“อันดับที่สองได้แก่ โอวเจียกรุ๊ป พวกเขาควบคุมช่องทางการขายถึงยี่สิบสองเปอร์เซนต์…”“และอันดับสามก็คือบริษัทอันเท่อ ควบคุมช่องทางการขายถึงสิบสี่เปอร์เซนต์…”“ส่วนช่องทางการขายในตลาดที่เหลือประมาณยี่สิบเปอร์เซนต์ อยู่ในมือของผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนขนาดเล็กและขนาดกลางบางราย…”หานซีใช้เมาส์คลิกที่ข้อมูลบนหน้าจอและพูดจาอย่างฉะฉานอานิสทรีกรุ๊ปเป็นบริษัทผู้ผลิต เมื่อใดก็ตามที่บริษัทผลิตสินค้า จำเป็นที่ต้องผ่านตัวแทนจำหน่ายเพื่อขายส่ง โปรโมชั่น การรวมทรัพยากรและอื่น ๆ สุดท้ายก็นำไปเผยแพร่ออกสู่ตลาดโดยผู้จัดจำหน่ายคือตัวเชื่อมโยงสำคัญที่ขาดไม่ได้อานิสทรีกรุ๊ปมีช่องทางการขายสองช่องทาง เส้นทางแรกคือการร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่สามราย โดยผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่สามรายนี้มีความสัมพันธ์ในเชิงแข่งขันกัน และอานิสทรีกรุ๊ปสามารถเลือกความร่วมมือได้เพียงหนึ่งรายเท่านั้นเส้นทางที่สอง คือการร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งผู้จัดจำหน่ายเหล่านี้มีหลายประเภท และการกระจายความต้องการก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ปกติแล้วการปฏิบัติงานของฝ่ายขายในบริษัทก็จะขึ้นอยู่กับกล
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาหนึ่งที่เขาสังเกตเห็น“หว่าน…ประธานหลิน ส่วนแบ่งการขายนั้นโจวกรุ๊ปเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นรายชื่ออันดับที่หนึ่งเหรอ ทำไมบริษัทของเราถึงไม่เลือกร่วมมือกับพวกเขากันล่ะครับ? ”ฉินหมิงถามด้วยความสับสน ในใจรู้สึกคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อโจวกรุ๊ปมาเล็กน้อย แต่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนทันทีที่ฉินหมิงพูดสิ่งนี้ ห้องประชุมขนาดใหญ่ก็เงียบสงบลงอย่างน่าประประหลาดทุกคนต่างก็มองมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังมองคนโง่อยู่“เลขาฉิน ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยเตรียมงานใด ๆ มาก่อนเลย แม้แต้สามัญสำนึกพื้นฐานที่สุดคุณก็ยังไม่รู้เลย! ”รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของตู้เซียว“สามัญสำนึกพื้นฐานอะไร? ”ฉินหมิงทั้งหัวแข็งทื่อ“ฉินหมิง คุณเลิกทำขายหน้าได้แล้ว! ”“ช่างเถอะ ฉันจะเป็นคนบอกคุณเองดีกว่า! ”หานซีจ้องมองฉินหมิงอย่างหงุดหงิดใจพร้อมพูดขึ้นว่า“ช่องทางการขายเครื่องสำอางของโจวกรุ๊ปนั้น พวกเขาใช้เส้นทางสินค้าระดับไฮเอนด์และสินค้าฟุ่มเฟือย! ”“เครื่องสำอางและสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจำนวนมาก ทั้งหมดถูกส่งมอบให้กับตัวแทนโจวก
พอมาถึงยังด้านนอกฉินหมิงหายใจเข้าลึก ๆ เขาได้สงบสติอารมณ์อยู่สักพัก จากนั้นก็กดรับสายโทรศัพท์ทันที“สวัสดีครับ ใช่คุณฉินหมิงหรือเปล่าครับ ผมโจวคังไท่ ไม่ทราบว่าคุณยังจำผมได้อยู่หรือเปล่าครับ? ”ทันทีที่มีการเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ ภายในโทรศัพท์ก็ปรากฎเสียงหัวเราะอันสดใสของชายชราขึ้นมา “ที่แท้เป็นนายท่านโจวนี่เอง ไม่ทราบว่าที่คุณโทรมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ? ”ฉินหมิงนึกขึ้นได้ทันที ที่แท้อีกฝ่ายก็คือชายชราที่เขาได้ช่วยรักษาที่สวนสาธารณะเมื่อวานนี้“เป็นแบบนี้ครับ เรื่องบุญคุณที่คุณได้ช่วยเหลือผมไว้ผมไม่สามารถที่จะไม่ตอบแทนได้ ผมอยากเลี้ยงอาหารคุณสักมื้อเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างเมื่อไรบ้างครับ? ”โจวคังไท่ถามด้วยรอยยิ้ม“นายท่านโจวครับ ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมแค่ทำไปตามที่ควรเท่านั้นครับ คุณไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ครับ”ฉินหมิงกล่าวด้วยความรวดเร็ว“จะทำแบบนั้นได้ยังไง! ”“ตอนนั้นผมให้สินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปคุณก็ไม่ยินดีรับ ถ้าหากผมไม่เลี้ยงอาหารคุณสักครั้งอีก นั้นผมจะสบายใจได้ยังไงล่ะ”โจวคังไท่ยืนกราน น้ำเสียงของเขาจริงใจเป็นอย่างมากเ
“หน้าหนาจริง ๆ ! ”ตู้เซียวกล่าวด้วยความดูถูกฉินหมิงไม่ได้สนใจเขา รีบเดินไปที่ด้านข้างหลินหว่านชิง เขากล่าวด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นว่า“ประธานหลิน ผมมีข่าวดีจะมาบอกคุณครับ บริษัทของพวกเราสามารถร่วมมือกับบริษัทโจวกรุ๊ปได้แล้ว เมื่อครู่ผมกับทางโจวกรุ๊ป…” ฉินหมิงไม่ทันได้พูดจบ ตู้เซียวก็ได้พูดแทรกขึ้นมาทันที“เลขาฉิน สมองของคุณมีปัญหาหรือเปล่า? ”“เมื่อครู่ผู้ช่วยหานไม่ได้บอกคุณชัดเจนแล้วเหรอ บริษัทของเราไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับโจวกรุ๊ปได้ และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาสนใจบริษัทของเรา! ”“ทำไม คุณเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือเปล่า ทำไมถึงลืมได้เร็วขนาดนี้ล่ะ! ”ตู้เซียวพูดจาเยาะเย้ย มองดูฉินหมิงราวกับว่าเขากำลังมองดูคนโง่อย่างไรอย่างนั้นคนอื่นก็ไม่ต่างกัน ทั้งหมดต่างก็สงสัยว่าฉินหมิงกำลังจะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรอีก!“คุณเงียบไปเลย! ”ฉินหมิงจ้องมองตู้เซียวด้วยความโกรธ “ใครบอกกับคุณว่าโจวกรุ๊ปจะไม่ร่วมมือกับบริษัทของเรา! ”“เมื่อครู่ท่านประธานของโจวกรุ๊ปโทรศัพท์มาหาผม พวกเราพูดคุยกันดีแล้ว ตอนเย็นจะเซ็นสัญญากัน! ”“อะไรนะ? ”“ท่านประธานของโจวกรุ๊ปโทรศัพท์มาหาคุณ? ”พอฉินหมิงพูดออกมาเ
อย่างไรก็ตามรอเขาได้รับสัญญาในตอนเย็นแล้ว หลินหว่านชิงอยากที่จะไม่เชื่อเขาก็คงจะไม่ได้แล้ว และเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำเรื่องนี้พอคิดเช่นนี้ ในใจของฉินหมิงก็ร่าเริงขึ้นมาทันที แล้วพูดอย่างมีชั้นเชิงว่า “โดยรวมแล้ว ผมคิดว่าบริษัทของเราควรที่จะพยายามร่วมมือกับโจวกรุ๊ป นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเราในตอนนี้! ”“เหลวไหล! นี่มันไม่เป็นจริงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! ”ตู้เซียวใช้มือตบที่โต๊ะพร้อมกับยืนขึ้นมา ฉินหมิงเพิ่งจะทำขายหน้าพอแล้ว เขาเองก็ขี้เกียจที่จะเยาะเย้ยฉินหมิงอีกต่อไป และเริ่มพูดถึงมุมมองของเขาว่า “ประธานหลินครับ ผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายของบริษัท ผมจะรับผิดชอบปัญหาการขายอย่างแน่นอน! ”“ผมคิดว่าบริษัทของพวกเราควรที่จะดำเนินการการร่วมมือกับโอวเจียกรุ๊ปต่อ ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการเจรจาทางธุรกิจก่อน จากนั้นจะพยายามลดอัตรากำไรให้เหลือประมาณห้าเปอร์เซนต์”“ในทางกลับกัน เราสามารถเริ่มต้นจากเส้นทางการขายที่สอง และเพิ่มความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายและตัวแทนจำหน่ายขนาดเล็กและขนาดกลางบางราย ทั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อชดเชยการสูญเสียอัตรากำไรห้าเปอร์เซนต์นี้…”ตู้เซียวย
“ซีซี เธอ…เธอเป็นแฟนของฉินหมิงเหรอ? ”“เป็นเรื่องจริงเหรอ? ”หลินหว่านชิงตกใจจนพูดไม่ออก เธอจำได้ชัดเจนว่า เมื่อวันก่อนหานซียังทำตัวเย็นชากับฉินหมิงอยู่เลย ถึงขนาดยังต่อว่าฉินหมิงเป็นสาวประเภทสองอยู่เลยแต่ไม่เคยคิดเลยว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน หานซีและฉินหมิงจะเข้ากันได้จริง ๆ ความสัมพันธ์นี้จะพัฒนาเร็วเกินไปหรือไม่! “ใครเป็นแฟนเขากัน…”หานซีจ้องมองหลินหว่านชิงด้วยความโกรธ ในใจคิดว่า ‘ไม่ใช่เพราะเธอไล่เหยียนซ่งไท่ออกไปเหรอ มันเลยทำให้ฉันต้องแบกรับความลำบากแทนเธอ!’“ไม่ ไม่ใช่…”“หว่าน…ประธานหลินครับ เธอไม่ใช่แฟนของผม ผมกับเธอเราไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน คุณได้โปรดเชื่อผมเถอะ! ”ฉินหมิงประสานมือแล้วพูดออกไป ท่าทางของเขาจริงใจมาก เขาไม่ต้องการให้หลินหว่านชิงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานซีผิด!“นาย…”จมูกของหานซีบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ท่าทางแบบนี้ของฉินหมิงหมายความว่าอย่างไร ความกระตือรือร้นที่จะอธิบายความสัมพันธ์ของเขากับเธอต่อหน้าทุกคน ราวกับว่าเธอกังวลที่จะพึ่งพาเขา!เธอทำผิดอะไรเหรอ?ฉินหมิงไปเอามั่นใจมาจากไหน!หานซีกัดฟันกรอด เธอยับยั้งชั่งใจอย่างมากที่จะไม่โกรธจนระเบ
ตู้เซียวยืนกรานความคิดตัวเอง เขาไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับหานซีแต่เขาต้องการจะเป็นศัตรูกับฉินหมิง!“ไอเดียดีนี่!”“แต่รีบเร่งจะมีแต่ผลเสียซะเปล่า พวกเราควรรักษาความมั่นคงก่อนแล้วค่อยแสวงหาความก้าวหน้าดีกว่า…”…ผู้นำอาวุโสหัวเก่าจำนวนหนึ่งแสดงการสนับสนุน“ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเวลาเป็นปี ๆ !“อีกอย่างถ้าครั้งนี้บริษัทเราทำกำไรได้ ความคิดริเริ่มนี้ก็คงตกไปอยู่ในมือของกลุ่มธุรกิจโอลกากรุ๊ป อีกหน่อยถ้าเราเติบโตขึ้นไปกว่านี้เราคงขยับตัวทำอะไรได้ลำบาก”หานซีพูดคัดค้านเพราะว่าความคิดระหว่างเธอกับตู้เซียวไม่ตรงกัน พวกแนวคิดใหม่และพวกหัวเก่าต่างก็โต้เถียงกัน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกัน“พอได้แล้ว ทุกคนเงียบได้แล้ว!”หลินหว่านชิงตบโต๊ะไปหนึ่งฉาด ทำให้ทุกคนเงียบทันที“ในเมื่อความเห็นสองฝ่ายไม่ตรงกัน อย่างนั้นเรามาแยกกันทำดีกว่า หน้าที่ของผู้อำนวยการตู้คือคุณต้องไปเจรจากับกลุ่มธรุกิจโอลกากรุ๊ปให้เขาอ่อนข้อให้ ส่วนผู้ช่วยหานคุณมีหน้าที่ไปเจรจาร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจโจวชื่อกรุ๊ป!“พวกคุณมีเวลาเริ่มพร้อมกัน ภายในสองวันจะต้องให้คำตอบฉัน!”หลินหว่านชิงได้ทำการตัดสินใจ สายตามองไปที่ตู้เ
“ไร้สาระกันจริง ๆ !”หลินหว่านชิงจ้องฉินหมิงอย่างไม่สบอารมณ์ เธอเองก็ไม่คิดว่าฉินหมิงจะเจรจาให้กลุ่มธุรกิจโจวชื่อกรุ๊ปมาร่วมมือกับทางบริษัทได้ หรือว่าจะต้องถีงคราวไล่ฉินหมิงออกจากบริษัทจริง ๆ แล้วหรือ?“สรุปได้ว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ผู้ช่วยหานและฉินหมิงทั้งสองคนมีหน้าที่ไปเจรจาให้กลุ่มธุรกิจโจวชื่อกรุ๊ปมาร่วมมือ ถ้าภายในสองวันนี้พวกคุณไม่สำเร็จล่ะก็ ถึงเวลานั้นก็จะทำตามวิธีของผู้อำนวยการตู้ละกัน!”หลินหว่านชิงได้ทำการตัดสินออกมาเพราะเธอรู้ว่าการเจรจาให้กลุ่มธุรกิจโจวชื่อกรุ๊ปมาร่วมมือนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เธอไม่ได้คาดหวังว่าฉินหมิงจะทำได้ เธอฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวหานซีมากกว่า!“เลขาฉิน นายเตรียมออกจากบริษัทได้เลย!”ตู้เซียวยิ้มอย่างโอ้อวด เหมือนกับว่าตัวเองได้เห็นภาพฉินหมิงก้าวออกจากบริษัทแล้วกลุ่มผู้บริหารของบริษัทส่ายหัวและมองดูฉินหมิงด้วยความดูถูก ใครก็ไม่คิดว่าฉินหมิงจะสามารถชนะได้“เลิกประชุม!”หลังจากนั่นทุกคนก็ได้แยกย้ายออกไปจากห้องประชุม“ฉินหมิง คุณตามฉันมาที่ห้องสำนักงานด่วน!”หานซีพูดด้วยเสียงเย็นชาข้างฉินหมิงฉินหมิงยกมือปัดจมูก จากนั้นก็ได้ตามหา