แม้ว่าชุดเกราะของเธอจะเต็มไปด้วยรอยร้าว แต่เธอก็ยังไม่อยากถูกดูแคลน และโดนชายคนนี้เยาะเย้ย!“โจวเชียนหยุน เธอเป็นอะไรไป?” เสียงของเย่เหวินหมิงดังขึ้นเหนือหัวของเธอ“ฉัน...” เธอพยายามบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่เธอแทบจะกัดลิ้นตัวเองขณะพูดออกมาร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาจากหน้าผากของเธอ และไหลลงมาอาบข้างแก้ม ใบหน้าของเธอขาวซีดจนไร้สีรวมถึงริมฝีปากของเธอก็ด้วย“ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล!” เย่เหวินหมิงกล่าว เขาเห็นเธอเจ็บแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว!เขาจับแขนเธอไว้ขณะพูดโดยไม่ได้จับไว้แรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว และท่าทางการจับก็ระมัดระวังราวกับกลัวเธอเจ็บ“ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล” โจวเชียนหยุนกล่าว“ทำไมถึงไม่อยากไปโรงพยาบาล? ทำไมต้องทำเป็นเข้มแข็งด้วย?” เย่เหวินหมิงถามอย่างขุ่นเคืองโจวเชียนหยุนพูดขึ้นมาอย่างยากลำบากหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ “คุณกลายเป็นคน... เห็นอกเห็นใจคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? การที่ฉันเจ็บปวดเจียนตาย... ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรอกเหรอ? หนี้ที่พ่อสร้าง ลูกสาวต้องชดใช้ เป็นคุณไม่ใช่เหรอ... ที่เรียกร้องให้ฉันชดใช้หนี้แทนพ่อ?”ใบหน้าขอ
เย่เหวินหมิงมองกวอซิ่นหลี่ นิ้วของเขาที่จับแขนของโจวเชียนหยุนไว้ในขณะนี้ดูเหมือนจะแข็งทื่อสุด ๆไม่รู้ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นมือที่สามเขาค่อย ๆ คลายนิ้วออก และโจวเชียนหยุนก็กล่าวกับเย่เหวินหมิงว่า “ฉันกำลังจะล็อกประตูบ้านและไปโรงพยาบาล คุณจะอยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ?” เย่เหวินหมิงเดินออกจากประตูด้วยใบหน้าเย็นชา โจวเชียนหยุนหยิบกุญแจออกมาและล็อกประตูทันทีกวอซิ่นหลี่จับโจวเชียนหยุนไว้ขณะที่เย่เหวินหมิงมองตามร่างของคนทั้งสองที่เดินจากไป ตอนนี้เขารู้สึกปวดฟันขึ้นมาอีกครั้ง“ผู้ชายคนนี้มันมีดีอะไร? โจวเชียนหยุนเห็นอะไรในตัวเขา? อีกอย่าง ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงถคงมาอนากได้ผู้หญิงที่ฉันไม่ต้องการแล้ว?”กวอซิ่นหลี่พาโจวเชียนหยุนไปที่รถ รถออกตัวมาได้ครึ่งทางแล้วจู่ ๆ โจวเชียนหยุนก็พูดว่า “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ คุณไม่ต้องพาฉันไปโรงพยาบาลหรอก”“แต่คุณดูไม่ค่อยดีเลย ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูสักหน่อยล่ะครับ?” กวอซิ่นหลี่กล่าว“ไม่จำเป็นจริง ๆ ค่ะ” เธอส่ายหัว “เรื่องก่อนหน้านี้... ขอบคุณนะคะ”“ผู้ชายคนนั้นคงเป็น... พ่อของอาหยันน้อยสินะครับ” กวอซิ่นหลีกล่าว เพราะเห็นว่าเขาคล้ายค
สุดท้ายโจวเชียนหยุนก็ถอนหายใจ เธอมองหลิงอี้หรานและกล่าวว่า “ใช่ ฉันเป็นมะเร็งตับระยะที่สาม ฉันน่าจะมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่งปี ถึงหมอจะบอกว่าการทำคีโมช่วยต่ออายุไปได้ประมาณสองปี แต่ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือไปเพื่อทำคีโม ฉันอยากจะใช้ชีวิตหกเดือนนี้ไปเพื่อตัวเอง!”หลิงอี้หรานชะงักไป แม้เธอจะรู้สึกแย่ที่เห็นยาพวกนั้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าอาการป่วยของโจวเชียนหยุนจะร้ายแรงขนาดนี้!“การ... ผ่าตัดล่ะคะ? หมอบอกว่ายังไงบ้าง?” เธอรีบถาม“ไม่ต่างกันมาก ยกเว้นว่าฉันจะได้รับการปลูกถ่ายตับ แต่เพราะกรุ๊ปเลือดเฉพาะของฉัน เลยหาตับที่เข้ากันไม่ได้ เราเลยแทบไม่มีโอกาส” โจวเชียนหยุนกล่าวคุณนายโจวกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย “ฉันคิดเรื่องนี้แล้ว มันยังพอมีหวัง! ก่อนหน้านี้ลูกบริจาคไขกระดูกให้ใครบางคนไปไม่ใช่เหรอ? หมอบอกว่าเขาแก่กว่าลูกไม่กี่ปีและมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ทำไมเราไม่ลองหาคนคนนี้ดูล่ะ? บางทีเขาอาจจะ... เต็มใจบริจาคตับให้ก็ได้นะ?”อย่างไรเสียการบริจาคตับไปบางส่วน ตับส่วนที่เหลือก็ยังทำงานได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และจะค่อย ๆ เพิ่มเซลล์ขึ้นจนตับกลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้งในอนาคตโจวเชียนหยุ
เธอสามารถจินตนาการได้ถึงความแน่วแน่ของพี่โจวที่ตัดสินใจจะมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูอาหยันน้อยให้เย่เหวินหมิงพี่โจวคงไม่ตัดสินใจแบบนี้ ถ้าเธอไม่ได้ทรมานจากอาการเจ็บป่วยที่รักษาให้หายยากแบบนี้!ความแปลกใจปรากฏในดวงตาของอี้จิ่นหลี “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”หลิงอี้หรานกล่าวพึมพำ “มะเร็งระยะที่สาม มีแค่การปลูกถ่ายตับที่จะช่วยเธอได้ แต่พี่โจวมีเลือดกรุ๊ปเฉพาะ ทำให้การหาตับที่เหมาะสมยากขึ้นไปอีก”ขณะพูดเธอสูดน้ำมูกและเงยหน้ามองอี้จิ่นหลี “จินคะ ช่วยหาอีกอย่างให้ฉันได้ไหม?”อี้จิ่นหลีมองดวงตาสีแดงของผู้หญิงตรงหน้าเขาที่มีชั้นน้ำตาบาง ๆ อยู่ภายใน “ได้สิ ได้ทุกอย่าง แต่เธอไม่ร้องแล้วนะ ได้ไหม?” น้ำตาของเธอทำให้เขาปวดใจแม้จะรู้ว่าเธอเสียน้ำตาเพราะเป็นห่วงโจวเชียนหยุน แต่... แต่ก็ยังทำให้เขาหึงได้อยู่ดีเขาไม่อยากให้เธอเสียน้ำตาให้ใครหลิงอี้หรานสะอื้นเล็กน้อยและสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดว่า “ฉันเพิ่งรู้ว่าพี่โจวเคยบริจาคไขกระดูกไป แต่เป็นแบบไม่ระบุชื่อ พี่โจวเองก็ไม่รู้ว่าใครที่เธอบริจาคให้ค่ะ”มีประกายสว่างวาบในดวงตาของอี้จิ่นหลีเมื่อได้ยินอย่างนี้ “เธอสงสัยว่าโจวเชียนหยุนจะบริจาคไขกระดูกให้เย่เหวิน
ดังนั้นหลิงอี้หรานจึงยังคงต้องปลอบอี้จิ่นหลีหลังจากการฉีดยาอยู่เช่นเคย “เอาล่ะ ๆ ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ นะคะ ก็แค่การฉีดยาเอง ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย "ไม่เจ็บมากเหรอ? จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง?" เขาเคยถามหมอ และได้คำตอบว่ายิ่งเธอฉีดยาบ่อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น“เอาล่ะ ๆ เป็นเด็กดีนะคะ คุณบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่า อย่าอารมณ์เสีย ใช่ไหม? ทำไมตอนนี้คุณถึงดูเหมือนจะร้องไห้แล้วล่ะ? หลังจากนี้เรามีเรียนอีกนะคะ” หลิงอี้หรานกล่าวเธอตบไหล่อี้จิ่นหลีและลูบหัวเขาขณะพูดพยาบาลที่ยังอยู่ในห้องมองภาพนั้นด้วยความตะลึง ‘นี่ใช่... นายน้อยอี้จริงเหรอ? นายน้อยอี้ที่เลื่องชื่อเรื่องความเด็ดขาดและเย็นชาน่ะเหรอ?‘แต่ทำไมเขาถึงดูเหมือน... ลูกหมาขนาดนี้?! เขาดูเหมือนลูกหมาที่อ้อนเจ้าของเพื่อขอกอด ขอหอมเลย'‘และแน่นอนว่า... เจ้าของก็ต้องเป็น...’ พยาบาลคนนั้นเหลือบมองหลิงอี้หรานมีแค่ผู้หญิงคนนี้ที่ทำอะไรแบบนั้นกับนายน้อยอี้ได้ ข่าวที่นายน้อยอี้แต่งงานกับคนไม่มีชื่อเสียงแพร่ไปทั่วในกลุ่มเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล แต่ข้างนอกนั่นยังไม่มีใครรู้ข่าวเรื่องนี้!ตอนแรกเจ้าหน้าที่ทางก
“ไม่สำคัญหรอก ถึงเธอจะอยากรังแกฉันจริง ๆ ก็ตาม” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองเธอ “แต่ไม่ว่าจะอยากรังแกฉันแบบไหน ขอแค่ไม่ทิ้งฉันไปก็พอ”ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของเขาถึงทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกดดันหัวใจ และเขาก็ยังคงไม่สบายใจกับอะไรบางอย่างแต่... อะไรที่เขาไม่สบายใจกันล่ะ? พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดำเนินไปด้วยดี และเธอก็รู้สึกว่าพวกเขาค่อย ๆ กลับไปดีกันเหมือนเมื่อก่อนที่พวกเขาเคยใช้เวลาด้วยกันเธอจับใบหน้าเขาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีทางที่ฉันจะทิ้งคุณไปหรอกนะคะ”เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น ความหม่นหมองในดวงตาของเขาก็เบาบางลง ก่อนที่รอยยิ้มจาง ๆ จะปรากฏบนมุมปากของเขารอยยิ้มนั้นสวยงามมากและจับใจจนเธอเกือบหลงเข้าไปผู้ชมรอบตัวพวกเขาต่างตกตะลึงไป‘พระเจ้า! ผู้หญิงคนนี้ทั้งจับทั้งลูบหน้านายน้อยอี้เลย แถมนายน้อยอี้ยังปล่อยให้เธอ... จับอยู่อย่างนั้น!‘ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อยอี้ยังยิ้มอยู่ด้วย! รอยยิ้มแบบนี้หาดูที่อื่นไม่ได้หรอกนะ! เหมือนกับว่านายน้อยอี้จะมีดวงตาไว้สำหรับผู้หญิงคนนั้นคนเดียว! รอยยิ้มของเขาที่นุ่มนวลนั้นทั้งหมดมีไว้เพื่อผู้หญิงคนนี้เท่านั้น!’ผู
เพราะไม่ว่าอย่างไรคนจากบริษัทเล็ก ๆ ก็ไม่มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดเขาอยู่ดีตอนแรกหลิงอี้หรานแปลกใจ แต่ยิ่งเมื่อได้ยินมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ‘นั่นมัน... เยอะมากนะ คนพวกนี้มาเข้าเรียนคลาสสำหรับคนท้องโดยพร้อมเพรียงกันกับภรรยาได้ยังไง?’อีกอย่างโรงพยาบาลก็ได้จัดสรรเวลาสำหรับคลาสเรียนของผู้หญิงท้องไว้หลายเวลา ดังนั้นเหล่าคุณแม่มือใหม่ก็สามารถเข้าเรียนได้ตามความสะดวกของตนเองเพราะอย่างนั้นหลิงอี้หรานจึงรู้สึกว่า ถึงแม้ภรรยาของคนรวย ๆ ในเมืองเฉินจะเลือกโรงพยาบาลนี้กันทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร... มันก็ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยที่พวกเขามารวมตัวกันในห้องเดียว!“ทำไม... พวกเขาถึงมากันเยอะขนาดนี้ล่ะคะ?” เธออุทาน“คงจะตั้งใจล่ะมั้ง” อี้จิ่นหลียิ้มจาง ๆ ราวกับไม่แปลกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น“ตั้งใจเหรอคะ?” หลิงอี้หรานตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง “หรือเพราะว่า... พวกเขารู้ว่าคุณจะมาที่นี่? พวกเขาก็เลยมาที่นี่... เหรอคะ?”“เราจะได้รู้กันหลังเรียนเสร็จ” อี้จิ่นหลีกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆเมื่อเลิกเรียน มีคนราวสองสามคนที่เข้ามาทักทายหลิงอี้หรา
แทนที่จะมีท่าทีโกรธเหมือนแม่ของเธอ โจวเชียนหยุนดูเหมือนจะใจเย็นกับเรื่องนี้ “แม่คะ แค่หนูบริจาคไขกระดูก ไม่ได้แปลว่าเขาต้องบริจาคตับให้หนูนะคะ ตอนนั้นหนูแค่อยากช่วยชีวิตคน เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะช่วยหนูไหม และเขาก็ไม่จำเป็นต้องโดนตำหนิในสิ่งที่เลือก”“ฉันแค่คิด… ว่าทำไมเธอถึงโชคร้ายนักนะ?” คุณนายโจวโอบกอดโจวเชียนหยุนไว้และร้องไห้ออกมา โจวเชียนหยุนปลอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “แม่คะ หยุดคิดเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจเถอะนะคะ คิดถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขดีกว่า! ไม่ว่าจะเป็นวันที่ดีหรือร้าย มันก็แค่วันหนึ่งที่ผ่านไปตามปฏิทิน แล้วทำไมเราไม่ใช้หกเดือนที่เหลือนี้อย่างมีความสุขล่ะคะ?” คุณนายโจวพยักหน้าพลางร้องไห้สะอื้น “ก็ได้… เรามาใช้… ชีวิตอย่างมีความสุขกันนะ… ฉันจะเลิกคิดถึงพวกคนไม่มีหัวใจพวกนั้น!” โจวเชียนหยุนเช็ดน้ำตาให้แม่ของเธออย่างอ่อนโยน แทนที่จะไม่พอใจพระเจ้าที่ไม่ยุติธรรมเช่นก่อนหน้านี้ เธอเพียงเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถใช้เวลากับแม่และอาหยันน้อยให้ได้มากกว่านี้ในขณะเดียวกันนี้เองคงจื่ออินก็กำลังมองไปยังผู้ชายหน้าตาดูดีพอใช้ได้ซึ่งอยู่ในห้องส่วนตัวของคลับผู้ชายคนนี้เป็นแฟนเก่าขอ