ถึงอย่างนั้นจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เพื่อนสนิทของเธอเพิ่งจบกับอี้จิ่นหลีมาและยังคงเจ็บปวดกับการอกหักอยู่ การที่หลิงอี้หรานมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวจะทำให้เธอเศร้าหรือเปล่า? สิ่งนี้จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า?“ในอีกสามเดือนเหรอ? หลิงอี้หรานตะลึงไป เธอไม่คาดคิดเลยว่าเพื่อนสนิทของเธอจะปาระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ออกมา“ใช่ ทิงซินบอกว่า เขาจะใช้เวลาสามเดือนจัดการแก้ปัญหาเรื่องขัดแย้งในครอบครัวไป๋ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะแต่งงานกัน” ชินเหลียนอีกล่าวแม้ว่ามันอาจจะดูเร็วไปในทีแรก แต่เธอก็เบาใจขึ้นเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วว่าจะแต่งงานในอีกสามเดือน เธอยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยวินาทีที่เธอจะได้เป็นภรรยาของไป๋ทิงซินด้วย!“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ยินดีกับเธอด้วย!” หลิงอี้หรานพูดด้วยรอยยิ้มและอวยพรให้เพื่อนสนิทด้วยความจริงใจ “ฉันต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เธอแน่อยู่แล้ว! ฉันจะโกรธมากด้วยถ้าเธอไม่ให้ฉันเป็นนะ!” “ถ้าเธอรู้สึกไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ...”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ยื่นแขนออกมาและโอบกอดชินเหลียนอีไว้ “เหลียนอี ฉันไม่มีตรงไหนที่จะไม่โอเคเลย ฉันรู้นะว่าเธอเป็นห่วงฉัน เธอห่วงว่าฉันจะคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองแ
ชินเหลียนอีเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างคุ้นกับวัดนี้พอสมควร เธอพาหลิงอี้หรานไปซื้อธูปและทองแผ่นในวัดก่อนจะไปยังโถงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าวัดที่สุดมีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงทางเข้าห้องโถง หลิงอี้หรานเดินตามชินเหลียนอีและจุดธูปก่อนจะปักธูปลงไปในกระถางธูปในตอนที่ทั้งสองกำลังจะเข้าไปในห้องโถงของวัด หลิงอี้หรานก็ได้ยินคนที่กำลังจุดธูปอยู่ข้างหลังพวกเธอพูดว่า “เธอได้ยินหรือยัง? อี้จิ่นหลีก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ”“อี้จิ่นหลี? อี้จิ่นหลี... คนในตระกูลอี้น่ะเหรอ?”“จะมีอี้จิ่นหลีไหนมาที่นี่พร้อมกับมีรปภ. คอยตรวจนู่นตรวจนี่ตรงหน้าทางเข้าวัดแบบนี้อีกล่ะ?”หลิงอี้หรานตัวสั่น เธอคิดว่าบางทีคงเป็นเพราะชื่อของเขาอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเธอมาตลอด และเธอไม่เคยได้ยินชื่อของเขาอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้! แล้วพวกเขา... ยังอยู่ในวัดเดียวกันอีกด้วย ชินเหลียนอีเองก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เธอมองไปยังหลิงอี้หรานด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะอึกอักในทันที “เรา... กลับกันทันทีที่ไหว้พระเสร็จไหม?”หลิงอี้หรานพูดด้วยท่าทีที
หลังจากได้ยินคำว่า ‘อี้หราน’ อี้จิ่นหลีซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลก็หยุดเดินขึ้นมากะทันหันและมองไปทางหลิงอี้หรานและชินเหลียนอี เกาฉงหมิงที่ยืนอยู่ข้างอี้จิ่นหลีเองก็ได้ยินเช่นเดียวกันและมองไปทางนั้นด้วยเหมือนกัน เขารีบหันไปมองเจ้านายที่ยืนอยู่ถัดจากเขาในทันที ถึงอย่างนั้นอี้จิ่นหลีกลับมองหลิงอี้หรานที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างเฉยเมยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเลย“ไปกันเถอะ” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะเดินลงเขาไปจุดที่หลิงอี้หรานล้มอยู่ไม่ไกลจากบันได ดังนั้นถ้าจะออกไปอี้จิ่นหลีก็ต้องเดินผ่านหลิงอี้หรานไปในตอนนี้เองที่เหล่าผู้แสวงบุญซึ่งเคยอยู่ข้างนอกก็ได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงจนหมดข้างนอกจึงว่างเปล่าและหลิงอี้หรานก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเธอเห็นเพียงว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอเขาคือ... อี้จิ่นหลีเธอเงยหน้าและมองไปยังเขาด้วยสายตาว่างเปล่ามันไม่เหมือนกับตอนที่เธอชำเลืองมองเขาตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องโถงนั้น เขาเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอมองเห็นเขาได้ชัดมากขึ้น ๆใบหน้าเย็นชาและสวยงามของเขายังคงดูดีเหมือนเดิม ยกเว้นก็เพียงสีหน้านั้นไม่ได้อ่อ
หากทวยเทพและพระพุทธเจ้ามีจริง จะช่วยเมตตาเธอ ให้เธอ... ปล่อยวางจากความสัมพันธ์นี้ได้ไหม? จะช่วยให้หัวใจของเธอที่เคยแตกสลายไปเพราะผู้ชายคนนั้นกลับมาสงบสุขได้อีกไหม?ดูเหมือนว่าบางครั้ง การที่ไม่รักใครอาจกลายเป็นพรอย่างหนึ่ง!ที่ข้างล่างของเนินเขาอี้จิ่นหลีนั่งอยู่ในรถขณะที่พิงหลังกับเบาะที่นั่งข้างหลังและหลับตาลงเพื่อพักสายตาเกาฉงหมิงซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ามองไปที่เจ้านายของเขาผ่านกระจกหลังด้วยความหวาดกลัวเพราะว่าเมื่อกี้นายน้อยอี้ไม่ได้ทำอะไรตอนที่เห็นหลิงอี้หราน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจหลิงอี้หรานอีกแล้วอย่างน้อย... มันก็ดู ‘เหมือน’ จะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องจริงเป็นอย่างไรกันนะ? เกาฉงหมิงสงสัย สุดท้ายแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าเกาฉงหมิงเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ที่อี้จิ่นหลีกับหลิงอี้หรานได้พบกันเพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าหลิงอี้หรานสำคัญกับนายน้อยอี้อย่างไร แม้หลิงอี้หรานจะอยากฆ่านายน้อยอี้ นายน้อยอี้ก็คงปล่อยให้เธอทำตามที่ต้องการนายน้อยอี้จะหมดรักผู้หญิงที่เขารักจนสุดหัวใจในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ได้จริงเหรอ?บางที การที่นายน้อยอี้ทำเป็นเฉยเมยมากเท่าไหร่ ก็เป็นการยิ่งบ
หลิงอี้หรานมองไปยังหวาลี่ฟางพลางกระตุกยิ้มมุมปากเพียงข้างเดียว เธอไม่เชื่อว่าหวาลี่ฟางจะเสียใจอะไรทั้งนั้นแหละ เธอมั่นใจเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ว่าหวาลี่ฟางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถึงอย่างนั้น... ไม่มีใครรู้ว่าตำรวจสืบสวนสอบสวนเจออะไรบ้าง กู้ลี่เฉินลุกขึ้นและเดินเข้ามาหา เขามองหลิงอี้หรานและกล่าวว่า “ตำรวจโทรหาผมเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะอยากทำร้ายใคร แต่ถ้าผมรู้ว่าใครเป็นคนวางยาชายคนนั้นและล็อกประตูห้อง ผมจะทำให้มันต้องชดใช้และมอบความยุติธรรมให้กับคุณ!”หลิงอี้หรานเงยหน้ามองเขา ‘เขารู้ว่าฉันสงสัยหวาลี่ฟาง ถ้าอย่างนั้นเขากำลังบอกว่าถ้าหวาลี่ฟางเป็นคนทำ เขาก็จะไม่ปกป้องเธอเหรอ?’หวาลี่ฟางขนลุก และมีความอิจฉาปรากฏผ่านดวงตาของเธอเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่กู้ลี่เฉินพูด‘นี่ลี่เฉินใส่ใจหลิงอี้หรานมากเสียจนไม่สามารถทนมองหลิงอี้หรานโดนทำร้ายแม้แต่นิดเลยงั้นเหรอ? หลิงอี้หรานไม่ได้เจ็บอะไรเลย เธอแค่โดนข่วนที่แขนเองนะ’ตำรวจกล่าวว่า “เอาล่ะ เข้าไปในห้องกันเถอะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะอธิบายกับคุณ”สมาชิกในครอบครัวของจ้าวต้าจู้เข้าไปในห้องพร้อมกับพวกเขา เพราะไม่ว่าอย่างไร จ้าวต้าจู้เองก็ถู
หวาลี่ฟางถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอน 4 โมง 12 นาที เธอยังแต่หน้าอยู่! แถมเธอยังมีพยานเต็มไปหมดเลยด้วย!“ใครเป็นคนขยับกล้องวงจรปิดครับ?” กู้ลี่เฉินถาม “เรากำลังตรวจสอบเรื่องนั้นอยู่ว่ามีใครในที่เกิดเหตุสังเกตเห็นว่าใครเป็นคนขยับกล้องไหม ถึงอย่างนั้นผมก็เกรงว่ามันอาจต้องใช้เวลานาน เพราะเราต้องหาทางติดต่อกับคนที่อยู่ในบริเวณส่วนนั่งเล่นของห้างสรรพสินค้าในเวลานั้น และตรวจสอบว่าพวกเขาสังเกตเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า” ตำรวจกล่าว จากนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องจ้าวต้าจู้จากคำให้การของจ้าวต้าจู้ วันนั้นเขามาหาหวาลี่ฟาง และหวาลี่ฟางก็บอกให้เขารออยู่ในส่วนนั่งเล่นจ้าวต้าจู้รู้สึกไม่สบายตัวหลังจากนั้นสิบนาที แล้วเขาก็ไม่มีความทรงจำอะไรหลังจากนั้นอีกเลย ผลจากแล็บของโรงพยาบาลออกมาแล้ว และจ้าวต้าจู้ก็โดนวางยาจริง ๆ ซึ่งยาตัวนั้นมีผลกระตุ้นความต้องการทางเพศ ทว่ายาตัวนี้หาซื้อได้ง่ายในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาที่มาของมันตำรวจบอกว่า พวกเขายังคงตามสืบเรื่องนี้ต่อไป แต่ก็ยากที่จะได้ผลโดยเร็วเนื่องจากหลักฐานที่ไม่เพียงพอในปัจจุบันหวาลี่ฟางรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้! ตราบใดที่พว
“ผมเกือบจะมาไม่ทันซะแล้ว” เสียงราวกับสายลมยามค่ำคืนดังขึ้นในหูของเธอหลิงอี้หรานหันไปมองและเห็นกู้ลี่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ “ทำไมคุณถึงมาขึ้นรถเมล์ล่ะ?” เธอถามด้วยความประหลาดใจ“เพราะผมยังอยากไปส่งคุณกลับบ้านไงล่ะ ในเมื่อคุณไม่ขึ้นรถผม ผมก็จะนั่งรถเมล์ไปกับคุณ” เขากล่าวหลิงอี้หรานตะลึงไป บางทีเพราะเธอไม่คาดคิดเลยว่ากู้ลี่เฉินจะมานั่งรถเมล์ไปพร้อมกับเธอ“จ่ายเงินก่อนโดยสารด้วยครับ” คนขับรถกล่าวเตือนขณะที่ขับรถออกจากป้ายรถเมล์กู้ลี่เฉินคลำกระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วดึงแบงก์ร้อยดอลลาร์และกำลังจะเอามันใส่ลงไปในกล่องจ่ายเงินค่าโดยสาร สุดท้ายแล้วแบงก์เล็กสุดที่เขามีก็มีแค่แบงก์นี้เท่านั้น“เดี๋ยวก่อน!” หลิงอี้หรานรีบหยุดกู้ลี่เฉินไว้ “นี่คุณจะใส่แบงก์ร้อยลงไปงั้นเหรอ?”“ก็ผมมีแค่แบงก์ร้อนนี่” กู้ลี่เฉินกล่าวเสียงเบา หลิงอี้หรานเม้มปากเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันจ่ายให้คุณเอง เก็บเงินคุณไปเถอะ” พูดจบเธอก็ใช้บัตรโดยสารรายเดือนแตะเครื่องจ่ายเงินค่าโดยสารก่อนจะเดินไปกลางรถตอนนี้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน และรถก็ค่อนข้างโล่ง แต่ว่าไม่มีที่นั่งเหลือเลยหลิงอี้หรานเจอที่เหมาะ ๆ สำหรับยืนแล้ว เธอ
เขาต้องเลือกทำตามหัวใจของตัวเองเป็นอย่างแรก!หลิงอี้หรานไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำพูดของกู้ลี่เฉินอย่างไรไปครู่หนึ่ง และความเงียบก็ปกคลุมระหว่างพวกเขาในตอนนั้นเอง ที่นั่งข้าง ๆ อี้หรานว่างลงเพราะมีผู้โดยสารลุกขึ้นเพื่อลงรถพอดี“คุณจะนั่งลงไหม? หรือคุณอยากจะยืนกับผม?” กู้ลี่เฉินถามหลิงอี้หรานเม้มปากและนั่งลง อย่างน้อยถ้าเธอนั่งลงแล้วเขายืน ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็คงไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป และความกดดันก็คงจะไม่ชัดเจนมากเกินไปด้วยทว่าในเวลาต่อมาเธอก็ต้องคืนคำพูดในความคิดก่อนหน้าทั้งหมดไป กู้ลี่เฉินเดินมายังที่นั่งของเธอ เขาวางมือบนที่จับตรงเก้าอี้ ด้วยความสูงของเขาเมื่อเขาทำอย่างนั้นหลังของเขาจึงโน้มลงมาเล็กน้อย และทำให้ดูคล้ายกับว่าเขากำลังกักขังเธอไว้ด้วยแขนของเขาหลิงอี้หรานรู้สึกได้เพียงความอึดอัดพลางก้มหน้าลงมองพื้น เธอพยายามเพิกเฉยต่อกู้ลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอถึงอย่างนั้น อีกหลายป้ายกว่าเธอจะลง อย่างน้อยก็ใช้เวลาตั้ง 40 นาทีเลยนะ! หลิงอี้หรานหลับตาลง และทำเป็นว่างีบหลับไปกู้ลี่เฉินก้มลงมองร่างบางซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ จากมุมที่เขามองแล้ว เขาเห็นผมสีดำ คิ้วโก่งของเธอ ดวงตาท
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค