หลิง อี้หราน ยังคงเงียบเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เมื่อหมอดึงอัลบั้มออกจากมือเธอ เธอกลับกอดมันแน่นขึ้นพร้อมกรีดร้องดัง “ไม่!”“ให้หมอดูมือหน่อยนะ พี่สาว หมอไม่ได้จะเอาอัลบั้มรูปไปไหน” อี้ จิ่นหลี พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่สาว ส่งมันมาให้ผมนะ หมอแค่อยากดูแผลบนมือของพี่เท่านั้นเอง ได้ไหมครับ?”เมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่’ เธอก็หันหน้ามามองเขาก่อนพูดพึมพัม “จิน...” “ผมเอง” เขาตอบก่อนถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”ริมฝีปากของเธอสั่นพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง “ไหม้… อัลบั้มรูปของแม่… ไหม้หมดแล้ว”เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังดูตกใจ น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเธออีกครั้งอี้ จิ่นหลี ตกใจกับอัลบั้มรูปที่ไหม้นี้… นี่เป็นอัลบั้มรูปของเธอกับแม่เหรอ?หลังจากใช้เวลาร่วมกันไม่นาน เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าสำคัญกับเธอขนาดไหนเมื่อหมอสามารถตรวจดูแผลบนมือของหลิง อี้หราน เขาก็เริ่มทำการรักษาพร้อมกับพันผ้าบนแผลให้เธอหลังมือของเธอยังคงช้ำจากบาดแผลครั้งที่แล้ว แถมยังมีแผลใหม่เพิ่มมาทำให้เขาต้องพันผ้าบนมือของเธอทั้งสองข้างเธอยังคงเงียบอยู่ราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร หลายคนเริ่มรู้สึกกส
จมูกของเธอเริ่มจะเจ็บ และน้ำตาที่หยุดไหลเมื่อครู่ก็กำลังไหลย้อนกลับมา “ถ้าพี่ต้องการที่จะร้องไห้ ก็แค่ร้องออกมาเลย พี่สาว” เขาใช้ปลายนิ้วมือของเขา ปัดไปที่ดวงตาของเธอ คำว่า ‘พี่สาว’ เหมือนกับเป็นกุญแจที่ปลดปล่อยความเจ็บปวดและความเสียใจทั้งหมดที่อัดอั้นและขังอยู่ภายในใจของเธอ เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ท่วมท้นของเธอได้ ในตอนนี้ หลิง อี้หราน ส่งเสียงโอดครวญออกมาอย่างเต็มที่และในที่สุดน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา เธอไม่ได้ร้องไห้อย่างขมขื่นแบบนี้มานานแล้ว เธอคิดมาตลอดว่า ไม่ว่าเธอจะร้องไห้ดังแค่ไหน หรือน้ำตาจะไหลออกมามากแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเธอไม่มีอะไรที่จะพึ่งพาได้ นอกจากตัวเธอเอง น้ำตาเหล่านั้นมันก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ไร้ค่า และในตอนนี้ การที่เขาเรียกเธอว่า ‘พี่สาว’ มันทำให้เธอนึกถึงแม่และน้องชายในท้องของแม่เธอ ที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ไม่มีโอกาส ได้ออกมาเรียกเธอว่า ‘พี่สาว’ ถ้าแม่และน้องชายของเธอไม่เสียชีวิต เธอจะเหงาน้อยลงกว่านี้ไหม? เธอจะได้มีโอกาสที่จะมีครอบครัวที่แท้จริงไหม? เสียงร้องไห้ของ หลิง อี้หราน ทำให้ อี้ จิ่นหลี แปลกใจ ถ้าเขารู้สึกไม่สบายในการที่เธอกัดริ
ชิน เหลียนอี ตกใจ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงผู้ชายจากปลายสาย นอกจากนี้ยังฟังดูเหมือน ... "คุณคือ… อี้ จิ่นหลี หรือเปล่า?" เธอถามด้วยความประหลาดใจ"ใช่" เขาตอบและวางสายชิน เหลียนอี จ้องไปที่โทรศัพท์ในมือของเธอ ถ้าอี้หรานหลับไปและอี้ จิ่นหลี เป็นคนรับโทรศัพท์ของเธอ… นั่นหมายความว่าตอนนี้ อี้ จิ่นหลี้ อยู่กับเพื่อนสนิทของเธออย่างนั้นเหรอ?อีกทั่ง, อี้หราน ไม่ได้อยู่ในห้องเช่าของเธอ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ชิน เลียนอี มองจากโทรศัพท์ของเธอไปหยั่งประตูห้องเช่าที่ปิดอยู่ เป็นไปได้ไหมว่า... ตอนนี้ อี้หร่าน จะพักอยู่กับอี้ จิ่นหลีชีวิตช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้ใช่ไหมล่ะ?ในขณะเดียวกัน อี้ จิ่นหลี้ ก็วางโทรศัพท์ของหลิง อี้หราน ลงและเขาได้อุ้มเธอที่ยังหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาขึ้นและออกจากรถอย่างระมัดระวังเขาถอดเสื้อคลุมออกและคลุมร่างของเธอห่วงว่าเธอจะเป็นหวัดขณะที่เขาเดินเข้าไปข้างใน เหล่าคนรับใช้ก็ไม่สามารถเก็บอาการของความแปลกใจไว้ได้ เมื่อพวกเขาได้เห็นกับตา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่า คุณหลิงนั้นอาจจะเป็นแขกคนพิเศษที่จะได้ย้ายเข้ามาอยู่คฤหาสน์ อี้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นนายน้อยอี้แสดงออกกับ
ไม่… ไม่นะ! เธอต้องการแม่ของเธอ, เธอต้องการน้องชายของเธอ! เธอร้องไห้อย่างสิ้นหวัง เพียงแต่ว่า เธอไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้น ราวกับจะดึงเธอออกจากฝันร้าย... หลิง อี้หราน ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เธอได้ยินเสียงที่นุ่มนวลในหูของเธอ “ตื่นแล้วเหรอ?” ใบหน้าสวยงามนั้น กระทบเข้ามาในดวงตาที่ค่อนข้างห่างไกลของเธอ และเป็นดวงตาที่สดใสดูเหมือนจะมีความอ่อนโยนที่ไม่อาจพรรณนาได้ภายในพวกเขา "ใช่... " เธอตอบอย่างมึนงง แต่ยังไม่ค่อยได้สติกลับคืนมา ราวกับว่าความฝันและความเป็นจริงของเธอ กำลังปะปนกันอยู่ตลอดเวลา มันกำลังครอบงำเธออยู่ “งั้นพี่รับโทรศัพท์หน่อยนะ” เขาพูดพร้อมกับถือโทรศัพท์แนบที่หูของเธอ หลิง อี้หราน ตัวเกร็งขณะที่เธอฟังเสียงที่คุ้นเคยที่มาจากโทรศัพท์มือถือของเธอ "อี้หราน ตื่นแล้วเหรอ? อี้หราน" หลิง อี้หราน สะอื้นเล็กน้อย “เหลียนอี!” "ใช่ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธออยู่กับ อี้ จินลี่ เหรอ? ฉันโทรหาเธอเมื่อคืน เขารับสายท์ฉัน เขาบอกให้ฉันโทรหาเธออีกครั้ง และตอนนี้เขาก็ยังรับโทรศัพท์อีก" ชิน เหลียนอี ถึงกับพูดไม่ถูก ใครจะไปคิดว่า อี้ จิ่นหลี จะมารับสายขอ
อัลบั้มรูปนั้นมีความทรงจำที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอ อี้ จิ่นหลี ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว "พี่สละชีวิตของพี่ ก็เพื่ออัลบั้มรูปนั้นเหรอ? เมื่อวานนี้พี่โชคดีแค่ไหน ที่พี่มีแค่รอยฟกช้ำที่นิ้วเท่านั้น มันจะเป็นยังไงถ้าตัวของพี่ถูกเผาขึ้นมาจริง ๆ?” "อัลบั้มนี้มันมีความหมายมากสำหรับฉัน!" หลิง อี้หราน กล่าว "มันสำคัญกว่ามือของพี่ใช่ไหม? พี่จะสูญเสียมือของพี่เพื่อปกป้องอัลบั้มรูปนั้นงั้นเหรอ?" น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น "มันสำคัญมาก ต่อให้มือทั้งสองข้างของฉันจะไหม้ก็ตาม แต่ฉันก็ยังอยากที่จะเก็บมันไว้กับฉัน" หลิง อี้หราน หายใจเข้าลึก ๆ สำหรับเธอมันเป็นความทรงจำและความเจ็บปวดในหัวใจของเธอ มันคือความรักที่ดีที่สุดในครอบครัวที่เธอเคยรู้สึกและมีความสุขที่สุดเท่าที่เธอเคยมีมา คำตอบของเธอทำให้เขาหน้าซีดและเขารู้สึกโกรธข้างในอก หลังจากได้รู้ว่าเธอไม่เห็นคุณค่าในตัวของเธอเองเลย เขายังเป็นห่วงตัวเธอมากกว่าที่เธอทำด้วยซ้ำ เขาเป็นห่วงมากพอที่จะทนเห็นเธอเจ็บไม่ได้แม้แต่เล็กน้อย "อัลบั้มรูปของฉันอยู่ที่ไหน" เธอยังคงถามเขาอย่างร้อนใจ อี้ จิ่นลี่ ถอนหายใจลุกขึ้นและเดินไปที่ตู้ที่อยู่ไม่ไกล และยื่นอัล
“ไม่มีใครไล่พี่ออกได้” อี้ จิ่นหลี พูดด้วยความมั่นใจ “แค่รักษานิ้วให้ดีก่อน พี่คิดว่าพี่จะยกของและกวาดพื้นได้ด้วยสภาพมือของพี่ในตอนนี้หรือไง?” หลิง อี้หราน ก้มหน้าลง นิ่งและเงียบ เธอไม่สามารถทำอะไรด้วยมือของเธอได้จริง ๆ "รักษามือของพี่ให้หายดีก่อน พี่จะทำอะไรก็ได้ทุก ๆ อย่าง ตามที่พี่ต้องการในตอนที่มือของพี่หายเป็นปกติดีแล้ว” อี้ จิ่นหลี กล่าว และเหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ และเขาก็พูดขึ้นว่า "คืนนี้พี่จะไปเจอชิน เหลียนอี้ ใช่ไหม? ทำไมพี่ไม่ขอเลื่อนนัดไปก่อน จนกว่าแผลที่มือของพี่จะดีขึ้นล่ะ?" คนที่คุ้นเคยกับ อี้ จิ่นหลี อาจจะแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น เมื่อผู้ชายที่เข้าใจยากอะไรที่สุดใน เมือง เฉิน ต้องมาเป็นห่วงเกี่ยวกับการบาดเจ็บของผู้หญิงมากขนาดนี้? ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ตัวชุ่มไปด้วยเลือดพร้อมลมหายใจเฮือกสุดท้ายยืนอยู่ตรงหน้าเขา พวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยแม้สักนิดเดียว "ฉันต้องไป" หลิง อี้หราน ตอบด้วยความเเน่วเเน่ "ดูเหมือนว่า เหลียนอีจะมีข่าวเกี่ยวกับพยานในคดีของฉัน ฉันจะไปพบเธอและสืบว่าเกิดอะไรขึ้น" เธอไม่ได้สังเกตเลยว่า สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ขณะที่เธอกำลัง
ในรูปถ่ายเธอดูผอมมาก แก้มอ้วน ๆ ของเธอและผมสีดำหนา ช่างดูน่ารักมาก อี้ จิ่นหลี ไม่เคยคิดเลยว่าในตอนที่เธอยังเป็นเด็กจะดูเด็กและหลงใหลขนาดนี้ แต่ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ เขารู้สึกถึงความรักที่แท้จริงขณะมองไปที่เด็กน้อยในรูปถ่าย เขาคิดด้วยซ้ำว่าถ้าเด็กน้อยคนนี้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ เขาอาจจะอยากกอดและจูบเธอก็เป็นได้ เป็นเพราะเธอเป็นเด็กหรือเปล่า? นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคิดว่าเธอน่ารัก? แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้ เมื่อมองไปที่เด็กคนอื่น ๆ อี้ จิ่นหลี หยิบภาพอื่นออกมาทีละภาพ ภาพถ่ายนี้ เริ่มต้นจากภาพถ่ายของ หลิง อี้หราน กับแม่ของเธอ จนกลายมาเป็นภาพเธอคนเดียว ในรูปถ่ายนั้น เธอดูแก่กว่ารูปถ่ายที่เธอถ่ายกับแม่ของเธอ เธอดูอายุประมาณห้าถึงหกขวบเห็นจะได้ มีรูปถ่ายเหล่านี้ไม่มากนัก ไม่มากเท่าที่มีรูปเธอกับแม่ของเธอ “ในตอนที่แม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ เธอชอบถ่ายรูปคู่กับฉัน แต่หลังจากที่เธอตาย ฉันเองก็ถ่ายรูปน้อยลง” หลิง อี้หราน พูดอย่างหน้าเศร้าในขณะมองดูรูปถ่ายพวกนั้น เธอถ่ายเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และในส่วนใหญ่จะเป็นรูปถ่ายของเธอเอง เธอเข้ากับครอบครัวใหม่ขอ
"ป่วยเหรอ? พี่ไม่สบายเหรอ?" เสียงของเขาดูมีความเครียดขึ้นมาทันที “แค่มีไข้ แค่ไม่กี่วันเท่านั้น มันแค่มีความรู้สึกเพลียนิดหน่อย เมื่อฉันหายแล้ว ฉันก็ยังเเข็งเเรงดีอยู่ แต่น่าเสียดายที่ชุดนั้นมันหายไปแล้ว" เธอกล่าวด้วยความเสียใจ อย่างไรก็ตาม ต่อมายายของเธอก็ได้แอบบอกกับเธอว่า จะซื้อชุดสวย ๆ ให้เธอ ถ้าหากเธอสอบได้อันดับ 1 ในชั้นเรียน อย่างไรก็ตาม เมื่อในที่สุดเธอทำได้ที่หนึ่ง เธอก็ต้องจากยายของเธอไปเพื่อกลับไปหาพ่อของเธอ ก่อนที่เธอจะจากไป คุณยายได้แอบเอาชุดใหม่ใส่ลงในกระเป๋าเดินทางของเธอไว้ ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีมือใหญ่ก็แตะที่หน้าผากของเธอ หลิง อี้หราน สะดุ้งและเงยหน้าขึ้นมอง อี้ จิ่นหลี “ตอนนี้ฉัน... ฉันไม่มีไข้แล้ว” “ผมรู้” เขากระซิบ “ต่อไป ผมจะซื้อชุดที่พี่อยากได้ให้นะ” คำพูดของเขาทำให้เธอหวั่นไหวทันที "ฉันไม่ใช่เด็กที่เอาแต่คิดเรื่องเดรสนั้นนะ" เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อยและลดตาลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งเธอมองเขานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเท่านั้น และหมุนจนแทบจะควบคุมไม่ได้ “อย่างนั้นเหรอ?” อี้ จิ่นหลี เอามือออก และดึงรูปถ่ายที่เหลือทั้งหมดในอัล
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค