ผู้จัดการกลัวว่าจะมีใครตายไปเสียก่อน เขาเลยรีบโทรหาเย่ฉงเว่ยทันที เพราะอย่างไรเสียครอบครัวของเย่ฉงเว่ยก็เป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเทียนเซียงพาวิลเลี่ยน และเย่ฉงเว่ยเองก็เป็นเพื่อนกับอี้จิ่นหลีเพราะเหตุนั้นเย่ฉงเว่ยจึงทำได้เพียงพาหลิงอี้หรานไปเป็นตัวช่วยดับไฟ ตามความเห็นของเย่ฉงเว่ยแล้ว ที่ช่วงนี้จิ่นหลีผิดปกติน่าจะเกี่ยวข้องกับหลิงอี้หราน ถ้าจะให้พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ท่าทีของจิ่นหลีต่อผู้หญิงที่พยายามจะเข้าหาเขาในช่วงนี้แตกต่างไปจากอดีตเขาดุร้ายและเจ้าอารมณ์ ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะทำอะไรต่อหน้าเขา แต่ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เขารำคาญใจขึ้นมาเรื่องก็จบไม่สวยทุกทีไปถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เย่ฉงเว่ยเกรงว่าอีกไม่นานเทียนเซียงพาวิลเลี่ยนของเขาคงจะไร้ซึ่งผู้หญิงเป็นแน่!หลิงอี้หรานพูดขึ้นมาแบบทันทีว่า “หยุดรถนะ! ถ้าไม่จอดฉันจะโทรเรียกตำรวจ!”“เอาเลย โทรหาตำรวจเลย ถ้าใช้เครื่องเธอไม่พอ จะเอาเครื่องฉันโทรไปอีกด้วยก็ได้!” เย่ฉงเว่ยว่าแล้วก็โยนมือถือของเขาให้หลิงอี้หรานหลิงอี้หรานเงียบไป และรู้แล้วว่าเย่ฉงเว่ยต้องการพาเธอไปที่ไหนสักที่จริง ๆเมื่อรถของเย่ฉงเว่ยหยุดลง หลิงอ
หลิงอี้หรานกล่าวว่า “เอาเลย! อี้จิ่นหลีกับฉันจบกันแล้ว และเขาก็ไม่ได้อยากจะเจอฉันอีกเหมือนกัน ฉันว่าถ้าคุณพาฉันเข้าไป ก็มีแต่จะทำให้เขาโกรธมากกว่า!”เย่ฉงเว่ยเหลือบมองหลิงอี้หราน “เธออยากให้จิ่นหลีฆ่าคนหรือไง? ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าพวกเธอจบกันจริงหรือเปล่า แต่วันนี้ที่นี่ต้องไม่มีใครตาย!”พูดจบเย่ฉงเว่ยก็ลากหลินอี้หรานเข้าไปในห้องส่วนตัวมันเป็นห้องส่วนตัวก็จริง แต่ว่าดูเหมือนฮอลล์ที่มีขนาด 200 ตารางเมตรทีเดียว ภายในมีทั้งบาร์ โต๊ะพูล โต๊ะเล่นเกม ซุ้มคาราโอเกะ... รวมถึงเวทีเล็ก ๆ ที่พอจะใช้ทำการแสดงได้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าขอความเมตตาอยู่ตรงที่ว่างซึ่งน่าจะเป็นกึ่งกลางห้องมีแหนบเปื้อนเลือดอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนเมื่อหลิงอี้หรานเห็นแหนบอันนั้น เธอก็รู้สึกราวกับเลือดโดนแช่แข็งไปในทันที เธอเคยเห็นแหนบแบบนั้นมาก่อน ภาพเหล่านั้นราวกับฝังไว้ในจิตวิญญาณของเธอ และยากที่เธอจะลืมเลือน ในกลางดึกบางคืนเธอยังฝันเห็นแหนบเย็น ๆ พวกนั้นสอดลึกเข้าไปในเนื้อและเล็บของเธอ ก่อนจะดึงเล็บของเธอออกมาทีละอัน ๆ คนที่ไม่เคยโดนไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน!“นายน้อยอี้ ยกโทษให้ผมด้วย ผมผิดไปแ
อี้จิ่นหลีมองเขาอย่างเฉยเมยก่อนจะพูดเสียงแผ่วว่า “ทำสิ”“ไม่นะ...” หลิงอี้หรานวิ่งเข้าไปยืนตรงหน้าอี้จิ่นหลีเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือออกไปจากที่นี่และอยู่ห่าง ๆ จากเรื่องนี้ไว้ แต่... บางทีเพราะภาพที่เห็นทำให้เธอนึกถึงเมื่อตอนที่เธอโดนถอดเล็บและความเจ็บปวดที่เธอเคยรู้สึกตอนนั้นไม่มีใครช่วยเธอเลย!และสิ่งที่เธอทำได้ก็คือ อดทนต่อความเจ็บปวดสุดหัวใจนั้น!เขาค่อย ๆ เงยหน้าและใช้ดวงตาดอกท้ออันแสนเย็นชามองหลิงอี้หรานเมื่อสบตากับเขา ร่างบางของเธอก็สั่นเทาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาช่างเย็นชาและเฉยเมยราวกับเป็นสายน้ำเย็นที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไร เธอก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น“ไม่นะ?” อี้จิ่นหลีลุกขึ้นช้า ๆ และมองเธอด้วยตำแหน่งเหนือกว่าด้วยสายตาเย็นชา “เธอเป็นใครมาพูดคำว่าไม่กับฉัน?”ร่างกายของเธอสั่นเทา คนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่อี้จิ่นหลีที่เธอรู้จัก ไม่ใช่แม้กระทั่งจิน!ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยอี้แห่งเมืองเฉิน และเธอเป็นแค่มดปลวกในสายตาของเขา!“คุณคิดว่าการถอดเล็บคนคนหนึ่งมันง่ายจนคุณจะถอดมันออกได้ตามใจเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถามขณะที่สูดลมหายใจเข้าลึกใบหน้าของเ
“ฉัน... ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ...” บริกรหญิงตื่นเต้นมากจนพูดตะกุกตะกัก และแก้มของเธอก็ขึ้นสีเรื่อเนื่องจากความรู้สึกเขินอายอี้จิ่นหลีกล่าวว่า “ในเมื่อผู้ชายคนนี้ตั้งใจจะถอดเล็บเธอ เธอก็ดึงของเขาทั้งสิบนิ้วออกซะเลยตอนนี้สิ”“นายน้อยอี้คะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมาได้ทันเวลาพอดี เล็บฉันก็คงโดนถอดไปหมดแล้วค่ะ แต่... ฉันคิดว่าเขารู้ว่าอะไรผิดแล้วแหละค่ะ... นายน้อยอี้คะ ทำไมครั้งนี้คุณไม่ปล่อยเขาไปก่อนล่ะคะ?” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยท่าทางบอบบางดูใจดีและไร้เดียงสาผู้หญิงลักษณะนี้สามารถเรียกความเอ็นดูและปลุกสัญชาตญาณอยากปกป้องของผู้ชายให้ออกมาปกป้องเธอได้หลิงอี้หรานขนลุกเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเธอรู้สึกเหมือนนี่เป็นเรื่องตลกร้าย ผู้ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคือ ผู้ร้าย ในขณะที่หญิงสาวซึ่งได้รับบาดเจ็บที่นิ้วในชุดบริกรหญิงเป็นเหยื่อนี่อี้จิ่นหลีกำลัง... เรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้หญิงคนนั้นเหรอ?เธอเหม่อมองไปยังอี้จิ่นหลีซึ่งกำลังพูดคุยโต้ตอบกับบริกรหญิง จากมุมมองของเธอแล้ว สิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้คือ ใบหน้าด้านข้างของเขาเขามีสันกรามชัดเจนและดั้งจมูกเป็นสันตรง ริมฝีปากบางของเขาเผยออ
“ไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณ” กู้ลี่เฉินจับมือหลิงอี้หรานไว้และพาออกไปจากห้องอี้จิ่นหลีชำเลืองมองร่างของกู้ลี่เฉินและหลิงอี้หรานที่เดินจากไปด้วยปลายหางตา จากนั้นเขาก็สั่งเย่ฉงเว่ยเบา ๆ ว่า “บอกให้พนักงานออกไปให้หมด”“ฮะ? แล้วพวกเขา...” เย่ฉงเว่ยชี้ไปยังบริกรหญิงซึ่งได้รับบาดเจ็บที่นิ้วและคุณหลี่ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ “ให้เขาอยู่” อี้จิ่นหลีพูดเบา ๆเพราะเหตุนั้น เย่ฉงเว่ยจึงบอกให้พนักงานทั้งในและนอกห้องส่วนตัวออกไปในทันใดนั้นเอง คนในห้องก็เหลือเพียงอี้จิ่นหลี เย่ฉงเว่ย บริกรหญิงคนนั้น คุณหลี่ เกาฉงหมิง และบอดี้การ์ดหลายสิบคนของอี้จิ่นหลีอี้จิ่นหลีจับมือของบริกรหญิงคนนั้นขึ้นมาและลูบนิ้วชี้ซึ่งมีผ้าพันแผลของเธอเบา ๆ สายตาที่ก้มลงมองต่ำดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเขินอาย และความแปลกใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเย่ฉงเว่ยเล็กน้อย ‘จิ่นหลีสนใจผู้หญิงคนนี้จริง ๆ เหรอ?’ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อี้จิ่นหลีพูดในเวลาต่อมากลับทำให้เย่ฉงเว่ยประหลาดใจ“ถ้าอยากโดนถอดเล็บนัก ก็ไปหาถอดเอาเองนะ เธอจะได้ทำตามความปรารถนาสักที” อี้จิ่นหลีพูดเสียงแผ่วขณะที่คลายมือออกจากการจับมื
เย่ฉงเว่ยกล่าวเย้ย “เธอคิดว่าฉันอยากให้เธอทำอะไรให้ล่ะ? ในเมื่อเธอตั้งใจจะหลอกจิ่นหลี เธอก็ควรคิดถึงผลลัพธ์ตอนที่มันไม่สำเร็จไว้ด้วยสิ!”เย่ฉงเว่ยสะบัดมือของผู้หญิงคนนั้นออกขณะพูด และเดินออกจากห้องส่วนตัวไปโดยไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในนั้นอีก...กู้ลี่เฉินขับรถพาหลิงอี้หรานกลับไปยังบ้านเช่าของเธอ ระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็พูดว่า “ถ้าฉงเว่ยมารบกวนคุณอีก โทรหาผมได้เลยนะ”หลิงอี้หรานเงียบปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “คุณ... น่าจะปลุกฉัน... บนรถเมล์เมื่อวานนี้นะคะ”เขากล่าว “คุณเห็นวิดีโอแล้วเหรอ? ผมเห็นว่าคุณกำลังหลับอยู่ เลยคิดว่าคุณน่าจะได้งีบสักหน่อย แต่ผมลืมนึกไปว่าอาจจะมีคนถ่ายวิดีโอเราไว้และโพสต์ลงอินเทอร์เน็ต ถ้าคุณไม่ชอบ ผมเอาลบให้ได้นะ”ปกติแล้วเขาเป็นพวกระวังกล้องแอบถ่ายมาก แต่เมื่อวานบนรถเมล์ เขาสนใจแต่เธอจนลืมสิ่งรอบตัวไปเลยเธอเผลอหลับบนรถเมล์ไปครึ่งชั่วโมง แต่ทุกนาทีและวินาทีที่ผ่านไปกลับทำให้เขามีความสุขเขาอยากจะขอบคุณคนที่ถ่ายคลิปไว้จากก้นบึ้งของหัวใจด้วยซ้ำที่เหลือความทรงจำตอนนั้นไว้ให้เขา!เมื่อเขาเห็นตัวเองในวิดีโอ เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้
“อี้หราน... ถ้าขออะไรได้ ผมจะไม่ขอความรู้สึกขอบคุณจากคุณ...” เขาพึมพำเขาเป็นคนที่มีระยะห่างจากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แม้แต่เพื่อนของเขาอย่างเย่ฉงเว่ยก็พูดได้ว่า เขาเย็นชามากเสียจนทำให้คนอื่นรู้สึกได้ถึงความหมางเมินราวกับว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครสามารถเหยียบเข้ามาในหัวใจของเขาได้ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าการที่เข้าไปในหัวใจของคนอื่นได้มันเป็นอย่างไร เขาเข้าหาเธออย่างเต็มที่และอยากจะเข้าไปในโลกของเธอ แต่เขาก็รู้สึกถึงความเหินห่างจากเธอได้ตลอดมาแม้เธอจะยิ้มให้เขา แต่ดูเหมือนกับปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้เธออยู่กลาย ๆเขาต้องทำอะไรถึงจะได้เข้าไปในหัวใจของเธอได้จริง ๆ ? ...หลิงอี้หรานรีบไปยังชั้นของแผนกกุมารเวชผู้ป่วยใน เธอบอกชื่อของอาหยันน้อยกับพยาบาลที่โต๊ะพยาบาลและเดินไปหาที่ห้องพักผู้ป่วยอาหยันน้อยกำลังหลับอยู่เจ้าตัวน้อยนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล มีผ้าพันแผลพันรอบหน้าแข้งของเขา และใบหน้าก็ฟกช้ำ แม้ว่าดวงตาของเขาจะหลับอยู่ แต่มันก็บวมนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะโดนต่อยมาคุณนายโจวนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของอาหยันน้อย น้ำตาไหลลงมาตามใบหน้าของเธอเงียบ ๆหลิงอี้หรา
“ถ้าฉันลองถามเหลียนอีให้หาทางย้ายอาหยันน้อยไปโรงเรียนอื่นล่ะคะ?” หลิงอี้หรานถามอย่างไรตอนนี้ทุกคนที่โรงเรียนอนุบาลคงรู้แล้วว่า โจวเชียนหยุนเคยติดคุกมาก่อน และถ้าอาหยันน้อยยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีโอกาสที่เขาอาจจะโดนเลือกปฏิบัติได้อีกหลิงอี้หรานเคยเจอประสบการณ์นั้นมาก่อน และเธอไม่อยากให้อาหยันน้อยเจอเรื่องเดียวกันนี้! ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่นี่ได้ พวกเขาก็ทำได้แค่ต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของตัวเองถึงอย่างนั้น โจวเชียนหยุนกลับไม่ได้ตอบข้อแนะนำของหลิงอี้หราน แต่กลับถามกลับแทน “ถ้าฉันรื้อคดีขึ้นมาตอนนี้ ฉันมีโอกาสที่จะชนะกี่เปอร์เซ็นต์?”หลิงอี้หรานผงะไปและคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบโจวเชียนหยุนว่า “30 เปอร์เซ็นต์ค่ะ”โจวเชียนหยุนยิ้มเจื่อน ‘แค่ 30 เปอร์เซ็นต์... ถ้ารื้อคดีขึ้นมา โอกาสที่จะชนะคือ 30 เปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ?’ แต่คนธรรมดาก็จะสู้ แม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสชนะแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม!แต่นี่ก็น้อยไปสำหรับเธอ!“เพราะว่ามันก็ผ่านมานานแล้ว หลักฐานบางอย่างก็คงหายไป ดังนั้นต่อให้เรารื้อคดีขึ้นมา แต่ผู้พิพากษาก็จะอ้างอิงคำให้การเพิ่มเติมของพยานมากกว่า
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค