กู้ลี่เฉินตกตะลึงไป แต่ในตอนที่เขาเปิดประตูนั้น ประตูไม่ได้ล็อกไว้“ไปสถานีตำรวจก่อนดีกว่าครับ!” นายตำรวจคนนั้นกล่าว“ค่ะ” หลิงอี้หรานตอบ“ผมจะไปกับคุณ” กู้ลี่เฉินกล่าวพลางจับมือของหลิงอี้หรานไว้“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองได้ ขอบคุณ” หลิงอี้หรานพูดทว่าแทนที่เขาจะปล่อยมือเธอ กู้ลี่เฉินกลับยืนกรานและพูดว่า “ผมจะไปกับคุณ! ผมเป็นพยานคนแรกทันทีที่เปิดประตูออกนะ” ดวงตาฟินิกซ์ของเขามองตรงมายังเธอ ราวกับว่าเขาจะยังคงถ่วงเวลาต่อไป หากเธอตอบปฏิเสธหลิงอี้หรานไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากต้องพยักหน้าตกลง แม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แต่กู้ลี่เฉินก็ไม่ได้ต้องขออนุญาตเธอในการมาสถานีตำรวจ อีกอย่างก็เหมือนกับที่เขาบอก เขาเป็นพยานคนแรกในเหตุการณ์นี้เพราะเขาเป็นคนแรกที่เปิดประตูกู้ลี่เฉินมองไปยังกลุ่มคนนอกประตูและดึงหลิงอี้หรานมาหลบข้างหลังเขา “หลบหลังผมไว้แล้วเดินไป”“ฮะ?” กู้ลี่เฉินเป็นคนนำหลิงอี้หรานออกไปในขณะที่เธอยังคงงง ๆ อยู่ เหล่าทีมงานและลูกค้าในห้างสรรพสินค้ายืนอยู่โดยรอบ แต่ส่วนมากเป็นแฟนคลับของเหล่านักแสดงเสียส่วนใหญ่ต่างก็มองมาทางนี้กันเป็นตาเดียวแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยกัน
หวาลี่ฟางกำลังหมกมุ่นกับความคิดตัวเอง ในตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงมาจากส่วนนั่งเล่น “หือ อะไรเนี่ย?” นั่นเป็นเสียงของแม่บ้านที่รับหน้าที่ทำความสะอาดสรรพสินค้าจากนั้นใครบางคนก็พูดว่า “รูป... รูปอะไรเนี่ย? ว้าว น่าสะอิดสะเอียนมากเลย!”‘รูปเหรอ?’หวาลี่ฟางขนลุกซู่และจำได้ขึ้นมาว่าเธอไปหลอกให้จ้าวต้าจู้แลกเปลี่ยนรูปกับเธอหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ตามจ้าวต้าจู้เข้ามาในส่วนนั่งเล่นหลังจากเอายาให้เขา และเธอก็คำนวณเวลาที่ยาออกฤทธิ์กับจ้าวต้าจู้ขณะที่รออยู่ข้างนอกความคิดตอนแรกของเธอหลังจากที่จ้าวต้าจู้กับหลิงอี้หรานโดนเปิดโปงว่าทำเรื่องคาว ๆ กัน แล้วเธอจะมาเอารูปไปตอนที่ไม่มีใครเห็น แต่เธอไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนกับที่เธอคิดเลย ดังนั้นเธอจึงลืมเรื่องเก็บรูปกลับมาเสียสนิทหวาลี่ฟางรีบเข้าไปในส่วนนั่งเล่น และเห็นว่าหลายคนกำลังดูรูปในมือตัวเองในทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “นี่ดูเหมือนหวาลี่ฟางนะ” “ว้าว จริงดิ? ผู้หญิงในนี้ดูเชยสะบัดเลยนะ ไม่ใช่เธอหรอก” “รูปแบบถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายน่าเกลียดและหน้าตาบ้าน ๆ ด้วย เดี๋ยวนะ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนคนที่อยู่บนเปลห
หลิงอี้หรานอยากจะตอบปฏิเสธ แต่เมื่อมองไปยังสีหน้าจริงจังของกู้ลี่เฉิน เธอก็ได้แต่กลืนคำปฏิเสธลงทันทีโทรศัพท์มือถือในมือเธอดูเหมือนจะหนักขึ้นเล็กน้อยกู้ลี่เฉินกล่าวว่า “มาเถอะ ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านก่อน ผมจะเป็นคนสืบเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เอง! คุณจะต้องไม่โดนทำร้ายฝ่ายเดียว”“เราแจ้งความไปแล้ว และเขาจะสืบเรื่องนี้เองแหละค่ะ” หลิงอี้หรานกล่าว“ผมไม่มั่นใจว่าตำรวจจะสืบเรื่องนี้ให้” กู้ลี่เฉินกล่าว ถ้ามีใครพยายามทำร้ายเธอ งั้นเขาก็จะเป็นคนจัดการงูเห่าเอง “ผมจะไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายคุณไป!”ในทันใดนั้นเองหลิงอี้หรานก็ถามว่า “แล้วถ้าคนที่อยากทำร้ายฉันเป็นหวาลี่ฟางล่ะคะ? คุณก็จะไม่ปล่อยเธอไปเหรอ?” กู้ลี่เฉินนิ่งไปในทันที ความเป็นไปได้นี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะคิดถึง เขาสามารถลงโทษคนอื่น ๆ อย่างรุนแรง และทำให้พวกเขาชดใช้อย่างสาสมได้กว่าพันครั้งถึงอย่างนั้น... ลี่ฟางก็เป็นคนที่เขาคิดถึงมากว่า 20 ปี และเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาตอนที่เขายังเด็กเลยนะ!ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เธอมีชีวิตที่มั่งคั่งและสงบสุขเมื่อเห็นแบบนี้หลิงอี้หรานก็หัวเราะกับตัวเอง “ช่างเถอะค่ะ” เธอเดินออกจากสถานีตำรวจพลางพ
เมื่อพวกเขาขึ้นรถ กู้ลี่เฉินก็ปล่อยเธอลงตรงเบาะผู้โดยสารแล้วคาดเข็มขัดให้เธอ จากนั้นเขาก็กลับไปยังที่นั่งคนขับแล้วออกรถ รถมุ่งหน้าไปยังบ้านเช่าของหลิงอี้หราน ระหว่างทางกู้ลี่เฉินซื้อยาทาแผลมาเพื่อบรรเทาอาการฟกช้ำ“ไม่ทายาก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่รอยข่วนไม่กี่เส้น แล้วมันก็จะหายในสองวันด้วย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” หลิงอี้หรานกล่าว“ถ้าเป็นเรื่องของคุณ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม” เขากล่าว ประดุจดังเพื่อป้องกันไม่ให้เธอไม่ทายา เขาจึงจอดรถข้างถนน และมองไปยังรอยข่วนบนแขนของเธอ และต้องการทายาให้บาดแผลของเธอ“ฉัน... ฉันทาเองได้!” เธอรีบหยิบยาจากมือของเขาและเปิดฝามันออก จุ่มนิ้วลงในยาแล้วทามันลงบนแผลความเย็นของเนื้อครีมซึมซาบผ่านผิวหนัง เพราะมีรอยฟกช้ำไม่มาก หลิงอี้หรานจึงทายาเสร็จอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลิงอี้หรานปิดฝากระปุกยา เธอก็ได้ยินเสียงกู้ลี่เฉินพูดว่า “ถ้าลี่ฟางทำร้ายคุณ ผมก็จะให้ความยุติธรรมกับคุณ”หลิงอี้หรานมองไปยังกู้ลี่เฉินด้วยความประหลาดใจ “คุณ...”กู้ลี่เฉินพูดว่า “ลี่ฟางช่วงชีวิตผมไว้ตอนที่ยังเด็ก เธอเป็นคนสำคัญสำหรับผมจริง ๆ และผมหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเธอ
หวาลี่ฟางพูดตามที่ตัวเองวางแผนไว้แล้วเล่นบทเป็นเหยื่อคนหนึ่ง ตราบใดที่เธอเล่นเป็นเหยื่อ เรื่องที่หลิงอี้หรานเจอก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ และหลิงอี้หรานก็แค่บังเอิญซวย“ทุกอย่างที่คุณพูดตอนนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” กู้ลี่เฉินถามขณะที่มองคนตรงหน้าเขาหวาลี่ฟางพูดขึ้นในทันทีว่า “ใช่สิคะ ทำไมฉันต้องโกหกคุณด้วยล่ะลี่เฉิน? คุณรู้อะไรไหมคะ? ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัว ถ้าฉันเป็นคนที่เข้าไปในนั้น และฉันก็ไม่ได้ฉลาดเหมือนอี้หราน หลังจากนั้นฉันคง... เป็นข่าวฉาวไปทั่วทั้งเมืองเฉินและตอนนี้คงโดนหัวเราะเยาะใส่แน่เลย!”เธออยากจะโถมตัวเขาไปในอ้อมแขนของเขาเพื่อหาการปลอบโยนขณะที่เธอพูด แต่กู้ลี่เฉินผลักหวาลี่ฟางออกจากอ้อมแขนของเขา “ลี่ฟาง ผมบอกไปแล้วไงว่าผมเห็นคุณเป็นคนที่ช่วยชีวิตตอนเด็กเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรที่ไม่เหมาะสม หรือพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด” สีหน้าของหวาลี่ฟางเปลี่ยนไปในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และเธอก็กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น “แล้วผมก็หวังว่าวันนี้คุณจะพูดความจริงนะ เพราะตำรวจเริ่มสืบสวนเรื่องนี้แล้ว และอีกไม่นานผลก็คงออกมา” กู้ลี่เฉินกล่าวหวาลี่ฟาง
ถึงอย่างนั้นจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เพื่อนสนิทของเธอเพิ่งจบกับอี้จิ่นหลีมาและยังคงเจ็บปวดกับการอกหักอยู่ การที่หลิงอี้หรานมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวจะทำให้เธอเศร้าหรือเปล่า? สิ่งนี้จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า?“ในอีกสามเดือนเหรอ? หลิงอี้หรานตะลึงไป เธอไม่คาดคิดเลยว่าเพื่อนสนิทของเธอจะปาระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ออกมา“ใช่ ทิงซินบอกว่า เขาจะใช้เวลาสามเดือนจัดการแก้ปัญหาเรื่องขัดแย้งในครอบครัวไป๋ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะแต่งงานกัน” ชินเหลียนอีกล่าวแม้ว่ามันอาจจะดูเร็วไปในทีแรก แต่เธอก็เบาใจขึ้นเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วว่าจะแต่งงานในอีกสามเดือน เธอยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยวินาทีที่เธอจะได้เป็นภรรยาของไป๋ทิงซินด้วย!“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ยินดีกับเธอด้วย!” หลิงอี้หรานพูดด้วยรอยยิ้มและอวยพรให้เพื่อนสนิทด้วยความจริงใจ “ฉันต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เธอแน่อยู่แล้ว! ฉันจะโกรธมากด้วยถ้าเธอไม่ให้ฉันเป็นนะ!” “ถ้าเธอรู้สึกไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ...”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ยื่นแขนออกมาและโอบกอดชินเหลียนอีไว้ “เหลียนอี ฉันไม่มีตรงไหนที่จะไม่โอเคเลย ฉันรู้นะว่าเธอเป็นห่วงฉัน เธอห่วงว่าฉันจะคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองแ
ชินเหลียนอีเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างคุ้นกับวัดนี้พอสมควร เธอพาหลิงอี้หรานไปซื้อธูปและทองแผ่นในวัดก่อนจะไปยังโถงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าวัดที่สุดมีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงทางเข้าห้องโถง หลิงอี้หรานเดินตามชินเหลียนอีและจุดธูปก่อนจะปักธูปลงไปในกระถางธูปในตอนที่ทั้งสองกำลังจะเข้าไปในห้องโถงของวัด หลิงอี้หรานก็ได้ยินคนที่กำลังจุดธูปอยู่ข้างหลังพวกเธอพูดว่า “เธอได้ยินหรือยัง? อี้จิ่นหลีก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ”“อี้จิ่นหลี? อี้จิ่นหลี... คนในตระกูลอี้น่ะเหรอ?”“จะมีอี้จิ่นหลีไหนมาที่นี่พร้อมกับมีรปภ. คอยตรวจนู่นตรวจนี่ตรงหน้าทางเข้าวัดแบบนี้อีกล่ะ?”หลิงอี้หรานตัวสั่น เธอคิดว่าบางทีคงเป็นเพราะชื่อของเขาอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเธอมาตลอด และเธอไม่เคยได้ยินชื่อของเขาอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้! แล้วพวกเขา... ยังอยู่ในวัดเดียวกันอีกด้วย ชินเหลียนอีเองก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เธอมองไปยังหลิงอี้หรานด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะอึกอักในทันที “เรา... กลับกันทันทีที่ไหว้พระเสร็จไหม?”หลิงอี้หรานพูดด้วยท่าทีที
หลังจากได้ยินคำว่า ‘อี้หราน’ อี้จิ่นหลีซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลก็หยุดเดินขึ้นมากะทันหันและมองไปทางหลิงอี้หรานและชินเหลียนอี เกาฉงหมิงที่ยืนอยู่ข้างอี้จิ่นหลีเองก็ได้ยินเช่นเดียวกันและมองไปทางนั้นด้วยเหมือนกัน เขารีบหันไปมองเจ้านายที่ยืนอยู่ถัดจากเขาในทันที ถึงอย่างนั้นอี้จิ่นหลีกลับมองหลิงอี้หรานที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างเฉยเมยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเลย“ไปกันเถอะ” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะเดินลงเขาไปจุดที่หลิงอี้หรานล้มอยู่ไม่ไกลจากบันได ดังนั้นถ้าจะออกไปอี้จิ่นหลีก็ต้องเดินผ่านหลิงอี้หรานไปในตอนนี้เองที่เหล่าผู้แสวงบุญซึ่งเคยอยู่ข้างนอกก็ได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงจนหมดข้างนอกจึงว่างเปล่าและหลิงอี้หรานก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเธอเห็นเพียงว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอเขาคือ... อี้จิ่นหลีเธอเงยหน้าและมองไปยังเขาด้วยสายตาว่างเปล่ามันไม่เหมือนกับตอนที่เธอชำเลืองมองเขาตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องโถงนั้น เขาเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอมองเห็นเขาได้ชัดมากขึ้น ๆใบหน้าเย็นชาและสวยงามของเขายังคงดูดีเหมือนเดิม ยกเว้นก็เพียงสีหน้านั้นไม่ได้อ่อ