เขาพูดอย่างเผด็จการ “ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือหัวใจของเธอ ฉันก็ต้องการให้เธอรักฉัน! ถึงหัวใจเธอจะไม่รักฉัน แต่ไม่ช้าก็เร็ว เธอก็ต้องรักฉันมากเท่าที่เธอเคยรัก อี้หราน จำคำฉันไว้!”น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจเลือดในกายของเธอดูเหมือนถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว! ‘จะเป็นไปได้ไง? ฉันจะยังรักเขาเหมือนเมื่อก่อนได้งั้นเหรอ?’ความสัมพันธ์ที่แตกสลายไปแล้วจะกลับไปเหมือนเก่าได้อย่างไร? ...ตกกลางคืน เย่เหวินหมิงขึ้นไปบนรถและถูหน้าผากตัวเองด้วยท่าทีค่อนข้างเหนื่อย เขาเพิ่งคุยกับทนายเรื่องคดีความสิทธิ์การเลี้ยงดูทนายที่เขาจ้างมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในคดีความเหล่านี้ ในตอนที่วิเคราะห์คดีความ เขาบอกว่า มีโอกาสที่เย่เหวินหมิงจะชนะคดีนี้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์แม้ว่าเด็กจะอยู่กับโจวเชียนหยุนมาหลายปี แต่ข้อเสียเปรียบใหญ่ที่สุดของโจวเชียนหยุนคือเวลาที่เธอถูกจำคุก ประวัติของเธอมีโอกาสที่จะทำให้ผู้พิพากษาเลือกเขาเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์เลี้ยงดูเขาไม่รู้เลยว่าคดีความในครั้งนั้นจะกลายเป็นอาวุธในการแย่งชิงสิทธิ์เลี้ยงดูขึ้นมา ดวงตาของเย่เหวินหมิงเหนื่อยล้าอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงคดีความหัวใจของเขาคล้ายจะเจ็บปวดอีกครั้ง
รถเคลื่อนมาจนถึงถนนฮวยไห่ และมีร้านริมทางอยู่ข้างหน้า เย่เหวินหมิงบอกคนขับรถให้จอด จากนั้นเขาก็ลงจากรถไปตามลำพังคนขับพูดว่า “คุณเย่ครับ ผมแนะนำร้านอื่นให้คุณได้นะครับ ถ้าคุณอยากทานมื้อดึกที่นี่”“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” เย่เหวินหมิงกล่าวปฏิเสธเบา ๆ จากนั้นเขาก็ตรงไปยังสถานที่ที่คนพลุกพล่านร้านข้างทางดูไม่เข้ากับเย่เหวินหมิงเลยแม้แต่น้อย ปกติแล้ว เขาก็คงไม่เคยมาในที่แบบนี้แต่วันนี้... ในที่สุดเขาก็เห็นร่างบางตรงนั้นแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่เขาก็เห็นเธอด้วยเพียงแวบเดียวที่มอง... เธอยังคงผอมบางอย่างเช่นเคย แต่งตัวเชย ๆ ในชุดสีน้ำตาลพร้อมด้วยผ้ากันเปื้อน เธอดูแตกต่างไปมากจากเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเขา โจวเชียนหยุนก้มหน้าก้มตาทำอาหาร ความร้อนจากกระทะพุ่งเข้าหาใบหน้าที่ยังสวยงามของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอมีชั้นเชิง เธอใช้แขนเรียวโยนอาหารและพลิกออกจากกระทะได้อย่างคล่องแคล่วจู่ ๆ เย่เหวินหมิงก็นึกไปถึงตอนที่เธอบอกว่า เธอจะไปทำอาหารให้เขา แต่กลับจบลงด้วยสภาพที่ดูไม่จืด และในท้ายที่สุดเขาก็ทำข้าวผัดไข่ที่พวกเขาสองคนช่วยกันจัดการจนหมดเกลี้ยงตอนนั้นเธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหวินหมิง คอยดูนะค
“เธอตั้งร้านขายอาหารหาเงิน ส่วนฉันก็มาที่นี่เพื่อซื้ออาหารไง ฉันจะกินหมดหรือไม่หมดก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องกังวล” เย่เหวินหมิงกล่าว จากนั้นเขาก็เดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่ยังว่างและนั่งลงความเย้ายวนใจของเขาไม่เหมาะกับที่ที่เขาอยู่โดยสิ้นเชิงโจวเชียนหยุนไม่คิดว่าเย่เหวินหมิงจะมาที่นี่เพื่อสั่งอาหาร! ‘เขาต้องการอะไรกันแน่?’เธอก้มหน้าก้มตาทำอาหารขณะที่ความคิดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวเธอเสิร์ฟอาหารลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตรงหน้าเขาจานแล้วจานเล่า และใช้เวลาไม่นานอาหารก็เต็มไปทั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นโจวเชียนหยุนดีใจที่ร้านของเธอมีอาหารทั้งหมดสิบเมนูเท่านั้น ไม่อย่างนั้นโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั่นคงจะรองรับอาหารได้ไม่ครบทุกเมนูเมื่อโจวเชียนหยุนเสิร์ฟจานสุดท้ายแล้ว จู่ ๆ เย่เหวินหมิงก็พูดขึ้นว่า “ฝีมือทำอาหารของเธอดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลยนะ”โจวเชียนหยุนตัวสั่นเล็กน้อย “คนเราเปลี่ยนกันได้ค่ะ”ถ้าเธอยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ เธอคงจะเลี้ยงอาหยันน้อยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! เธอไม่ได้บำรุงตัวเองด้วยเครื่องสำอางราคาแพงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทั้งยังแต่งหน้าเล็กน้อยก็ตอนที่ออกจากบ้านเท่านั้นตอนนี้ เธอใ
หญิงสาวจากไนต์คลับหนีออกจากตรงนั้นไปแทบจะในทันทีโจวเชียนหยุนเห็นแบบนี้และยิ้มจาง ๆ เย่เหวินหมิงยังคงอวดดีเช่นเคย เขาจะไปถูกยั่วง่าย ๆ ได้อย่างไร?ครั้งหนึ่ง เขาเคยโดนดาราหน้าใหม่ที่อยากจะมีคืนร้อนแรงกับเขาสักคืน แต่เขาก็ยังยอมทนและออกมาก่อนที่เธอจะได้แตะต้องเขาแน่นอนว่าดาราหน้าใหม่คนนั้นพบเจอกับจุดจบอันน่าสยดสยอง... โจวเชียนหยุนส่ายหัวอย่างหนักเมื่อนึกถึงคืนนั้น‘หยุดคิดเรื่องนั้น มันก็แค่ฝันร้าย!’สิ่งดี ๆ เพียงอย่างเดียวที่เย่เหวินหมิงมอบให้แก่เธอคือ อาหยันน้อยเท่านั้น!ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เธอขับไล่ความทรงจำเหล่านั้นออกไปแล้ว เธอก็มองเห็นเขาด้วยหางตาและเห็นว่าดวงตาล้ำลึกของเขามองมาที่เธอโจวเชียนหยุนตัวแข็งทื่อในทันทีในตอนนั้นราวกับว่าเธอโดนแช่แข็ง เธอมองไปที่เขาเหมือนไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้าของเขาได้ดวงตาของเขาคล้ายกับตาข่ายหนาทึบที่ห่อหุ้มเธอไว้โจวเชียนหยุนไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่ในทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงดังขึ้นในหู “นี่ คนสวย นี่อะไร... สายตาแห่งรักเหรอ? ทำไมเธอไม่จ้องเราแบบนั้นบ้าง...”กลิ่นของแอลกอฮอล์เตะจมูกของโจวเชียนหยุนในทันทีเธอหันไปเห็นว่า มีขี้เ
‘นี่เขา... ช่วยฉัน?’เธอคิดว่าเขาจะเพลิดเพลินกับความอัปยศอดสูของเธอ และยิ่งเธอทุกข์มากเท่าไร เขาก็คงจะยิ่งมีความสุขมากเท่านั้นคนเมาอีกคนต่อยเย่เหวินหมิง เย่เหวินหมิงผลักโจวเชียนหยุนออกจากแขนของเขา จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและต่อยชายคนนั้นเข้าที่ท้องอย่างแรง แน่นอน โจวเชียนหยุนรู้ว่า เย่เหวินหมิงเก่งในเรื่องการต่อสู้ ตอนที่พวกเขายังคบกัน เขาเคยฝึกกับนักต่อสู้มืออาชีพ เธอเคยเห็นเขาในสถานการณ์เช่นนี้อยู่หลายครั้งด้วยเหตุนั้นเธอจึงไม่กังวลเรื่องที่เขาจะต่อยตีแพ้คนขี้เมาพวกนี้เลย‘ฉันแปลกใจมากกว่าว่าทำไม... เขาถึงช่วยฉัน?’เป็นไปตามคาด ไม่นานคนเมาสองคนนั้นก็ร้องขอความเมตตาและสร่างเมาขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งหนีไปอย่างตุปัดตุเป๋เย่เหวินหมิงเดินเข้าไปหาโจวเชียนหยุน “อย่ามาเปิดร้านที่นี่อีก”เขาคิดถึงเรื่องที่เธอโดนคุกคามก่อนหน้านี้ ‘ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่ คนเมาพวกนั้นจะทำอะไรเธอบ้าง?’เขารู้สึกเจ็บใจอย่างประหลาดใจเมื่อคิดเรื่องนี้ และคิดว่า เขาใจดีเกินไปที่ปล่อยสองคนนั้นไปง่าย ๆโจวเชียนหยุนหัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณเย่ คุณพยายามจะทำลายชีวิตฉันเหรอคะ? แค่ส่งคนพวกนั้นมาก่อกวนฉัน
‘เป็นเพราะว่าฉันทนไม่ได้ที่เห็นเธอตกต่ำแบบนี้งั้นเหรอ?‘ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ควร ‘ทนไม่ได้’ เรื่องเธอสิ! เธอไม่มีค่าให้ฉันต้อง ‘ทนไม่ได้’ สักหน่อย!’“ฉันจะให้งานเธอทำเพราะเห็นแก่อาหยันน้อยเท่านั้นแหละ ฉันไม่อยากให้ลูกของฉันต้องลำบากมากก่อนคดีจะจบ” เย่เหวินหมิงพูด เขาพูดเรื่องนี้เพื่อเตือนความจำของโจวเชียนหยุนและตัวเขาเอง โจวหยุนเซียนพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นลูกของฉัน ไม่ใช่ของคุณ! คุณเย่ อย่าลืมนะคะ ว่าคุณเคยพูดว่า ถึงแม้ฉันจะท้องจริง ๆ คุณก็ขอให้ฉันไปเอาเด็กออก คุณพูดเองว่า ผู้หญิงแบบฉันไม่มีสิทธิ์ให้กำเนิดลูกของคุณ เพราะอย่างนั้น อะไรทำให้คุณคิดว่า ตอนนี้คุณจะเอาลูกไปจากฉันได้?”ใบหน้าของเย่เหวินหมิงบูดบึ้ง เขาเข้าไปใกล้โจวเชียนหยุนทีละก้าวและพูดว่า “เธอควรจะคิดถึงวันแบบนี้ไว้ตั้งแต่เธอเลือกที่จะให้กำเนิดเด็กคนนี้”เธอตัวสั่นขึ้นมาในทันทีทันใด “นี่คุณจะไม่ปล่อยให้เด็กที่คุณไม่ต้องการอยู่กับฉันด้วยเหรอ?”เย่เหวินหมิงพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม “เธอว่า เด็กคนนี้จะมีโอกาสอะไรดี ๆ ในชีวิตบ้างถ้าเขาอยู่กับเธอ? ในอนาคตจะให้เขามาเปิดร้านกับเธอแล้วให้คนเยาะเย้ยว่าเขามีแม่เป็นอดีตนักโทษห
ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาไปถึงก็โดนพนักงานหยุดเอาไว้ แต่ถึงชินเหลียนอีจะบอกว่าเธอมาทำอะไร และไป๋ทิงซินบอกว่าตัวเองเป็นใคร พวกเขาก็บอกเพียงว่ากู้ลี่เฉินไม่อยู่ที่บริษัท และพวกเขาก็ไม่บอกด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหนชินเหลียนอีดูวิตกกังวล และไป๋ทิงซินก็ปลอบเธอด้วยการพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวผมจะลองโทรดู”“คุณมีเบอร์กู้ลี่เฉินเหรอ?” ชินเหลียนอีตะลึงไป“ไม่มี แต่ก็หาได้ไม่ยาก” ไป๋ทิงซินพูดขณะที่โทรหาใครบางคน เป็นไปตามที่คาด ไม่นานนักพวกเขาก็ได้เบอร์โทรของกู้ลี่เฉินมาชินเหลียนอีประทับใจเขาสมกับการเป็นหัวหน้าตระกูลไป๋จริง ๆ คนอื่นอาจจะมีปัญหาในการหาข้อมูลติดต่อเจ้าชายแห่งวงการบันเทิง แต่เขากลับหามันได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นไป๋ทิงซินก็โทรหากู้ลี่เฉิน เมื่อสายต่อติด ชินเหลียนอีก็รีบพูดว่า “นี่... นี่ใช่กู้... กู้ลี่เฉิน… นายน้อยกู้หรือเปล่าคะ? ฉันเป็นเพื่อนสนิทของอี้หราน ชินเหลียนอีค่ะ ฉันอยากจะถามคุณดูว่า คุณรู้ไหมว่าอี้จิ่นหลีพาอี้หรานไปไหน?”สีหน้าของกู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินชื่อของ ‘ชินเหลียนอี’ ‘ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนที่ฉันเจอในงานการกุศล คนที่สนิทกับอี้หรานสินะ? อีกทั้
ในขณะเดียวกันนั้น หลิงอี้หรานก็นั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารและมองไปยังซุปและกับข้าวอีกสามอย่างที่ยังร้อนอยู่ แต่อาหารพวกนั้นดูธรรมดาเกินกว่าที่เชฟจะเป็นคนทำ“ฉันทำเอง ลองชิมดูสิ” เขาพูดราวกับรู้ว่าเธอกำลังสงสัยอยู่เธอแปลกใจเล็กน้อย ‘เขาเนี่ยนะ... ทำอาหาร?’ “ตอนเราอยู่กันที่บ้านเช่า เธอเคยทำอาหารให้ฉัน ตอนนี้ฉันทำให้เธอบ้างไม่ได้เหรอ? ถ้ารสชาติไม่ถูกปาก ฉันจะได้ไปปรับปรุง” เขาพูด ดวงตาดอกท้อของเขายิ้มให้เธอราวกับว่า พวกเขาไม่เคยเลิกกันและไม่เคยผ่านความทรงจำอันเจ็บปวดใด ๆ มาเลยพวกเขาดูเหมือนย้อนกลับไปยังช่วงที่พวกเขายังคบกันหวาน ๆหลิงอี้หรานหลบสายตาด้วยความอึดอัด และไม่อยากสบตาเขาราวกับว่ามีเวทมนตร์อยู่ภายในดวงตาของเขาซึ่งทำให้เกิดคลื่นในใจที่สงบของเธอ“คนรับใช้ไปไหนล่ะ? ทำไมฉันไม่เห็นใครที่นี่เลย?” เธอถามเปลี่ยนเรื่องอี้จิ่นหลีเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีคนรับใช้ มีแค่คนเข้ามาเติมของในตู้เย็นกับทำความสะอาดเป็นประจำ แต่เธอไม่มีโอกาสได้เจอพวกเขาหรอก คิดซะว่าที่นี่มีแค่เธอกับฉันก็ได้”เธอตกตะลึงไปเขาพูดต่อไปว่า “ที่นี่มีแค่เธอกับฉัน ดังนั้นเธอจะมองมาที่ฉันแล้วลองคิดดูว่า เธอจะรักฉั