เพราะเธอยืนกรานและเขาก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมดังนั้นพวกเขาจึงไปที่โรงพยาบาลด้วยกันเมื่อไปถึงโรงพยาบาล อี้จิ่นหลีก็สั่งบอดี้การ์ดที่ตามพวกเขามาให้คอยดูแลหลิงอี้หรานจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยภายในห้อง นายท่านอี้ผ่ายผอมและนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยสีขาว ชายผู้ที่เคยมีอำนาจมากในที่สุดก็มาถึงบั้นปลายของชีวิตนายท่านอี้พยายามอดทนฝืนอยู่เมื่อเขาเห็นอี้จิ่นหลีเข้ามา เขาก็ตัวสั่นและพูดว่า “แก… แกมาแล้ว…”“ครับ ผมมาแล้ว” อี้จิ่นหลีตอบอาจบอกได้ว่า ที่จริงเขาก็ไม่ได้รักอะไรนายท่านอี้นัก ความสัมพันธ์ที่ทั้งสองมีนั้นเป็นเหมือนอาจารย์กับศิษย์มากกว่าศิษย์ที่สามารถกำจัดทิ้งได้ตลอดเวลาเหมือนตัวหมาก หากว่ามันยังมีประโยชน์ก็จะได้อยู่บนกระดานหมากต่อ หากว่าไร้ค่า ก็จะโดนเขี่ยทิ้งเป็็นเครื่องสังเวย“ตอนนี้ตระกูลอี้… เป็นของแกแล้ว… หากแกทำ… ตระกูลอี้ล้ม ฉันจะไม่ปล่อยให้ได้อยู่เป็นสุข” นายท่านอี้พูดพลางหายใจแรงอย่างลำบาก“อยากจะบอกผมแค่นี้เหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่เขามองนายท่านอี้ดวงตาฝ้าฟางของนายท่านอี้เคลื่อนไหว “เด็ก หลิงอี้หรานนั่น… อยู่ข้างนอกใช่ไหม? บอก… บอกให้เธอเข้ามา”อ
เขาเหมือนจะบอกนายท่านอี้ถึงความมุ่งมั่นในรักที่เขามีต่อหลิงอี้หรานนายท่านอี้จ้องหลานชายคนเดียวเขม็งผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ หลับตาลงเพราะว่าเหนื่อย ด้วยเสียงแห้งแตกพร่าเขาพึมพำว่า “ผู้ชายตระกูลอี้… ไม่มีวัน… ลงเอยได้ดี หากว่ารักผู้หญิงมากเกินไป แกต้องไม่จบด้วยดี… หากว่าแก… ยังเป็นแบบนี้”เสียงนายท่านอี้อ่อนแรงลงทุกที จนสุดท้ายเขาก็ไม่ส่งเสียงใดอีกเส้นสัญญาณคลื่นหัวใจบนหน้าจอเกือบจะเป็นเส้นตรง หลิงอี้หรานรู้สึกเหมือนหัวใจถูกฟาดเธอรู้ว่านายท่านอี้จากไปแล้ว ชีวิตหนึ่งจบสิ้นลงต่อหน้าเธอ และมันทำให้เธอหวาดกลัว ชายชราที่เป็นครอบครัวของจินไม่อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว มันดูเหมือนไม่ใช่ความจริงอี้จิ่นจิ่นหลีจับมือหลิงอี้หรานแน่น เขาจับแน่นขึ้นทุกทีจนได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาเข้าหู เขาได้สติและรีบปล่อยมือทันที“เจ็บหรือเปล่า?” เขาจับมือเธอมาดูอย่างกังวล และเห็นรอยแดงจาง ๆ เพราะว่าเขาบีบมือเธอแรงเกินไปเธอบอกว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ปู่ของคุณ…”“ใช่ เขาตายแล้ว” เขาพูดเบา ๆแม้ว่าสีหน้าเขาจะไม่แสดงอารมณ์ใด และไม่มีสีหน้าโศกเศร้าแบบคนทั่วไปที่เพิ่งเสียคนที่เป็นที่รักไป เธอรู้ว่าเ
โถงไว้อาลัยนั้นสว่างเรืองรอง เทียนต้องถูกจุดไว้ตลอดทั้งสามวันและพวกเขาต้องจุดธูปตลอดด้วยหลิงอี้หรานเดินเข้าไปในโถงไว้อาลัยและเห็นอี้จิ่นหลียืนอยู่ในห้องมีแสงส่องลงมาโดนตัวเขา และเห็นเงาบังสลัวบางส่วน เขานั้นมองนายท่านอี้ซึ่งสวมใส่ชุดดี ๆ เตรียมพร้อมสำหรับฝังนอนอยู่ในโลงเย็น ใบหน้าหล่อเหลาของอี้จิ่นหลีดูไร้อารมณ์“จินคะ” หลิงอี้หรานเรียกตอนนั้นเองที่เขาเหมือนจะกลับมาได้สติ เขาหันมามองเธอ“ฉันบอกเธอแล้วว่าไม่ต้องมาที่นี่บ่อยนักไม่ใช่เหรอ? ฉันดูแลที่นี่ได้”“ฉันมาเพราะว่าอยากเจอคุณ” อี้หรานบอกขณะที่เธอเดินเข้าไปหาจิ่นหลีเธอยกมือขึ้นสัมผัสหน้าเขา ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนมกราคมและอากาศก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆห้องโถงไว้อาลัยนั้นไม่มีเครื่องทำความร้อน ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่ในอาคารอากาศก็ยังเย็น และที่นี่ก็ยิ่งเย็นโดยเฉพาะในตอนกลางคืน“คืนนี้คุณจะอยู่ที่นี่เหรอคะ?” เธอถามเขาพึมพำ “เพราะว่าเขาเลี้ยงฉันมา ฉันก็ยังต้องทำเรื่องที่ควรทำ พรุ่งนี้เป็นวันฝังศพของนายท่านอี้แล้วก็จะมีคนมากมาย เธอไม่จำเป็นต้องไปร่วมเพราะว่าไม่สะดวกกับสภาพร่างกายของเธอตอนนี้” จิ่นหลีบอก“ฉันยังไม่ได้จะคลอดสักห
เขาต้องโหยหาความรักที่ปู่ควรมีให้ลูกหลานจากนายท่านอี้แน่เมื่อเขากลับมาที่ตระกูลอี้ นายท่านอี้ก็เป็นคนเดียวที่เขาพึ่งพิงได้หลิงอี้หรานพูดเบา ๆ “แต่ฉันก็ควรจะขอบคุณเขาที่เลี้ยงดูคุณมา ฉันถึงได้พบคุณนะคะจิน ฉันจะมอบครอบครัวที่เปี่ยมรักให้คุณ ลูก ๆ ก็จะมอบความรักให้คุณเหมือนกัน”เขาอึ้งไปเล็กน้อยแววแปลกใจฉายในดวงตาเขา เขาไม่เคยบอกเธอเรื่องนี้แต่ว่าเธอรู้… เขานั้นโหยหาความรักจากครอบครัว“เธอบอกว่าแต่ละคนก็ให้ความสำคัญต่างกันไป แล้วเธอล่ะ? เธอให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุด” เขาพูดเสียงเบาขณะที่สูดกลิ่นกายของเธอเขาชอบสูดกลิ่นกายของเธอ มันทำให้เขารู้สึกสงบ“ฉันเหรอ?” อี้หรานคิดชั่วครู่ก่อนบอกว่า “สิ่งที่ฉันให้ความสำคัญที่สุดก็คือครอบครัวที่ฉันสร้างกับคุณ ฉันสนใจคุณแล้วก็ลูก ๆ นั่นแหละที่ฉันแคร์มากที่สุด”“แต่ว่าอี้หราน ฉันโลภมาก ฉันโลภจนไม่อยากจะให้เธอแบ่งปันความสนใจไปให้ใครอื่น แม้จะเป็นลูก ๆ ของพวกเราเองก็ตาม ฉันยังหวังว่า ตัวเองจะเป็นคนที่เธอสนใจมากที่สุด” อี้จิ่นหลีพูดพึมพำหลิงอี้หรานกะพริบตาปริบ ๆ ‘อืม… นี่เขาหึงลูกตัวเองด้วยเหรอเนี่ย?’“ฉันสนใจลูก ๆ ทั้งสามคนเหมือนกัน แต่ว่า
ตอนนี้นายท่านอี้จากไปแล้ว หลิงอี้หรานก็เป็นนายหญิงของตระกูลอี้อย่างเป็นทางการ อีกอย่างยังว่ากันว่าเธอกำลังท้องลูกแฝดสามด้วยพอเด็กทั้งสามคลอดออกมา สถานะของเธอในฐานะนายหญิงของตระกูลอี้ก็อาจจะยิ่งมั่นคงดังนั้นคนที่มาร่วมงามศพของนายท่านอี้ต่างก็ปฏิบัติกับหลิงอี้หรานอย่างให้เกียรติในฐานะญาติของผู้ล่วงลับ หลิงอี้หรานยืนอยู่ข้างอี้จิ่นหลีตลอดทั้งงานงานศพสำหรับตระกูลอย่างตระกูลอี้นั้นเป็นธรรมดาที่จะวุ่นวายซับซ้อนมากกว่างานศพของคนทั่วไปจิ่นหลีกลัวว่า อี้หรานจะเหนื่อยเลยบอกให้เธอนั่งพักแต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะยืนอยู่ข้างเขา“ฉันยังไม่เหนื่อยค่ะ ถ้าฉันเหนื่อย ฉันจะบอกคุณนะคะ ฉันไม่เสี่ยงให้เสียสุขภาพหรอก” เธอพูด เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วเธอนั้นมีทารกอีกสามคนอยู่ในครรภ์ตอนนั้นเอง คนต้อนรับของงานศพก็ขานชื่อกู้ลี่เฉินหลิงอี้หรานตัวสั่นสะท้านและหันหน้าไปมองทางเข้าทันทีเธอเห็นเงาร่างคุ้นเคยในสูทสีดำเดินเข้ามาพูดแล้วก็คือ ทั้งเธอและกู้ลี่เฉินต่างก็ไม่เจอกันมาหลายเดือนเขาเคยเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แต่พวกเขาก็ต้องแยกจากกันด้วยเรื่องบางอย่างก
กู้ลี่เฉินจ้องหลิงอี้หรานอยู่นานจนแขกบริเวณใกล้เคียงหันมามองแล้วซุบซิบกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“มีอะไรลี่เฉิน? นายมีอะไรอยากจะบอกเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามเสียงเย็นขณะที่จับมืออี้หรานไว้แน่นซึ่งเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของกู้ลี่เฉินเม้มปากและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรนายหญิงกู้รู้สึกโล่งใจและรีบดึงกู้ลี่เฉินเข้ามาหา หลิงอี้หรานเองก็โล่งใจเช่นกัน“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก” อี้จิ่นหลีกระซิบข้างหูเธอ อี้หรานชะงักไปชั่วขณะ เธอหันไปมองคนที่อยู่ข้างกายแล้วได้ยินเขาบอกว่า “วันนี้เป็นงานศพนายท่านอี้ ถ้ากู้ลี่เฉินก่อเรื่องในงานศพ ตระกูลกู้กับตระกู้อี้ก็คงมองหน้ากันไม่ติด อีกอย่าง…” เขาหยุดและจับมือเธอแน่นขึ้น “เขารู้ว่าเขาไม่มีโอกาสแล้ว ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นได้ถึงเขาจะพยายามก็ตาม”งานศพของนายท่านอี้ผ่านไปอย่างราบรื่น หลิงอี้หรานที่ตั้งครรภ์แก่ก็อดทนได้จนถึงขั้นตอนการฝังนายท่านอี้ จากนั้นเธอก็นั่งลงพักในส่วนที่นั่งพักผ่อนซึ่งจัดเตรียมไว้ด้านนอกสุสานตระกูลอี้เด็กน้อยสามคนในครรภ์ของเธอดูเหมือนจะรู้ว่า วันนี้เป็นวันโศกเศร้า นอกจากมีการขยับตัวบ้างเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัว วันนี้พว
หลิงอี้หรานอึ้งไป ตระกูลเซียวนั้นไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานศพในวันนี้ เซียวจื่อฉีต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เข้ามาจากนั้นเซียวจื่ออี้ก็เดินกะเผลกเข้ามาและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “หลิงอี้หราน เธอคงไม่ได้เป็นนายหญิงตระกูลอี้หรอก ถ้าพี่ชายของฉันไม่ได้เลิกกับเธอ เธอ-”“หุบปาก” เซียวจื่อฉีรีบห้ามน้องสาวเพราะกลัวว่าเธอจะพูดอะไรไม่เข้าท่า “รีบขอโทษอี้หรานเร็วเข้า”เซียวจื่อฉีหันไปพูดกับหลิงอี้หรานว่า “อี้หราน ฉันขอโทษนะ น้องสาวฉันไม่รู้ความ เธอใจกว้างคงไม่ถือสาไปโต้เถียงกับน้องนะ ตระกูลเซียวทำผิดกับเธอมาหลายหน จะให้ฉันขอโทษเธอยังไงก็ได้ ฉันแค่ขอให้เธอปล่อยตระกูลเซียวไป”ดวงตาอี้หรานฉายแววงุนงง จากนั้นเธอก็คิดถึงสิ่งที่อี้จิ่นหลีทำกับตระกูลห่าวไปก่อนหน้านี้‘หรือที่จริง จิ่นหลีอาจจะจัดการตระกูลห่าวกับตระกูลเซียวพร้อมกัน เซียวจื่อฉีถึงได้มาโวยวายแบบนี้?’เซียวจื่อฉีดูสำนึกและเศร้าเสียใจขณะที่เขาพูด แต่หลิงอี้หรานก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชาตอนนี้เซียวจื่อฉีน้ำตาเอ่อคลอ ผู้หญิงหลายคนคงจะรู้สึกสงสารหากว่าเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจื่อฉีแบบนี้ตอนนี้เธอจำได้ว่า เขายืนอยู่ข้างกา
เซียวจื่ออี้พูดอย่างมีโทสะว่า “เธอก็แค่นิ้วหักสองสามนิ้วแล้วก็ต้องติดคุกสามปีแค่นั้นเอง แต่เธอให้ตระกูลเซียวต้องทำงานหนักชดใช้ตั้งหลายปี” เธอนั้นดูถูกอี้หรานมาตลอด แม้ว่าตอนนี้หลิงอี้หรานจะเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ แต่ในใจเธอก็ยังเห็นอี้หรานเป็นแค่คนสามัญที่ไม่ดีพอสำหรับตระกูลเซียว แต่ก่อนที่หลิงอี้หรานจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงตบดังสนั่น เซียวจื่ออี้โดนตบจนเซและเกือบล้มไปกองกับพื้น “แค่นิ้วเธอนิ้วเดียวก็มีค่ามากกว่าตระกูลเซียวทั้งตระกูล พวกตระกูลเซียวเป็นใครถึงกล้ามาเทียบกับภรรยาฉัน?” เสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งดังขึ้น สายตาที่อี้จิ่นหลีมองพี่น้องเซียวคู่นี้เย็นเยียบเสียดกระดูกและโจมตีเข้าหัวใจเซียวจื่ออี้เอามือกุมแก้มพร้อมตกใจกับความเย็นชาจากแววตาของจิ่นหลี ราวกับว่าในสายตาของเขานั้นเธอเป็นแค่เพียงมดปลวก หากว่าเธออ้าปากพูดมาอีกคำเธออาจจะไม่ได้พูดอีกตลอดไป เซียวจื่ออี้นั้นหวาดกลัวอี้จิ่นหลี ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอก็รู้สึกได้แค่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น เธอเงียบกริบและเข้าไปแอบอยู่หลังเซียวจื่อฉีเซียวจื่อฉีทำได้แค่เพียงกัดฟันทำใจกล้าพูดว่า “นายน้อยอี้ ตระกูลเซียวนับถือคุณมาตล