้ จิ่นหลี ด้วยความตกใจเขายิ้ม “ผมไม่ชอบคนที่เอาความลับของคนอื่นไปขาย ผู้นำบริษัทที่ต้องการผลประโยชน์จากการขายความลับของคนอื่นอาจจะทำอะไรไม่ได้มาก ถ้าผมไม่ได้เข้าไปยุ่ง หรือในกรณีนั้นอาจจะหายไปก่อนหน้า”ทันใดนั้น เธอเริ่มรู้สึกว่ามีคำพูดมากมายติดอยู่ในลำคอเขาหัวเราะและกล่าวถึงความอยู่รอดของบริษัทด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ผู้นำบริษัทอาจจะไม่โทรม
ที่นี่... คือที่ไหน?เธอตะลึง จากนั้นก็เริ่มนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า เธอจึงลุกขึ้นนั่งทันทีเธอดื่มอีกครั้งและยังเมาเหมือนเดิม!“ตื่นแล้วเหรอ?” หลังจากเสียงในห้องดังขึ้น ชิน เหลียนอี ตัวแข็งทื่อและหันศีรษะไปมองแน่นอนว่าไป๋ ทิงซิน นั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลจากเตียง สายตาของเขาจ้องมองมาที่เธอ“ฉัน... ฉันตื่นแล้ว...” เธอกล่าวตะกุกตะกักและตะกายออกจากเตียง เธอมองไปที่เสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อผ้ายังอยู่ครบถ้วน ดังนั้นเธอเลยคิดว่า... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นชิน เหลียนอี คิดกับตัวเอง แต่เธอก็ยังเอ่ยปากถามว่า “ฉันทำอะไรตอนเมาหรือเปล่า?”“คุณทำหลายอย่างเลยล่ะ คุณอยากให้ผมพูดถึงเรื่องไหนก่อนดี?” ไป๋ ทิงซิน ถามอย่างขี้เกียจชิน เหลียนอี อ้าปากค้างหลายอย่าง... อะไรนะ... เธอทำอะไร?! ครั้งนี้เธอรู้สึกมึนหัวหลังจากอาการเมา ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เธอจำได้เกือบทุกอย่างว่ามีอะไรเกิดขึ้น“อะไร... ฉันทำอะไร?” เธอกลืนน้ำลายที่ไหลลงคอและเปร่งเสียงถามอย่างสุขุมเขาหน้าแดงโดยไม่มีเหตุผลชิน เหลียนอี จ้องมองแก้มที่แดงของเขา จากนั้นเธอก็พบว่าเขาดูคล้ายกับผู้ชายที่เธอจำได้“เมื่อคืน... ฉันบังคับตัวเองกับคุณอ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค