“ไม่สำคัญหรอก ถึงเธอจะอยากรังแกฉันจริง ๆ ก็ตาม” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองเธอ “แต่ไม่ว่าจะอยากรังแกฉันแบบไหน ขอแค่ไม่ทิ้งฉันไปก็พอ”ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของเขาถึงทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกดดันหัวใจ และเขาก็ยังคงไม่สบายใจกับอะไรบางอย่างแต่... อะไรที่เขาไม่สบายใจกันล่ะ? พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดำเนินไปด้วยดี และเธอก็รู้สึกว่าพวกเขาค่อย ๆ กลับไปดีกันเหมือนเมื่อก่อนที่พวกเขาเคยใช้เวลาด้วยกันเธอจับใบหน้าเขาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีทางที่ฉันจะทิ้งคุณไปหรอกนะคะ”เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น ความหม่นหมองในดวงตาของเขาก็เบาบางลง ก่อนที่รอยยิ้มจาง ๆ จะปรากฏบนมุมปากของเขารอยยิ้มนั้นสวยงามมากและจับใจจนเธอเกือบหลงเข้าไปผู้ชมรอบตัวพวกเขาต่างตกตะลึงไป‘พระเจ้า! ผู้หญิงคนนี้ทั้งจับทั้งลูบหน้านายน้อยอี้เลย แถมนายน้อยอี้ยังปล่อยให้เธอ... จับอยู่อย่างนั้น!‘ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อยอี้ยังยิ้มอยู่ด้วย! รอยยิ้มแบบนี้หาดูที่อื่นไม่ได้หรอกนะ! เหมือนกับว่านายน้อยอี้จะมีดวงตาไว้สำหรับผู้หญิงคนนั้นคนเดียว! รอยยิ้มของเขาที่นุ่มนวลนั้นทั้งหมดมีไว้เพื่อผู้หญิงคนนี้เท่านั้น!’ผู
เพราะไม่ว่าอย่างไรคนจากบริษัทเล็ก ๆ ก็ไม่มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดเขาอยู่ดีตอนแรกหลิงอี้หรานแปลกใจ แต่ยิ่งเมื่อได้ยินมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ‘นั่นมัน... เยอะมากนะ คนพวกนี้มาเข้าเรียนคลาสสำหรับคนท้องโดยพร้อมเพรียงกันกับภรรยาได้ยังไง?’อีกอย่างโรงพยาบาลก็ได้จัดสรรเวลาสำหรับคลาสเรียนของผู้หญิงท้องไว้หลายเวลา ดังนั้นเหล่าคุณแม่มือใหม่ก็สามารถเข้าเรียนได้ตามความสะดวกของตนเองเพราะอย่างนั้นหลิงอี้หรานจึงรู้สึกว่า ถึงแม้ภรรยาของคนรวย ๆ ในเมืองเฉินจะเลือกโรงพยาบาลนี้กันทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร... มันก็ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยที่พวกเขามารวมตัวกันในห้องเดียว!“ทำไม... พวกเขาถึงมากันเยอะขนาดนี้ล่ะคะ?” เธออุทาน“คงจะตั้งใจล่ะมั้ง” อี้จิ่นหลียิ้มจาง ๆ ราวกับไม่แปลกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น“ตั้งใจเหรอคะ?” หลิงอี้หรานตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง “หรือเพราะว่า... พวกเขารู้ว่าคุณจะมาที่นี่? พวกเขาก็เลยมาที่นี่... เหรอคะ?”“เราจะได้รู้กันหลังเรียนเสร็จ” อี้จิ่นหลีกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆเมื่อเลิกเรียน มีคนราวสองสามคนที่เข้ามาทักทายหลิงอี้หรา
แทนที่จะมีท่าทีโกรธเหมือนแม่ของเธอ โจวเชียนหยุนดูเหมือนจะใจเย็นกับเรื่องนี้ “แม่คะ แค่หนูบริจาคไขกระดูก ไม่ได้แปลว่าเขาต้องบริจาคตับให้หนูนะคะ ตอนนั้นหนูแค่อยากช่วยชีวิตคน เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะช่วยหนูไหม และเขาก็ไม่จำเป็นต้องโดนตำหนิในสิ่งที่เลือก”“ฉันแค่คิด… ว่าทำไมเธอถึงโชคร้ายนักนะ?” คุณนายโจวโอบกอดโจวเชียนหยุนไว้และร้องไห้ออกมา โจวเชียนหยุนปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “แม่คะ หยุดคิดเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจเถอะนะคะ คิดถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขดีกว่า! ไม่ว่าจะเป็นวันที่ดีหรือร้าย มันก็แค่วันหนึ่งที่ผ่านไปตามปฏิทิน แล้วทำไมเราไม่ใช้หกเดือนที่เหลือนี้อย่างมีความสุขล่ะคะ?” คุณนายโจวพยักหน้าพลางร้องไห้สะอื้น “ก็ได้… เรามาใช้… ชีวิตอย่างมีความสุขกันนะ… ฉันจะเลิกคิดถึงพวกคนไม่มีหัวใจพวกนั้น!” โจวเชียนหยุนเช็ดน้ำตาให้แม่ของเธออย่างอ่อนโยน แทนที่จะไม่พอใจพระเจ้าที่ไม่ยุติธรรมเช่นก่อนหน้านี้ เธอเพียงเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถใช้เวลากับแม่และอาหยันน้อยให้ได้มากกว่านี้ในขณะเดียวกันนี้เองคงจื่ออินก็กำลังมองไปยังผู้ชายหน้าตาดูดีพอใช้ได้ซึ่งอยู่ในห้องส่วนตัวของคลับผู้ชายคนนี้เป็นแฟนเก่าขอ
“ฉันตอบไปแล้วว่า คนไข้ที่รับการปลูกถ่ายไขกระดูกปฏิเสธที่จะบริจาคตับ พอผู้หญิงคนนั้นตายเธอก็สบายใจได้เลยล่ะ” โจวหยวนลู่กล่าว‘ใช่แล้ว พอโจวเชียนหยุนตาย ฉันก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก’ คงจื่ออินคิดนี่เป็นข่าวดีสำหรับเธอ… ในที่สุดเธอก็สามารถทำให้โจวเชียนหยุนหายไปจากโลกใบนี้ได้สักที!…อี้จิ่นหลีค้นหาข้อมูลการบริจาคไขกระดูกของโจวเชียนหยุนได้อย่างรวดเร็ว“ประวัติของโรงพยาบาลบอกว่า คงจื่ออินเป็นคนบริจาคไขกระดูกให้เย่เหวินหมิง พวกเขามีประวัติการบริจาคของโจวเชียนหยุนด้วย แต่คนที่รับไขกระดูกของเธอกลับโดนเว้นว่างเอาไว้”“เว้นว่างเหรอคะ?” หลิงอี้หรานตกใจ “จะโดนเว้นว่างไว้ได้ยังไง?”.“ที่โดนเว้นว่างไว้ก็เพราะมีคนไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นใคร บังเอิญว่า ทั้งคงจื่ออิน โจวเชียนหยุน และเย่เหวินหมิง มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นคงจื่ออินกับโจวเชียนหยุนยังบริจาคไขกระดูกวันเดียวกันอีก” อี้จิ่นหลีกล่าวต่อไปหลิงอี้หรานเบิกตากว้าง “งั้นเป็นไปได้ไหมคะว่าคนที่รับไขกระดูกของพี่โจวไปคือเย่เหวินหมิง?”อี้จิ่นหลีกล่าวว่า “โอกาสเป็นไปได้มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ซะอีก บันทึกประวัติของโรงพยาบาลโด
แน่นอนว่า มองด้วยเหตุแล้วเย่เหวินหมิงคงไม่มีความรู้สึกอะไรกับโจวเชียนหยุนอีกแล้ว“ถ้าเขายังไม่ยอมทำอีก ถึงให้ต้องจับเขามัดไว้กับเตียงผ่าตัด ฉันก็จะทำ!” หลิงอี้หรานพูดพลางกัดฟัน และดูเหมือนจะไม่สนใจกับผลลัพธ์หรือความเสี่ยงใด ๆ ที่ตามมาอี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น“เป็นอะไรไปเหรอคะ?” เธอถาม“ฉันคิดว่าเธอจะยึดตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแบบไหนก็ตาม และจะไม่ยอมทำอะไรที่ฝืนความต้องการของคนอื่นซะอีก” เขากล่าว ความอับอายปรากฏออกมาผ่านสีหน้าของเธอ ‘ตายจริง ฉันลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นทนาย!’“บางทีเพราะ… ฉันคิดว่าเย่เหวินหมิงติดค้างพี่โจวมากไปหน่อยน่ะค่ะ ฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับพี่โจวเลยที่ต้องจากโลกนี้ไปแบบนั้น!” เธอหยุดชะงักเล็กน้อยและค่อนข้างจะลังเล “ถ้าตอนนั้นฉันต้องบังคับเย่เหวินหมิงจริง ๆ คุณ… จะช่วยฉันไหมคะ?” ความขัดแย้งปรากฏบนใบหน้าของเธอ ด้วยว่าการตัดสินใจนี้แตกต่างจากสิ่งที่เธอไล่ล่าและยืนกรานมาตลอด ถึงอย่างนั้นในอีกฝั่งหนึ่งเธอก็ไม่อยากให้พี่โจวต้องตายแบบนั้น และอาหยันน้อยก็ต้องเสียแม่ของเขาไป!อี้จิ่นหลียิ้มบาง ๆ “ฉันบอกเธอไปหรือยัง?
หลิงอี้หรานมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนโจวเชียนหยุนและกำลังเข้าคิวรอลงทะเบียนโจวเชียนหยุนสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขณะเข้าคิวอยู่หลิงอี้หรานก็กล่าวว่า “พี่โจว คุณป้าว่าไงแล้วนะ เรื่องไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เคยรับไขกระดูกจากพี่ไป อาจจะได้ผลก็ได้นะคะ”โจวเชียนหยุนฝืนยิ้ม “ทำไมเธอเองก็คิดเหมือนแม่ฉันล่ะ?”“เพราะว่าการปลูกถ่ายตับเป็นทางเดียวที่ได้ผลสำหรับช่วยชีวิตพี่ไงคะ” หลิงอี้หรานกล่าว โจวเชียนหยุนถอนหายใจ “ไม่ต้องถามแล้วล่ะ แม่ฉันแอบโทรไปถามหาคนคนนี้กับโรงพยาบาลแล้ว และยังบอกกับโรงพยาบาลเรื่องสถานการณ์ของฉันแล้วด้วย โรงพยาบาลช่วยติดต่อเขาให้กับแม่ฉันแล้ว สองสามวันก่อนพวกเขาโทรกลับมาและบอกว่าปฏิเสธการบริจาคตับแล้วล่ะ” หลิงอี้หรานประหลาดใจทันที “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?”“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?” โจวเชียนหยุนค่อนข้างใจเย็นกับเรื่องนี้ “เขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพื่อฉัน!”หลิงอี้หรานเม้มปากเข้าด้วยกันแน่นและจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วถ้าคนนั้นคือเย่เหวินหมิงล่ะคะ? ถ้าเป็นเย่เหวินหมิงที่รับไขกระดูกของพี่ไปล่ะ?” โจวเชียนหยุนตัวแข็งไปและมองหลิงอี้
โจวเชียนหยุนรับยาจากโรงพยาบาล ระหว่างทางกลับ หลิงอี้หรานก็ลากเธอไปห้างสรรพสินค้าโดยบอกว่า อยากได้คำแนะนำจากโจวเชียนหยุนเรื่องของเล่นที่เธอจะซื้อให้อาหยันน้อย“อาหยันน้อยมีของเล่นเยอะแล้ว ก่อนหน้านี้อากวอก็เอามาให้อาหยันน้อยแล้วด้วย” โจวเชียนหยุนกล่าวหลิงอี้หรานพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็ก ๆ ไม่บ่นหรอกค่ะว่ามีของเล่นเยอะเกินไปแล้ว แล้วก็หลังจากนี้ไปซื้อเสื้อผ้าฤดูหนาวให้อาหยันน้อยด้วยนะคะ อากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว อีกไม่นานก็เข้าฤดูหนาวแล้วนะคะ”หลังจากเลือกของเล่นได้ หลิงอี้หรานก็ไปยังชั้นเสื้อผ้าเด็กกับโจวเชียนหยุนทว่าเมื่อหลิงอี้หรานจ่ายเงินเสร็จ และเตรียมพร้อมจะกลับออกไปกับโจวเชียนหยุนหลังจากเลือกเสื้อผ้าได้แล้ว ก็พอดีกับมีคนสองคนเดินเข้ามาในร้านพอดีหลิงอี้หรานตะลึงไปในทันทีเมื่อเห็นสองคนนั้นโลกมันเล็กมากจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะได้เจอกับเย่เหวินหมิงและคงจื่ออินที่นี่อีกฝ่ายต่างก็ชะงักไปเช่นกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอทั้งสองที่นี่เหมือนกันเย่เหวินหมิงมองร่างของโจวเชียนหยุนแล้วขมวดคิ้วออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เธอดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ใบหน้าของเธอดูไม่สดใส และร่างบา
“เย่เหวินหมิง คุณมันตาบอดจริง ๆ ! คุณไม่รู้หรอกว่าใครคือคนที่ช่วยคุณจริง ๆ!”ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่า ยังไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเรื่องการบริจาคไขกระดูก และเธอไม่อยากให้คงจื่ออินหันมาสนใจถ้าเธอโพล่งพูดออกไป เธอคงจะตะโกนบอกความจริงกับเย่เหวินหมิงไปเสียเดี๋ยวนี้แล้วเย่เหวินหมิงตะลึงไปแล้วเขาก็มองหลิงอี้หรานพลางพูดว่า “คุณหลิง ตอนนี้ผม… ควรเรียกคุณว่า คุณนายอี้สินะ ถึงคุณจะเป็นภรรยาของอี้จิ่นหลี ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิจะมาวิพากษ์วิจารณ์ผมได้นะ”หลิงอี้หรานมองเย่เหวินหมิงโดยไม่มีอาการสะดุ้ง หรือร่องรอยของความตื่นกลัว “เย่เหวินหมิง วันหนึ่ง คุณก็จะรู้เองว่าตัวเองทำผิดขนาดไหน!”โจวเชียนหยุนดึงแขนหลิงอี้หรานไว้ เพราะกังวลว่าหลิงอี้หรานจะเกิดความขัดแย้งกัน อย่างไรหลิงอี้หรานก็อุ้มท้องเด็กสามคนอยู่“พอแล้วล่ะ อี้หราน เธอไม่ต้องทำขนาดนี้เพื่อฉันก็ได้ ไม่คุ้มกันหรอกนะ” โจวเชียนหยุนกล่าว ขณะที่มองเย่เหวินหมิงเล็กน้อยดวงตาของเธอไม่มีความเศร้าอย่างนึกเยาะเย้ยตัวเองอีกแล้ว เธอแค่มองผ่านไปราวกับมองผ่านคนแปลกหน้า “เย่เหวินหมิง สิ่งที่ฉันขอจากคุณคือช่วยดีกับอาหยันน้อยให้มากกว่านี้”