‘เธอกลัวเหรอ นี่ฉันทำเธอกลัวเหรอ?’เขาอยากทำให้เธอตกใจเพื่อสอนเธอ และแสดงให้ดูว่าเขาใจดีแค่ไหน เขาแค่ต้องการให้เธอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาไม่ให้เกียรติเธอจริง ๆแต่เมื่อเขาเห็นเธอในสภาพนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหนัก ๆ กดทับอยู่ในอกของเขา นี่มันไม่ต่างอะไรกับการลงโทษตัวเขาเองเลย! เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน “ก็ได้ ๆ ฉันจะไม่บังคับเธอแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่มีอีก”เธอมองตรงไปที่เขาราวกับไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้เธอไม่คิดว่า จู่ ๆ ตัวเองจะร้องไห้ออกมาหนักขนาดนี้ เธอเคยบอกตัวเองว่าต่อให้เธอโดน ‘ข่มขืน’ เธอก็จะไม่เก็บมาใส่ใจ เธอจะคิดว่าตัวเองโดนผีอำก็เท่านั้น!ถึงอย่างนั้น... เมื่อเธอติดอยู่ในสถานการณ์ที่เธอต่อต้านไม่ได้ ช่วงเวลาที่เธอเคยอยู่ในคุกก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นราวกับว่า ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนขัดขืนมากแค่ไหน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเธอก็ไม่ลดน้อยลงเลยเหมือนกับเธอไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่งในสายตาของพวกเขา เธอเป็นเพียงแค่อะไรบางอย่างที่พวกเขาเตะ และใช้หาประโยชน์ให้ตัวเองสิ่งที่เรียกกันว่าสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรี... ต่างก็ถูกเหยียบย่ำไปจนหมดสิ้น!ดว
นายท่านกู้มองไปยังข้อมือขวาของลูกชายเขาที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่ขณะที่เขาพูดนี่มันเรื่องตลกอะไรที่ต้องมาข้อมือหักเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง!“ถึงผมจะแขนหักอีกจะเป็นอะไรไป? ตราบใดที่ผมตามหาเธอเจอ!” กู้ลี่เฉินเอ่ย“นี่ลูก...” นายท่านกู้รู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีทันใด นายหญิงกู้รีบเข้ามาปลอบสามีของเธอในทันที และพูดกับลูกชายว่า “อย่าทำให้พ่อเขาโกรธสิ อี้จิ่นหลีปฏิบัติกับผู้หญิงคนนั้นต่างออกไปเสียชัดเจนขนาดนี้ ลูกจะเข้าไปยุ่งทำไม?”แม้ว่าตระกูลอี้จะมีอิทธิพลในเมืองเฉินมาก แต่ตระกูลกู้ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไหร่ นายหญิงกู้ไม่ได้หวาดกลัวที่จะต้องปะทะกับตระกูลอี้ ในความเห็นเธอแล้ว หญิงสาวคนนั้นก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ลูกชายของเธอหมกมุ่นมาตั้งแต่เด็กอีกต่อไปแล้ว มีอีกตั้งหลายคนที่เข้ามาแทนที่เธอได้อย่างไรวงการบันเทิงก็ไม่เคยขาดสาวสวยเสียหน่อย!‘ลูกชายฉันอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็ได้ แต่ทำไมเขาต้องอยากได้ผู้หญิงที่อี้จิ่นหลีไม่ยอมปล่อยด้วยล่ะเนี่ย?’ถึงอย่างนั้นสิ่งที่กู้ลี่เฉินกล่าวต่อมาก็ทำให้นายหญิงกู้ต้องตกตะลึง“แม่ครับ ที่ผมต้องเขามายุ่งก็เพาะผมรักอี้หรานไงค
เธอคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยการแกล้งทำเป็นรักเขาแต่ว่า... เธอจะ ‘แกล้งทำ’ ไปได้นานแค่ไหน? ถึงเธอจะทำได้ตลอดไป แต่ทุกอย่างจะต้องจบไม่สวยแน่ถ้าหากอี้จิ่นหลีรู้ว่าเธอโกหกเขาและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอไม่อยากใช้ความรู้สึกของตัวเองไปเพื่อหลอกลวงความรู้สึกของเขา! คฤหาสน์นี้ใหญ่มาก ทั้งตัวบ้านและศาลาประดับในบริเวณคล้ายกับบ้านของพวกครอบครัวร่ำรวยทรงอำนาจที่ปรากฏในหนังและละคร มีสิ่งของหลายอย่างที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับดอกบัวยกตัวอย่างเช่น เครื่องเคลือบลายดอกบัว เสาและคานที่แกะสลักเป็นลายดอกบัว เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเองก็แกะสลักด้วยลวดลายของดอกบัว นี่ยังไม่พูดถึงสระบัวในสวนด้วยนะดอกบัวของที่นี่ยังคงบานสะพรั่งอยู่ แม้ว่าจะหมดฤดูของมันแล้ว ซึ่งทำให้มันดูประหลาดบางทีเจ้าของคฤหาสน์นี้คงจะชอบดอกบัวมาก‘หรือบางที... ผู้หญิงที่ถูกขังไว้ในตอนนั้นอาจจะเป็นคนที่ชอบดอกบัว?’ หลิงอี้หรานคิดกับตัวเองตัวเธอเองก็ค่อนข้างชอบดอกบัว อาจเพราะดอกบัวยังคงดูบริสุทธิ์ได้แม้จะเติบโตมาในโคลนตมก็ตาม!หลิงอี้หรานเดินไปทั่วทั้งบ้าน เพื่อหาอี้จิ่นหลี แม้ว่าเขาจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์ แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเธอเดินไ
“ก็จริง ถึงพวกเขาจะเจอที่นี่แต่พวกเขาก็พาเธอไปไม่ได้หรอก” เขาพูดขณะที่ดึงมือถือของเขาออกมาและส่งมันให้เธอไม่ใช่มือถือของเธอ แต่เป็นของเขา!โชคดีที่เธอเป็นคนความจำดี เธอจำได้ทั้งเบอร์ของเหลียนอีและพี่โจวดังนั้น หลิงอี้หรานจึงโทรหาชินเหลียนอีก่อน เมื่อชินเหลียนอีรับสาย เธอก็มือไม้สั่นจนเกือบทำมือถือตกในตอนที่เธอได้ยินเสียงของหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอ... เธออยู่ไหน? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอแค่ไหนตอนที่อี้จิ่นหลีพาตัวเธอไปน่ะ? อี้จิ่นหลีทำร้ายเธอหรือเปล่า? ผู้ชายสารเลวแบบเขาพาเธอไปได้ยังไง?! นี่มันเป็นการลักพาตัวแล้วนะ ลักพาตัวน่ะ!”หลิงอี้หรานรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในทันที โทรศัพท์ของเธอเปิดสปีกเกอร์โฟนไว้ หรือหมายความว่า อี้จิ่นหลีเองก็ได้ยินทุกอย่างที่เพื่อนรักของเธอพูด อี้จิ่นหลีมองโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มมุมปาก หลิงอี้หรานกลัวว่าเพื่อนรักของเธอจะพูดอะไรที่ทำให้อี้จิ่นหลีไม่พอใจ ดังนั้นเธอจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ฉัน... ฉันสบายดี เหลียนอี ฉันโทรมาหาเธอเพื่อบอกว่าเธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะ แล้วก็เรื่องพี่โจว ฉันควรจะเป็นคนช่วยเรื่องคดีความของเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่แถวนี้ ถ้า... ถ้าฉันไม่ได้
อี้จิ่นหลียื่นมือออกไปหยิบดาบโบราณออกมาหลิงอี้หรานถอยกรูดในทันที ดาบเล่มนี้... ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย“จำตอนที่ฉันเล่าให้เธอฟังว่าใครบางคนในตระกูลอี้เคยใช้ที่นี่กักขังผู้หญิงเอาไว้ได้ไหม? ผู้หญิงคนนั้นตกหลุมรักเขา แต่เธอก็ยังฆ่าผู้ชายคนนั้นด้วยดาบเล่มนี้” อี้จิ่นหลีกล่าวเบา ๆ ราวกับว่ากำลังเล่านิทานให้เธอฟัง‘แต่นี่มัน... ก็เกิดขึ้นจริง ๆ!’ หลิงอี้หรานตกตะลึงไปแล้ว สิ่งที่เขาพูดออกมาตอนนี้ราวกับเป็นเรื่องหักมุมจากสิ่งที่เขาเล่าเมื่อคราวที่แล้วเธอคิดว่า ผู้หญิงคนนั้นจะออกไปจากที่นี่หลังจากที่ตกหลุมรักผู้ชายตระกูลอี้คนนั้นเสียอีกเธอไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้น... จะใช้ดาบเล่มนี้ฆ่าผู้ชายที่รัก!‘เหตุผลคืออะไร? อับอาย? สำนึกผิด? เสียใจ?‘เพราะว่าเธอตกหลุมรักกับผู้ชายอีกคนทั้ง ๆ ที่เธอมีคนที่รักสุดหัวใจอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ?‘เพราะเหตุผลนั้นเหรอที่ทำให้เธอเลือกแบบนั้น?‘รอยด่างบนดาบนั้น... เป็นรอยเลือดเหรอ? รอยเลือดจากตอนนั้นยังอยู่บนดาบอีกเหรอ?’“มันถูกเรียกว่า... เลือดกระเซ็น ก็เพราะว่าเลือดที่กระเซ็นอยู่บนดาบงั้นเหรอ?” เธอถามตะกุกตะกัก“ก็ไม่เชิง” เขาพูดและเดินไปยังผนังที่มี
เธอรู้สึกได้เพียงหัวใจที่หดตัวอย่างต่อเนื่องของตัวเอง ความมั่นใจของเขาทำให้เธอตื่นตระหนกเขาจะเดิมพันด้วยชีวิตที่เหลือของเขา แล้วเธอล่ะจะเดิมพันด้วยอะไร? ...โจวเชียนหยุนโทรคุยกับชินเหลียนอี และได้รู้ว่าอี้จิ่นหลีเอาตัวหลิงอี้หรานไป ไม่มีใครรู้ว่าเธอถูกพาตัวไปที่ไหน และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรเธอจะกลับมาถึงอย่างนั้น ตามที่ชินเหลียนอีบอก ถ้าอี้หรานยังโทรมาหาได้ แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ตอนนี้อี้หรานก็คงไม่ได้ตกที่นั่งลำบากมากนักชินเหลียนอีกล่าวว่า “ตอนนี้เราก็ทำได้เท่านี้ ฉันจะพยายามตามหาว่าอี้จิ่นหลีพาตัวอี้หรานไปไว้ไหน เพราะอย่างนั้นพี่โจวไม่ต้องห่วงเรื่องคดีความนะคะ ฉันจะขอให้ทิงซินหาทนายคนอื่นให้ ถ้าอี้หรานยังไม่ออกมาหลังจากสัปดาห์นี้”“ขอบคุณมากนะ” โจวเชียนหยุนกล่าวอย่างนึกขอบคุณ“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ตราบใดที่พี่กับหยันน้อยจะยังสบายดี!” ชินเหลียนอีกล่าวเมื่อโจวเชียนหยุนไปรับลูกชายที่โรงเรียนอนุบาลในตอนบ่าย เธอก็ยังคงเป็นกังวลเรื่องของหลิงอี้หรานอยู่ เธอไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ที่ถูกผู้ชายแบบอี้จิ่นหลีรัก!‘หลังจากเลิกกันแล้ว ตอนนี้อี้จิ่นหลีต้องการคืนดีกับอี้หราน แล้วอี
“ฉันมาที่นี่เพื่อหาหยันน้อย ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของฉันไม่ใช่เหรอ?” เย่เหวินหมิงกล่าวเบา ๆ ความรู้สึกหลายอย่างผสมกันในทันที เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนตอนที่เธอท้องแล้วเขาบอกให้เธอไปเอาเด็กคนนี้ออก!ถึงอย่างนั้นเธอไม่อยากให้ลูกชายเห็นความขัดแย้งระหว่างพวกเขา“ไปกันเถอะ อาหยันน้อย” โจวเชียนหยุนกล่าว เธอต้องพาลูกชายกลับไปฝากไว้กับแม่ของเธอเพราะเธอต้องไปตั้งร้านแผงลอยเจ้าตัวน้อยกล่าวว่า “คุณพ่อบอกว่าวันนี้จะไปส่งเรากลับบ้านฮะ”ในใจของโจวเชียนหยุนอยากจะกล่าวปฏิเสธในทันที แต่สิ่งที่เย่เหวินหมิงกล่าวต่อมาได้หยุดทุกอย่างที่เธออยากจะพูดลง“อาหยันน้อย อยากให้คุณพ่อไปส่งบ้านเหรอครับ?”“ฮะ” อาหยันน้อยตอบด้วยเสียงเล็ก ๆ ของเขาที่ฟังดูไร้เดียงสาและมีความสุขโจวเชียนหยุนมองไปยังสีหน้ามีความสุขของลูกชายเธอแล้วก็ได้แต่กัดฟันไม่พูดอะไรออกมาพ่อแม่หลายคนที่มารับลูก ๆ ของเขาตรงหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาลต่างมองมาทางพวกเขา เย่เหวินหมิงรูปงามกับโจวเชียนหยุนผู้น่าเวทนาเป็นภาพที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนราวกับว่าพวกเขาไม่สมควรจะยืนอยู่ด้วยกันเลยแม้แต่นิดโจวเชียนหยุนไม่ชินกับการเป็นจุ
“ใช่จ้ะ แม่บอกไปแล้วครั้งก่อนว่าเขาเป็นพ่อของลูกจริง ๆ ไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” โจวเชียนหยุนพูด เธอไม่เคยมีความตั้งใจจะปกปิดความจริงจากลูกชายไปตลอดทั้งชีวิตถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งใจไว้ว่าจะรอจนกว่าเด็กชายจะอายุ 18 ปี แล้วค่อยบอกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะล่วงหน้ามาไกลเลยทีเดียว“ทำไมคุณพ่อถึงกลับมาจากสวรรค์ได้ในตอนนี้เหรอครับ?” เด็กน้อยถามขณะที่มองไปยังเย่เหวินหมิง เย่เหวินหมิงแทบจะสำลัก เขากลอกตาและมองไปยังโจวเชียนหยุนโจวเชียนหยุนรู้สึกอับอายเล็กน้อย ‘ทำไมฉันต้องบอกลูกว่าพ่อเขาขึ้นสวรรค์ไปแล้วด้วยเนี่ย?’“ตอนนั้นพ่อไม่รู้ว่าลูกอยู่ไหน แต่ตอนนี้พ่อรู้แล้ว พ่อจะคอยอยู่เคียงข้างอาหยันน้อยเองนะ” เย่เหวินหมิงกล่าวจะว่าไปก็แปลก เขามักดูเฉยชาอยู่เสมอ แต่กับเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขากลับอ่อนโยนด้วยอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกเสียใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเครื่องช่วยฟังที่ลูกชายของเขาสวมอยู่แม้ว่าลูกชายของเขาจะเกิดมาพิการด้านการฟัง แต่เขาจะไม่ยอมให้อาหยันน้อยด้อยกว่าใคร เขาอยากทำให้ลูกชายของเขาอยู่เหนือกว่าคนอื่นจนไม่มีใครกล้าล้อเลียน!เด็กน้อยแสดงความเขินอายออกมาแต่ก็ยิ้มอย่างคาดหวั