ราวกับเขาพยายามพิสูจน์ว่า ผู้หญิงตรงหน้าไม่มีผลอะไรกับเขาทั้งนั้น!โจวเชียนหยุนสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความขมปร่าในปากของเธอ แม้ว่าเธอจะจบกับผู้ชายคนนั้นไปแล้ว และไม่มีความรู้สึกอื่นใดกับเขาหลงเหลืออยู่อีก แต่เธอก็หยุดความรู้สึกขมขื่นที่กระจายออกมาหลังจากที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ไม่ได้เลย“ถ้า... ฉันบอกว่าไม่ได้เป็นคนผลักคงจื่ออินตกบันได และคงจื่ออินตั้งใจทำแบบนั้นเอง คุณจะ... คุณจะเชื่อฉันไหม?”โจวเชียนหยุนพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะนอบน้อมอ้อนวอน เธอกำลังขอร้องผู้ชายคนนี้ให้เชื่อใจและไม่เรียกเธอว่าอาชญากร เธอไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอาชญากรไหม เพราะไม่ว่าเธอจะเป็นอาชญากรหรือไม่ นั่นก็ไม่สามารถเรียกคืนช่วงเวลาที่เธออยู่ในคุกกลับมาได้อยู่ดี! ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ต้องการให้คำนิยามว่าเป็น ‘อาชญากร’ ทำให้อาหยันน้อยต้องเจ็บปวด!เย่เหวินหมิงเหมือนได้ยินเรื่องตลก “เชื่อเธอ? เธออยากให้ฉันเชื่อเธอเนี่ยนะ? โจวเชียนหยุน พูดเรื่องนั้นออกมาตอนนี้ เธอไม่รู้สึกว่ามันตลกเหรอ? จื่ออินเสียลูกไปเพราะเธอ และประสบกับภาวะมีลูกยากไปตลอดชีวิต แล้วเธอล่ะ มีสิทธิ์อะไรมาเลี้ยงลูกของฉัน?”“ฉันไม่เคยทำอะไรพวกนั้นเล
เขาเคยบอกไว้ว่าดวงตาของเธอสดใส และเมื่อเธอมองไปยังผู้คนด้วยดวงตาเสี้ยวพระจันทร์ที่โค้งขึ้นยามยิ้ม ผู้คนเหล่านั้นต่างก็รู้สึกเปี่ยมสุขเขายังบอกด้วยว่า ดวงตาของเธอมีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาปลายนิ้วของเขามักจะลูบไล้ดวงตาของเธอเมื่อพวกเขาใกล้ชิดกันครั้งหนึ่งเธอเคยภาคภูมิใจในดวงตาของตัวเองแค่เพราะ... เขาชอบมันตอนนี้เขาต้องการให้เธอเป็นคนทำลายมัน ตลกสิ้นดี!โจวเชียนหยุนลืมตาและมองไปยังเย่เหวินหมิงตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ และพวกเขาก็อยู่ใกล้กัน เธอเงยหน้า และรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาเคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน เพียงแค่ตอนนี้เขาไม่ได้วางแขนลงบนเอวของเธอ และเธอก็ไม่ได้โอบรอบคอของเขา หรือมีความรักใคร่ในตัวเขาเลยโจวเชียนหยุนจ้องผู้ชายตรงหน้าเงียบ ๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยรักเขา เกลียดเขา และในท้ายที่สุดอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็สงบลง เขาหน้าตาดี และมีเสน่ห์ดึงดูด ไม่อย่างนั้นเธอจะตกหลุมรักเขาได้ง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร?บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นเขา!จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา เธอน่าจะมองอ่หยันน้อยให้นานกว่านี้ก่อนที่เธอจะออกมาคืนนี้ แ
ถึงอย่างนั้นตอนนี้ เย่เหวินหมิงก็ได้ประกาศกร้าวแล้วว่า เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะลองเสี่ยง!“เย่เหวินหมิง คุณต้องเอาหยันน้อยไปจากฉันด้วยเหรอ?” โจวเชียนหยุนเงยหน้าและจ้องมองไปที่เขาเขาดูค่อนข้างจะประหม่ากับสายตาของเธอ!‘ทำไมฉันต้องประหม่าด้วยล่ะ? มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะได้รับสิทธิ์ในการดูแลลูกชายตัวเองสิ!’“ใช่แล้วล่ะ โจวเชียนหยุน ฉันจะไม่ยอมให้อาหยันน้อยอยู่กับเธอ ถ้าต้องอยู่กับเธอ เขามีแต่จะต้องลำบาก เธอให้อะไรเขาได้บ้างล่ะ? เธอคิดว่าตั้งแผงขายอาหารจะพอเลี้ยงเขาหรือไง?” เย่เหวินหมิงตะโกนถึงอย่างนั้นโจวเชียนหยุนก็ฝืนพยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”เธอก้าวถอยหลังด้วยความใจเย็นที่ผิดปกติและก้มลงมองมือของเธอที่ยังอยู่ในกำมือของเขา “คุณเย่ ปล่อยได้ไหมคะ? ฉันไม่พยายามทำให้ตัวเองตาบอดแล้ว เพราะถึงฉันตาบอด ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช่ไหมคะ?”ใบหน้าของเย่เหวินหมิงบูดบึ้ง และเขาก็คลายมือออก หลังจากนั้นเขาถึงรู้ตัวว่าทั้งฝ่ามือและแผ่นหลังของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ เสียแล้วผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาเหงื่อแตกซิกอีกครั้ง เหมือนกับครั้งนั้นที่เธอแทงเข้าที่ท้องของตัวเองโจวเชียนหยุนเดินถอย
‘นี่ผู้หญิงคนนี้บอกว่าจะยอมเอาตัวของเธอเข้าแลกเพื่อแลกกับสิทธิ์การเลี้ยงดูอาหยันน้อยงั้นเหรอ? เธอสามารถทำข้อแลกเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?’เย่เหวินหมิงหัวเราะอย่างโกรธเคือง “ได้ ฉันจะลองคิดดู ถ้าเธอถอดเสื้อผ้าและขึ้นเตียงกับฉัน”เขาพูดอย่างนั้นก็เพื่อทำให้เธออับอาย ทว่าเธอกลับยิ่งสงบเสียยิ่งกว่าเดิมและกระซิบว่า “ได้สิ” จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นมาถอดเสื้อผ้าเย่เหวินหมิงมองโจวเชียนหยุนราวกับไม่อยากจะเชื่อและตะคอกว่า “รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?” “ค่ะ” โจวเชียนหยุนตอบห้วน ๆเธอรู้ด้วยซ้ำว่าเย่เหวินหมิงน่าจะพูดเล่น แม้เธอจะทำสิ่งที่เขาต้องการ อย่างไรเขาก็คงสู้เรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูอาหยันน้อยอยู่ดี แค่เพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ดังนั้นในสถานการณ์นี้เธอจึงทำได้เพียงต้องวางเดิมพันเท่านั้นเพราะว่าเธอไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว...รูม่านตาของเย่เหวินหมิงหดลงในทันที ทันใดนั้นเขาก็จับตัวโจวเชียนหยุนไว้อีกครั้งและผลักเธอออกจากประตูไป “ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้! ร่างกายของเธอทำให้ฉันเวียนหัว!”ประตูปิดลงเสียงดังหลังจากจบประโยคของเขาโจวเชียนหยุนยิ้มเจื่อนและมองประตูที่ปิดสนิท วันนี้เธอ
“ได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจค่ะ” ชินเหลียนอีกล่าวพลางหยิบของเล่นที่เธอซื้อมาเพื่อมอบความสุขให้เจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะออกมา“ขอบคุณฮะ น้าชิน” เจ้าตัวเล็กกล่าวและดูเหมือนจะชอบของเล่นนั้นในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ โทรศัพท์ของชินเหลียนอีก็ดังขึ้น เธอกดรับ และมันเป็นสายมาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาล “สวัสดีครับ คุณเป็นเจ้าของรถทะเบียน XXX หรือเปล่า? สัญญาณเตือนรถของคุณที่จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาลซิตี้เฟิร์สดังไม่หยุดเลย ช่วยมาจัดการทีครับ”“โอ้ ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” ชินเหลียนอีกล่าว เธอพูดกับหลิงอี้หรานว่า “อี้หราน ฉันลงไปข้างล่างแป๊บนะ ดูเหมือนสัญญาณเตือนของรถฉันจะมีปัญหา”“โอเค” หลิงอี้หรานตอบ เมื่อชินเหลียนอีออกไปจากห้อง ก็มีพยาบาลเข้ามาและขอให้โจวเชียนหยุนไปพบหมอ ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงหลิงอี้หรานที่อยู่ข้างเตียงหลังจากโจวเชียนหยุนเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย อาหยันน้อยก็ก้มหน้าและเลิกเล่นกับของเล่นใหม่ในมือ“ทำไมเลิกเล่นแล้วล่ะ?” หลิงอี้หรานถาม“คุณน้าฮะ ผม... เป็นเด็กไม่ดีเหรอครับ?” อาหยันน้อยถามซื่อ ๆ“อะไรทำให้คิดอย่างนั้นล่ะ?” หลิงอี้หรานถามด้วยความสงสัย“ผมมีเรื่
เมื่อโจวเชียนหยุนกลับมายังห้องพักผู้ป่วย ทั้งสองคนคุยกับเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจากไปเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย ชินเหลียนอีก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยอารมณ์ว่า “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเด็กแบบอาหยันน้อยจะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครเขาด้วย” สุดท้ายแล้วในความเห็นของชินเหลียนอี เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กขี้อายและเงียบ ๆ บางครั้งแค่การหยอกเล่นเขาก็หน้าแดงและเขินอายแล้ว”“แม้แต่กระต่ายก็กัดนะถ้าโดนแหย่น่ะ อีกอย่างอาหยันน้อยก็สู้เพื่อแม่ของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กฉลาด แต่เขาก็ไม่กลัวที่จะสู้” หลิวอี้หรานกล่าวเพราะเธอรู้ว่าเด็กน้อยเป็นคนขยันขันแข็ง เขาหูหนวกมาตั้งแต่ยังเด็ก และนั่นทำให้เขาทนทานและอดทนได้มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน นอกจากนั้นเขายังสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่วหลังจากที่สวมเครื่องช่วยฟัง ทั้งยังพูดเก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันด้วย นอกจากฉลาดแล้ว เขาก็เป็นเด็กขยันอีกด้วยทุกอย่างดูดีเมื่อคนแบบนั้นสงบเสงี่ยม แต่เมื่อพวกเขาระเบิดขึ้นมา พวกเขาก็ดุร้ายเลยทีเดียว!หลิงอี้หรานรู้ว่าเด็กที่ชกต่อยกับอาหยันน้อยเองก็คงสภาพไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก“นั่นสินะ” ชินเหลียนอีพึมพำทั้งสองคนไปถึงทางเข้า
ยกตัวอย่างเช่น เซเลบชื่อดังที่เป็นที่รู้จักกันดี ครั้งหนึ่งเคยขอให้กู้ลี่เฉินจูบเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเธอ แค่ที่แก้มก็ยอมแต่กู้ลี่เฉินไม่ตกลง เขาพูดเบา ๆ เพียงว่า “คุณไม่ใช่คนที่ผมต้องการ”อีกหนึ่งตัวอย่างคือ กู้ลี่เฉินเป็นคนที่เก่งเรื่องการวาดภาพ นอกจากนั้นยังพูดได้ว่า เขามีสตูดิโอที่เต็มไปด้วยรูปวาดของเขา แต่เขาไม่เคยเปิดเผยให้สาธารณชนได้เห็นเลยนอกจากนั้น กู้ลี่เฉินไม่เคยให้ใครเรียกเขาว่า ‘เฉินเฉิน’ เลย ชื่อเล่นนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งต้องห้ามของเขา มีเซเลบหญิงคนหนึ่งพยายามปีนขึ้นไปด้วยการเรียกเขาอย่างรักใคร่ว่า ‘เฉินเฉิน’ หลังจากนั้นเธอก็โดนขึ้นบัญชีดำจนกระทั่งออกจากวงการบันเทิงไป!หลิงอี้หรานฟังเรื่องซุบซิบที่ชินเหลียนอีเล่าให้ฟังจนเผลอแป๊บเดียวพวกเธอก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านโดยไม่รู้ตัว ชินเหลียนอีหมุนพวงมาลัยและเหยียบเบรกเพื่อค่อย ๆ หยุดรถ แต่น่าแปลกที่เบรกดูเหมือนจะไม่ทำงาน และรถก็ไม่มีทีม่าว่าจะหยุดเลยใบหน้าของชินเหลียนอีเปลี่ยนเป็นสีขาวซีนและตัวแข็งทื่อไปในทันทีหลิงอี้หรานซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสารรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติกับเพื่อนของเธอจึงรีบถามว่า
ทั้งสองรีบปลดเข็มขัดนิรภัยขณะที่พูดคุยกัน ตอนนี้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง และกำลังเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่องพวกเขาควรจะต้องหาโอกาสเพื่อกระโดดออกจากรถ แต่จู่ ๆ ก็มีรถขนทรายขับเข้ามาจากถนนด้านข้าง คนขับรถขนทรายเองก็เห็นรถของชินเหลียนอีแล้วและเริ่มลดความเร็ว แต่เขาไม่ได้หยุด อย่างไรเสีย ตามกฎการจราจรแล้ว ชินเหลียนอีต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหยุดแต่ชินเหลียนอีไม่สามารถหยุดรถของเธอได้ถ้าพวกเธอชนกับรถบรรทุกทรายก็จะร่วงลงมา และแม้พวกเธอจะเอาตัวรอดออกจากการชนได้ แต่ก็คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากทราบพวกนั้นได้!ตอนนี้ชินเหลียนอีหมุนพวงมาลัยอย่างสิ้นหวัง และพยายามประคองรถให้หนีออกจากรถขนทราย แต่รถบรรทุกที่ขนทรายมาเต็มคันรถและคนขับไม่ได้หยุดรถลงเลย แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรถของชินเหลียนอี แต่ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะเหยียบเบรคแล้วเมื่อเห็นว่ารถสองคันกำลังจะชนกัน ชินเหลียนอีก็ร้องออกมาด้วยความหมดหวัง “อี้หราน กระโดด! เร็วเข้า!”ในตอนนั้นเองที่อยู่ดี ๆ ก็มีรถอีกคันขับเข้ามาหาพวกเขาจากนั้นก็เกิดเสียงชนกันดังก้องและเสียงเบรกที่เสียดหู ด้านหน้าของรถ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค