ถึงอย่างนั้นจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เพื่อนสนิทของเธอเพิ่งจบกับอี้จิ่นหลีมาและยังคงเจ็บปวดกับการอกหักอยู่ การที่หลิงอี้หรานมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวจะทำให้เธอเศร้าหรือเปล่า? สิ่งนี้จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า?“ในอีกสามเดือนเหรอ? หลิงอี้หรานตะลึงไป เธอไม่คาดคิดเลยว่าเพื่อนสนิทของเธอจะปาระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ออกมา“ใช่ ทิงซินบอกว่า เขาจะใช้เวลาสามเดือนจัดการแก้ปัญหาเรื่องขัดแย้งในครอบครัวไป๋ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะแต่งงานกัน” ชินเหลียนอีกล่าวแม้ว่ามันอาจจะดูเร็วไปในทีแรก แต่เธอก็เบาใจขึ้นเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วว่าจะแต่งงานในอีกสามเดือน เธอยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยวินาทีที่เธอจะได้เป็นภรรยาของไป๋ทิงซินด้วย!“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ยินดีกับเธอด้วย!” หลิงอี้หรานพูดด้วยรอยยิ้มและอวยพรให้เพื่อนสนิทด้วยความจริงใจ “ฉันต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เธอแน่อยู่แล้ว! ฉันจะโกรธมากด้วยถ้าเธอไม่ให้ฉันเป็นนะ!” “ถ้าเธอรู้สึกไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ...”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ยื่นแขนออกมาและโอบกอดชินเหลียนอีไว้ “เหลียนอี ฉันไม่มีตรงไหนที่จะไม่โอเคเลย ฉันรู้นะว่าเธอเป็นห่วงฉัน เธอห่วงว่าฉันจะคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองแ
ชินเหลียนอีเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างคุ้นกับวัดนี้พอสมควร เธอพาหลิงอี้หรานไปซื้อธูปและทองแผ่นในวัดก่อนจะไปยังโถงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าวัดที่สุดมีกระถางธูปตั้งอยู่ตรงทางเข้าห้องโถง หลิงอี้หรานเดินตามชินเหลียนอีและจุดธูปก่อนจะปักธูปลงไปในกระถางธูปในตอนที่ทั้งสองกำลังจะเข้าไปในห้องโถงของวัด หลิงอี้หรานก็ได้ยินคนที่กำลังจุดธูปอยู่ข้างหลังพวกเธอพูดว่า “เธอได้ยินหรือยัง? อี้จิ่นหลีก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ”“อี้จิ่นหลี? อี้จิ่นหลี... คนในตระกูลอี้น่ะเหรอ?”“จะมีอี้จิ่นหลีไหนมาที่นี่พร้อมกับมีรปภ. คอยตรวจนู่นตรวจนี่ตรงหน้าทางเข้าวัดแบบนี้อีกล่ะ?”หลิงอี้หรานตัวสั่น เธอคิดว่าบางทีคงเป็นเพราะชื่อของเขาอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเธอมาตลอด และเธอไม่เคยได้ยินชื่อของเขาอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้! แล้วพวกเขา... ยังอยู่ในวัดเดียวกันอีกด้วย ชินเหลียนอีเองก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เธอมองไปยังหลิงอี้หรานด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะอึกอักในทันที “เรา... กลับกันทันทีที่ไหว้พระเสร็จไหม?”หลิงอี้หรานพูดด้วยท่าทีที
หลังจากได้ยินคำว่า ‘อี้หราน’ อี้จิ่นหลีซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลก็หยุดเดินขึ้นมากะทันหันและมองไปทางหลิงอี้หรานและชินเหลียนอี เกาฉงหมิงที่ยืนอยู่ข้างอี้จิ่นหลีเองก็ได้ยินเช่นเดียวกันและมองไปทางนั้นด้วยเหมือนกัน เขารีบหันไปมองเจ้านายที่ยืนอยู่ถัดจากเขาในทันที ถึงอย่างนั้นอี้จิ่นหลีกลับมองหลิงอี้หรานที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างเฉยเมยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเลย“ไปกันเถอะ” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะเดินลงเขาไปจุดที่หลิงอี้หรานล้มอยู่ไม่ไกลจากบันได ดังนั้นถ้าจะออกไปอี้จิ่นหลีก็ต้องเดินผ่านหลิงอี้หรานไปในตอนนี้เองที่เหล่าผู้แสวงบุญซึ่งเคยอยู่ข้างนอกก็ได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงจนหมดข้างนอกจึงว่างเปล่าและหลิงอี้หรานก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเธอเห็นเพียงว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอเขาคือ... อี้จิ่นหลีเธอเงยหน้าและมองไปยังเขาด้วยสายตาว่างเปล่ามันไม่เหมือนกับตอนที่เธอชำเลืองมองเขาตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องโถงนั้น เขาเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอมองเห็นเขาได้ชัดมากขึ้น ๆใบหน้าเย็นชาและสวยงามของเขายังคงดูดีเหมือนเดิม ยกเว้นก็เพียงสีหน้านั้นไม่ได้อ่อ
หากทวยเทพและพระพุทธเจ้ามีจริง จะช่วยเมตตาเธอ ให้เธอ... ปล่อยวางจากความสัมพันธ์นี้ได้ไหม? จะช่วยให้หัวใจของเธอที่เคยแตกสลายไปเพราะผู้ชายคนนั้นกลับมาสงบสุขได้อีกไหม?ดูเหมือนว่าบางครั้ง การที่ไม่รักใครอาจกลายเป็นพรอย่างหนึ่ง!ที่ข้างล่างของเนินเขาอี้จิ่นหลีนั่งอยู่ในรถขณะที่พิงหลังกับเบาะที่นั่งข้างหลังและหลับตาลงเพื่อพักสายตาเกาฉงหมิงซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ามองไปที่เจ้านายของเขาผ่านกระจกหลังด้วยความหวาดกลัวเพราะว่าเมื่อกี้นายน้อยอี้ไม่ได้ทำอะไรตอนที่เห็นหลิงอี้หราน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจหลิงอี้หรานอีกแล้วอย่างน้อย... มันก็ดู ‘เหมือน’ จะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องจริงเป็นอย่างไรกันนะ? เกาฉงหมิงสงสัย สุดท้ายแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าเกาฉงหมิงเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ที่อี้จิ่นหลีกับหลิงอี้หรานได้พบกันเพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าหลิงอี้หรานสำคัญกับนายน้อยอี้อย่างไร แม้หลิงอี้หรานจะอยากฆ่านายน้อยอี้ นายน้อยอี้ก็คงปล่อยให้เธอทำตามที่ต้องการนายน้อยอี้จะหมดรักผู้หญิงที่เขารักจนสุดหัวใจในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ได้จริงเหรอ?บางที การที่นายน้อยอี้ทำเป็นเฉยเมยมากเท่าไหร่ ก็เป็นการยิ่งบ
หลิงอี้หรานมองไปยังหวาลี่ฟางพลางกระตุกยิ้มมุมปากเพียงข้างเดียว เธอไม่เชื่อว่าหวาลี่ฟางจะเสียใจอะไรทั้งนั้นแหละ เธอมั่นใจเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ว่าหวาลี่ฟางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถึงอย่างนั้น... ไม่มีใครรู้ว่าตำรวจสืบสวนสอบสวนเจออะไรบ้าง กู้ลี่เฉินลุกขึ้นและเดินเข้ามาหา เขามองหลิงอี้หรานและกล่าวว่า “ตำรวจโทรหาผมเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะอยากทำร้ายใคร แต่ถ้าผมรู้ว่าใครเป็นคนวางยาชายคนนั้นและล็อกประตูห้อง ผมจะทำให้มันต้องชดใช้และมอบความยุติธรรมให้กับคุณ!”หลิงอี้หรานเงยหน้ามองเขา ‘เขารู้ว่าฉันสงสัยหวาลี่ฟาง ถ้าอย่างนั้นเขากำลังบอกว่าถ้าหวาลี่ฟางเป็นคนทำ เขาก็จะไม่ปกป้องเธอเหรอ?’หวาลี่ฟางขนลุก และมีความอิจฉาปรากฏผ่านดวงตาของเธอเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่กู้ลี่เฉินพูด‘นี่ลี่เฉินใส่ใจหลิงอี้หรานมากเสียจนไม่สามารถทนมองหลิงอี้หรานโดนทำร้ายแม้แต่นิดเลยงั้นเหรอ? หลิงอี้หรานไม่ได้เจ็บอะไรเลย เธอแค่โดนข่วนที่แขนเองนะ’ตำรวจกล่าวว่า “เอาล่ะ เข้าไปในห้องกันเถอะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะอธิบายกับคุณ”สมาชิกในครอบครัวของจ้าวต้าจู้เข้าไปในห้องพร้อมกับพวกเขา เพราะไม่ว่าอย่างไร จ้าวต้าจู้เองก็ถู
หวาลี่ฟางถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอน 4 โมง 12 นาที เธอยังแต่หน้าอยู่! แถมเธอยังมีพยานเต็มไปหมดเลยด้วย!“ใครเป็นคนขยับกล้องวงจรปิดครับ?” กู้ลี่เฉินถาม “เรากำลังตรวจสอบเรื่องนั้นอยู่ว่ามีใครในที่เกิดเหตุสังเกตเห็นว่าใครเป็นคนขยับกล้องไหม ถึงอย่างนั้นผมก็เกรงว่ามันอาจต้องใช้เวลานาน เพราะเราต้องหาทางติดต่อกับคนที่อยู่ในบริเวณส่วนนั่งเล่นของห้างสรรพสินค้าในเวลานั้น และตรวจสอบว่าพวกเขาสังเกตเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า” ตำรวจกล่าว จากนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องจ้าวต้าจู้จากคำให้การของจ้าวต้าจู้ วันนั้นเขามาหาหวาลี่ฟาง และหวาลี่ฟางก็บอกให้เขารออยู่ในส่วนนั่งเล่นจ้าวต้าจู้รู้สึกไม่สบายตัวหลังจากนั้นสิบนาที แล้วเขาก็ไม่มีความทรงจำอะไรหลังจากนั้นอีกเลย ผลจากแล็บของโรงพยาบาลออกมาแล้ว และจ้าวต้าจู้ก็โดนวางยาจริง ๆ ซึ่งยาตัวนั้นมีผลกระตุ้นความต้องการทางเพศ ทว่ายาตัวนี้หาซื้อได้ง่ายในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาที่มาของมันตำรวจบอกว่า พวกเขายังคงตามสืบเรื่องนี้ต่อไป แต่ก็ยากที่จะได้ผลโดยเร็วเนื่องจากหลักฐานที่ไม่เพียงพอในปัจจุบันหวาลี่ฟางรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้! ตราบใดที่พว
“ผมเกือบจะมาไม่ทันซะแล้ว” เสียงราวกับสายลมยามค่ำคืนดังขึ้นในหูของเธอหลิงอี้หรานหันไปมองและเห็นกู้ลี่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ “ทำไมคุณถึงมาขึ้นรถเมล์ล่ะ?” เธอถามด้วยความประหลาดใจ“เพราะผมยังอยากไปส่งคุณกลับบ้านไงล่ะ ในเมื่อคุณไม่ขึ้นรถผม ผมก็จะนั่งรถเมล์ไปกับคุณ” เขากล่าวหลิงอี้หรานตะลึงไป บางทีเพราะเธอไม่คาดคิดเลยว่ากู้ลี่เฉินจะมานั่งรถเมล์ไปพร้อมกับเธอ“จ่ายเงินก่อนโดยสารด้วยครับ” คนขับรถกล่าวเตือนขณะที่ขับรถออกจากป้ายรถเมล์กู้ลี่เฉินคลำกระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วดึงแบงก์ร้อยดอลลาร์และกำลังจะเอามันใส่ลงไปในกล่องจ่ายเงินค่าโดยสาร สุดท้ายแล้วแบงก์เล็กสุดที่เขามีก็มีแค่แบงก์นี้เท่านั้น“เดี๋ยวก่อน!” หลิงอี้หรานรีบหยุดกู้ลี่เฉินไว้ “นี่คุณจะใส่แบงก์ร้อยลงไปงั้นเหรอ?”“ก็ผมมีแค่แบงก์ร้อนนี่” กู้ลี่เฉินกล่าวเสียงเบา หลิงอี้หรานเม้มปากเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันจ่ายให้คุณเอง เก็บเงินคุณไปเถอะ” พูดจบเธอก็ใช้บัตรโดยสารรายเดือนแตะเครื่องจ่ายเงินค่าโดยสารก่อนจะเดินไปกลางรถตอนนี้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน และรถก็ค่อนข้างโล่ง แต่ว่าไม่มีที่นั่งเหลือเลยหลิงอี้หรานเจอที่เหมาะ ๆ สำหรับยืนแล้ว เธอ
เขาต้องเลือกทำตามหัวใจของตัวเองเป็นอย่างแรก!หลิงอี้หรานไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำพูดของกู้ลี่เฉินอย่างไรไปครู่หนึ่ง และความเงียบก็ปกคลุมระหว่างพวกเขาในตอนนั้นเอง ที่นั่งข้าง ๆ อี้หรานว่างลงเพราะมีผู้โดยสารลุกขึ้นเพื่อลงรถพอดี“คุณจะนั่งลงไหม? หรือคุณอยากจะยืนกับผม?” กู้ลี่เฉินถามหลิงอี้หรานเม้มปากและนั่งลง อย่างน้อยถ้าเธอนั่งลงแล้วเขายืน ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็คงไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป และความกดดันก็คงจะไม่ชัดเจนมากเกินไปด้วยทว่าในเวลาต่อมาเธอก็ต้องคืนคำพูดในความคิดก่อนหน้าทั้งหมดไป กู้ลี่เฉินเดินมายังที่นั่งของเธอ เขาวางมือบนที่จับตรงเก้าอี้ ด้วยความสูงของเขาเมื่อเขาทำอย่างนั้นหลังของเขาจึงโน้มลงมาเล็กน้อย และทำให้ดูคล้ายกับว่าเขากำลังกักขังเธอไว้ด้วยแขนของเขาหลิงอี้หรานรู้สึกได้เพียงความอึดอัดพลางก้มหน้าลงมองพื้น เธอพยายามเพิกเฉยต่อกู้ลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอถึงอย่างนั้น อีกหลายป้ายกว่าเธอจะลง อย่างน้อยก็ใช้เวลาตั้ง 40 นาทีเลยนะ! หลิงอี้หรานหลับตาลง และทำเป็นว่างีบหลับไปกู้ลี่เฉินก้มลงมองร่างบางซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ จากมุมที่เขามองแล้ว เขาเห็นผมสีดำ คิ้วโก่งของเธอ ดวงตาท