ผู้จัดการกลัวว่าจะมีใครตายไปเสียก่อน เขาเลยรีบโทรหาเย่ฉงเว่ยทันที เพราะอย่างไรเสียครอบครัวของเย่ฉงเว่ยก็เป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเทียนเซียงพาวิลเลี่ยน และเย่ฉงเว่ยเองก็เป็นเพื่อนกับอี้จิ่นหลีเพราะเหตุนั้นเย่ฉงเว่ยจึงทำได้เพียงพาหลิงอี้หรานไปเป็นตัวช่วยดับไฟ ตามความเห็นของเย่ฉงเว่ยแล้ว ที่ช่วงนี้จิ่นหลีผิดปกติน่าจะเกี่ยวข้องกับหลิงอี้หราน ถ้าจะให้พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ท่าทีของจิ่นหลีต่อผู้หญิงที่พยายามจะเข้าหาเขาในช่วงนี้แตกต่างไปจากอดีตเขาดุร้ายและเจ้าอารมณ์ ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะทำอะไรต่อหน้าเขา แต่ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เขารำคาญใจขึ้นมาเรื่องก็จบไม่สวยทุกทีไปถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เย่ฉงเว่ยเกรงว่าอีกไม่นานเทียนเซียงพาวิลเลี่ยนของเขาคงจะไร้ซึ่งผู้หญิงเป็นแน่!หลิงอี้หรานพูดขึ้นมาแบบทันทีว่า “หยุดรถนะ! ถ้าไม่จอดฉันจะโทรเรียกตำรวจ!”“เอาเลย โทรหาตำรวจเลย ถ้าใช้เครื่องเธอไม่พอ จะเอาเครื่องฉันโทรไปอีกด้วยก็ได้!” เย่ฉงเว่ยว่าแล้วก็โยนมือถือของเขาให้หลิงอี้หรานหลิงอี้หรานเงียบไป และรู้แล้วว่าเย่ฉงเว่ยต้องการพาเธอไปที่ไหนสักที่จริง ๆเมื่อรถของเย่ฉงเว่ยหยุดลง หลิงอ
หลิงอี้หรานกล่าวว่า “เอาเลย! อี้จิ่นหลีกับฉันจบกันแล้ว และเขาก็ไม่ได้อยากจะเจอฉันอีกเหมือนกัน ฉันว่าถ้าคุณพาฉันเข้าไป ก็มีแต่จะทำให้เขาโกรธมากกว่า!”เย่ฉงเว่ยเหลือบมองหลิงอี้หราน “เธออยากให้จิ่นหลีฆ่าคนหรือไง? ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าพวกเธอจบกันจริงหรือเปล่า แต่วันนี้ที่นี่ต้องไม่มีใครตาย!”พูดจบเย่ฉงเว่ยก็ลากหลินอี้หรานเข้าไปในห้องส่วนตัวมันเป็นห้องส่วนตัวก็จริง แต่ว่าดูเหมือนฮอลล์ที่มีขนาด 200 ตารางเมตรทีเดียว ภายในมีทั้งบาร์ โต๊ะพูล โต๊ะเล่นเกม ซุ้มคาราโอเกะ... รวมถึงเวทีเล็ก ๆ ที่พอจะใช้ทำการแสดงได้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าขอความเมตตาอยู่ตรงที่ว่างซึ่งน่าจะเป็นกึ่งกลางห้องมีแหนบเปื้อนเลือดอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนเมื่อหลิงอี้หรานเห็นแหนบอันนั้น เธอก็รู้สึกราวกับเลือดโดนแช่แข็งไปในทันที เธอเคยเห็นแหนบแบบนั้นมาก่อน ภาพเหล่านั้นราวกับฝังไว้ในจิตวิญญาณของเธอ และยากที่เธอจะลืมเลือน ในกลางดึกบางคืนเธอยังฝันเห็นแหนบเย็น ๆ พวกนั้นสอดลึกเข้าไปในเนื้อและเล็บของเธอ ก่อนจะดึงเล็บของเธอออกมาทีละอัน ๆ คนที่ไม่เคยโดนไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน!“นายน้อยอี้ ยกโทษให้ผมด้วย ผมผิดไปแ
อี้จิ่นหลีมองเขาอย่างเฉยเมยก่อนจะพูดเสียงแผ่วว่า “ทำสิ”“ไม่นะ...” หลิงอี้หรานวิ่งเข้าไปยืนตรงหน้าอี้จิ่นหลีเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือออกไปจากที่นี่และอยู่ห่าง ๆ จากเรื่องนี้ไว้ แต่... บางทีเพราะภาพที่เห็นทำให้เธอนึกถึงเมื่อตอนที่เธอโดนถอดเล็บและความเจ็บปวดที่เธอเคยรู้สึกตอนนั้นไม่มีใครช่วยเธอเลย!และสิ่งที่เธอทำได้ก็คือ อดทนต่อความเจ็บปวดสุดหัวใจนั้น!เขาค่อย ๆ เงยหน้าและใช้ดวงตาดอกท้ออันแสนเย็นชามองหลิงอี้หรานเมื่อสบตากับเขา ร่างบางของเธอก็สั่นเทาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาช่างเย็นชาและเฉยเมยราวกับเป็นสายน้ำเย็นที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไร เธอก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น“ไม่นะ?” อี้จิ่นหลีลุกขึ้นช้า ๆ และมองเธอด้วยตำแหน่งเหนือกว่าด้วยสายตาเย็นชา “เธอเป็นใครมาพูดคำว่าไม่กับฉัน?”ร่างกายของเธอสั่นเทา คนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่อี้จิ่นหลีที่เธอรู้จัก ไม่ใช่แม้กระทั่งจิน!ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยอี้แห่งเมืองเฉิน และเธอเป็นแค่มดปลวกในสายตาของเขา!“คุณคิดว่าการถอดเล็บคนคนหนึ่งมันง่ายจนคุณจะถอดมันออกได้ตามใจเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถามขณะที่สูดลมหายใจเข้าลึกใบหน้าของเ
“ฉัน... ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ...” บริกรหญิงตื่นเต้นมากจนพูดตะกุกตะกัก และแก้มของเธอก็ขึ้นสีเรื่อเนื่องจากความรู้สึกเขินอายอี้จิ่นหลีกล่าวว่า “ในเมื่อผู้ชายคนนี้ตั้งใจจะถอดเล็บเธอ เธอก็ดึงของเขาทั้งสิบนิ้วออกซะเลยตอนนี้สิ”“นายน้อยอี้คะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมาได้ทันเวลาพอดี เล็บฉันก็คงโดนถอดไปหมดแล้วค่ะ แต่... ฉันคิดว่าเขารู้ว่าอะไรผิดแล้วแหละค่ะ... นายน้อยอี้คะ ทำไมครั้งนี้คุณไม่ปล่อยเขาไปก่อนล่ะคะ?” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยท่าทางบอบบางดูใจดีและไร้เดียงสาผู้หญิงลักษณะนี้สามารถเรียกความเอ็นดูและปลุกสัญชาตญาณอยากปกป้องของผู้ชายให้ออกมาปกป้องเธอได้หลิงอี้หรานขนลุกเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเธอรู้สึกเหมือนนี่เป็นเรื่องตลกร้าย ผู้ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคือ ผู้ร้าย ในขณะที่หญิงสาวซึ่งได้รับบาดเจ็บที่นิ้วในชุดบริกรหญิงเป็นเหยื่อนี่อี้จิ่นหลีกำลัง... เรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้หญิงคนนั้นเหรอ?เธอเหม่อมองไปยังอี้จิ่นหลีซึ่งกำลังพูดคุยโต้ตอบกับบริกรหญิง จากมุมมองของเธอแล้ว สิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้คือ ใบหน้าด้านข้างของเขาเขามีสันกรามชัดเจนและดั้งจมูกเป็นสันตรง ริมฝีปากบางของเขาเผยออ
“ไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณ” กู้ลี่เฉินจับมือหลิงอี้หรานไว้และพาออกไปจากห้องอี้จิ่นหลีชำเลืองมองร่างของกู้ลี่เฉินและหลิงอี้หรานที่เดินจากไปด้วยปลายหางตา จากนั้นเขาก็สั่งเย่ฉงเว่ยเบา ๆ ว่า “บอกให้พนักงานออกไปให้หมด”“ฮะ? แล้วพวกเขา...” เย่ฉงเว่ยชี้ไปยังบริกรหญิงซึ่งได้รับบาดเจ็บที่นิ้วและคุณหลี่ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ “ให้เขาอยู่” อี้จิ่นหลีพูดเบา ๆเพราะเหตุนั้น เย่ฉงเว่ยจึงบอกให้พนักงานทั้งในและนอกห้องส่วนตัวออกไปในทันใดนั้นเอง คนในห้องก็เหลือเพียงอี้จิ่นหลี เย่ฉงเว่ย บริกรหญิงคนนั้น คุณหลี่ เกาฉงหมิง และบอดี้การ์ดหลายสิบคนของอี้จิ่นหลีอี้จิ่นหลีจับมือของบริกรหญิงคนนั้นขึ้นมาและลูบนิ้วชี้ซึ่งมีผ้าพันแผลของเธอเบา ๆ สายตาที่ก้มลงมองต่ำดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเขินอาย และความแปลกใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเย่ฉงเว่ยเล็กน้อย ‘จิ่นหลีสนใจผู้หญิงคนนี้จริง ๆ เหรอ?’ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อี้จิ่นหลีพูดในเวลาต่อมากลับทำให้เย่ฉงเว่ยประหลาดใจ“ถ้าอยากโดนถอดเล็บนัก ก็ไปหาถอดเอาเองนะ เธอจะได้ทำตามความปรารถนาสักที” อี้จิ่นหลีพูดเสียงแผ่วขณะที่คลายมือออกจากการจับมื
เย่ฉงเว่ยกล่าวเย้ย “เธอคิดว่าฉันอยากให้เธอทำอะไรให้ล่ะ? ในเมื่อเธอตั้งใจจะหลอกจิ่นหลี เธอก็ควรคิดถึงผลลัพธ์ตอนที่มันไม่สำเร็จไว้ด้วยสิ!”เย่ฉงเว่ยสะบัดมือของผู้หญิงคนนั้นออกขณะพูด และเดินออกจากห้องส่วนตัวไปโดยไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในนั้นอีก...กู้ลี่เฉินขับรถพาหลิงอี้หรานกลับไปยังบ้านเช่าของเธอ ระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็พูดว่า “ถ้าฉงเว่ยมารบกวนคุณอีก โทรหาผมได้เลยนะ”หลิงอี้หรานเงียบปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “คุณ... น่าจะปลุกฉัน... บนรถเมล์เมื่อวานนี้นะคะ”เขากล่าว “คุณเห็นวิดีโอแล้วเหรอ? ผมเห็นว่าคุณกำลังหลับอยู่ เลยคิดว่าคุณน่าจะได้งีบสักหน่อย แต่ผมลืมนึกไปว่าอาจจะมีคนถ่ายวิดีโอเราไว้และโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต ถ้าคุณไม่ชอบ ผมเอาลบให้ได้นะ”ปกติแล้วเขาเป็นพวกระวังกล้องแอบถ่ายมาก แต่เมื่อวานบนรถเมล์ เขาสนใจแต่เธอจนลืมสิ่งรอบตัวไปเลยเธอเผลอหลับบนรถเมล์ไปครึ่งชั่วโมง แต่ทุกนาทีและวินาทีที่ผ่านไปกลับทำให้เขามีความสุขเขาอยากจะขอบคุณคนที่ถ่ายคลิปไว้จากก้นบึ้งของหัวใจด้วยซ้ำที่เหลือความทรงจำตอนนั้นไว้ให้เขา!เมื่อเขาเห็นตัวเองในวิดีโอ เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้
“อี้หราน... ถ้าขออะไรได้ ผมจะไม่ขอความรู้สึกขอบคุณจากคุณ...” เขาพึมพำเขาเป็นคนที่มีระยะห่างจากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แม้แต่เพื่อนของเขาอย่างเย่ฉงเว่ยก็พูดได้ว่า เขาเย็นชามากเสียจนทำให้คนอื่นรู้สึกได้ถึงความหมางเมินราวกับว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครสามารถเหยียบเข้ามาในหัวใจของเขาได้ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าการที่เข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้มันเป็นอย่างไร เขาเข้าหาเธออย่างเต็มที่และอยากจะเข้าไปในโลกของเธอ แต่เขาก็รู้สึกถึงความเหินห่างจากเธอได้ตลอดมาแม้เธอจะยิ้มให้เขา แต่ดูเหมือนกับปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้เธออยู่กลาย ๆเขาต้องทำอะไรถึงจะได้เข้าไปในหัวใจของเธอได้จริง ๆ ? ...หลิงอี้หรานรีบไปยังชั้นของแผนกกุมารเวชผู้ป่วยใน เธอบอกชื่อของอาหยันน้อยกับพยาบาลที่โต๊ะพยาบาลและเดินไปหาที่ห้องพักผู้ป่วยอาหยันน้อยกำลังหลับอยู่เจ้าตัวน้อยนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล มีผ้าพันแผลพันรอบหน้าแข้งของเขา และใบหน้าก็ฟกช้ำ แม้ว่าดวงตาของเขาจะหลับอยู่ แต่มันก็บวมนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะโดนต่อยมาคุณนายโจวนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของอาหยันน้อย น้ำตาไหลลงมาตามใบหน้าของเธอเงียบ ๆหลิงอี้หรา
“ถ้าฉันลองถามเหลียนอีให้หาทางย้ายอาหยันน้อยไปโรงเรียนอื่นล่ะคะ?” หลิงอี้หรานถามอย่างไรตอนนี้ทุกคนที่โรงเรียนอนุบาลคงรู้แล้วว่า โจวเชียนหยุนเคยติดคุกมาก่อน และถ้าอาหยันน้อยยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีโอกาสที่เขาอาจจะโดนเลือกปฏิบัติได้อีกหลิงอี้หรานเคยเจอประสบการณ์นั้นมาก่อน และเธอไม่อยากให้อาหยันน้อยเจอเรื่องเดียวกันนี้! ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่นี่ได้ พวกเขาก็ทำได้แค่ต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของตัวเองถึงอย่างนั้น โจวเชียนหยุนกลับไม่ได้ตอบข้อแนะนำของหลิงอี้หราน แต่กลับถามกลับแทน “ถ้าฉันรื้อคดีขึ้นมาตอนนี้ ฉันมีโอกาสที่จะชนะกี่เปอร์เซ็นต์?”หลิงอี้หรานผงะไปและคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบโจวเชียนหยุนว่า “30 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”โจวเชียนหยุนยิ้มเจื่อน ‘แค่ 30 เปอร์เซ็นต์... ถ้ารื้อคดีขึ้นมา โอกาสที่จะชนะคือ 30 เปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ?’ แต่คนธรรมดาก็จะสู้ แม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสชนะแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม!แต่นี่ก็น้อยไปสำหรับเธอ!“เพราะว่ามันก็ผ่านมานานแล้ว หลักฐานบางอย่างก็คงหายไป ดังนั้นต่อให้เรารื้อคดีขึ้นมา แต่ผู้พิพากษาก็จะอ้างอิงคำให้การเพิ่มเติมของพยานมากกว่า