เขาคือเจิ้งเจ๋อ ลูกพี่ลูกน้องจากครอบครัวลุงรองของเจิ้งอวี่“นาย...นายรู้ได้ยังไง...”สีหน้าของเจิ้งอวี่เปลี่ยนไปเขาไม่เคยบอกใครในครอบครัวเกี่ยวกับการสูญเสียพลังของเขา ยกเว้นลูกน้องสองคนที่เขาสนิทมากที่สุด ไม่สมควรมีใครในครอบครัวรู้เรื่องนี้!อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดอีกทาง เขาก็แอบไปพบหมอชื่อดังหลายคนเป็นการส่วนตัวไม่มีกำแพงที่ไม่เป็นรูอยู่บนโลกใบนี้ บางทีอาจเป็นคนเหล่านี้ที่ปล่อยข่าวของเขา“อวี่เอ๋อร์ ทุกอย่างที่เสี่ยวเจ๋อพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ?”“แกกลายเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ไปแล้วจริง ๆ?”สีหน้าของนายท่านเจิ้งดูไม่น่ามองตอนนี้เขาอายุเกือบแปดสิบปีแล้ว และสุขภาพก็เริ่มย่ำแย่ลงทุกวัน เขามีความคิดที่จะปล่อยมือแล้วย้ายไปนั่งอยู่เบื้องหลังนานแล้วเพียงแต่ว่าตระกูลเจิ้งรุ่นที่สองค่อนข้างน่าผิดหวัง ความสามารถของทุกคนอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย ไม่มีลูกคนใดสามารถประคองตระกูลใหญ่นี้ได้โชคดีที่เด็กรุ่นที่สามโดดเด่น มีเด็กที่มีพรสวรรค์เกิดมาในตระกูลมากขึ้น และคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจิ้งอวี่!สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุขมาก!เขาให้ความสำคัญกับเจิ้งอวี่มาโดยตลอด เฉพ
เจิ้งอวี่พูดอย่างใจเย็นมาก“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพี่มีความสามารถในการทำร้ายฉันจริง ๆ ฉันก็ยอมรับมัน!”เจิ้งเจ๋อเยาะเย้ยระดับการบ่มเพาะของเขามาถึงขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทานแล้ว เมื่อก่อนเขาทัดเทียมกับเจิ้งอวี่มาโดยตลอด ต่อให้เจิ้งอวี่จะอยู่ในจุดสูงสุดของตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะเขายิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจิ้งอวี่สูญเสียระดับการบ่มเพาะทั้งหมดไปแล้ว จะทำร้ายเขาได้ยังไง!“โอเค นายพูดเองนะ!”เจิ้งอวี่หัวเราะ สิ่งที่เขารออยู่ก็คือคำพูดนี้ของเจิ้งเจ๋อนี่แหละ!“อวี่เอ๋อร์ เสี่ยวเจ๋อ พวกแกสองคนแค่ประมือกันก็พอ อย่าได้ล้ำเส้นไปกว่านั้น!”นายท่านเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มตอนนี้เขาแค่อยากรู้ว่าเจิ้งอวี่สูญเสียระดับการบ่มเพาะทั้งหมดของตัวเองไปจริง ๆ หรือเปล่า ส่วนการต่อสู้ระหว่างเจิ้งอวี่กับเจิ้งเจ๋อ เขาไม่คิดที่จะหยุดมันหลังจากนั้น ทุกคนก็ถอยหลังไปสองสามก้าว เหลือพื้นที่ให้เจิ้งอวี่และเจิ้งเจ๋อประลองกัน“พี่อวี่ ในเมื่อพี่ยืนกรานที่จะรนหาที่เอง ถ้างั้นอย่ามาโทษว่าฉันหยาบคาย!"“รับมือ!”เจิ้งเจ๋อหัวเราะอย่างเย็นชา ปล่อยหมัดออกไป และโจมตีเจิ้งอวี่อย่างรวดเร็วและดุเดือดที่สุด
ด้วยวัยของเจิ้งอวี่ เขาสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของเมืองหลัวไห่แล้ว!แม้ว่านายท่านเจิ้งจะเคยผ่านคลื่นลมและพายุฝนมาหลายครั้ง เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวหลานชายของเขา!“น้องเจ๋อ ฉันเตือนนายไปเมื่อกี้นี้แล้วนะว่าระดับการบ่มเพาะของฉันเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้ไม่นาน ยังควบคุมพลังได้ไม่เต็มที่”“ครั้งนี้ฉันไม่ทันระวังเลยเผลอลงมือหนักเกินไป ทำร้ายนายเข้า นายก็อย่าโทษฉันเลย”เจิ้งอวี่หันไปมองเจิ้งเจ๋อแล้วยิ้มอย่างลุแก่โทษ“พี่…”สีหน้าของเจิ้งเจ๋อดูน่าเกลียด แต่เขาก็ไม่อาจโต้แย้งได้ท้ายที่สุด เป็นเขาเองที่เสนอให้มีการประลองขึ้น เจิ้งอวี่เตือนเขาล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ แม้จะรู้สึกขมขื่นในใจ แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันและกลืนมันลงไปเท่านั้น!“เจิ้งอวี่ แกไม่ต้องมาเสแสร้งหรอก!”“ในเมื่อระดับการบ่มเพาะของแกไปถึงระดับปรมาจารย์แล้ว เมื่อสักครู่นี้แกปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองก็ได้แล้วนี่นา!”“แต่แกกลับจงใจแสร้งทำเป็นเห็นด้วยกับการประลอง เสี่ยวเจ๋อถึงได้เผลอตกหลุมพรางของ
แม้ว่าที่นี่คือเมืองหลัวไห่ไม่ใช่เมืองเจียงเฉิง แต่ยาหลอมลมปราณของหมิงเหยากรุ๊ปนั้นมีชื่อเสียงมาก เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเล็กน้อย จึงตระหนักดีถึงความสำคัญของยาหลอมลมปราณต่อการบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธไม่ว่าจะในแง่ของมูลค่าทางการค้าหรือศักยภาพในการพัฒนา ยาหลอมลมปราณเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้!“คุณปู่ครับ เมื่อสักครู่นี้ผมได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับคุณฉินและคุณหนูซูเรื่องยาหลอมลมปราณในนามของตระกูลเจิ้งของเราแล้ว ในอนาคตเมื่อหมิงเหยากรุ๊ปขยายตลาดมายังเมืองหลัวไห่ สิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายยาหลอมลมปราณจะถูกส่งมอบให้กับตระกูลเจิ้งของเรารับผิดชอบ!”เจิ้งอวี่อาศัยจังหวะนี้ประกาศข่าวดีออกไป“จริงเหรอ? นี่มันเยี่ยมมาก!”นายท่านเจิ้งดีใจมากชายชราที่เดิมทีหลังงอ จู่ ๆ เขาก็ยืดตัวตรง บรรยากาศรอบกายทั้งหมดเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยพลังงานใครก็ตามที่สามารถควบคุมยาหลอมลมปราณได้ ก็เทียบเท่ากับการควบคุมชีวิตส่วนหนึ่งของเหล่าผู้ฝึกยุทธ นี่ไม่ใช่เพียงคำพูดลอย ๆ!ตอนนี้ เจิ้งอวี่ได้รับสิทธิ์จำหน่ายเม็ดยาของหมิงเหยากรุ๊ปในเมืองหลัวไห่ สำหรับตระกูลเจิ้งแล้ว จากนี้ไปตระกูลเจิ้งจะขึ้นมาอยู่เหนืออ
“เพียงแต่เราได้นัดหมายคนอื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถไปร่วมเลี้ยงฉลองกับคุณได้ ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”ฉินหมิงยิ้มอย่างลุแก่โทษ“ใช่แล้วค่ะ เราสองคนนัดหมายคนอื่นไว้ก่อนแล้ว…”ซูซินเหยาพยักหน้าเธอรับปากเจี่ยงฉินว่าบ่ายวันนี้จะไปหารือกับเจี่ยงฉินเกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือด้านยาเสริมความงามและยาอายุวัฒนะอื่น ๆ เธอจะไม่ผิดสัญญาแน่นอน"นี่..."นายท่านเจิ้งขมวดคิ้ว รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย“ปู่ครับ ในเมื่อคุณฉินและคุณหนูซูมีธุระในตอนบ่าย ตามความเห็นของผม เราเปลี่ยนจากมื้อกลางวันเป็นมื้อค่ำก็ได้แล้วนี่”“รอคุณฉินและคุณหนูซูว่างในตอนเย็นแล้ว เราค่อยไปฉลองเลี้ยงรับรองพวกเขาด้วยกัน”เจิ้งอวี่แนะนำ“ใช่แล้ว เปลี่ยนเป็นงานเลี้ยงมื้อค่ำก็ได้แล้ว!”“คุณฉิน คุณหนูซู ไม่ทราบว่าคืนนี้ทั้งสองคนพอจะมีเวลาว่างไหม?”นายท่านเจิ้งถาม“คืนนี้เราสองคนไม่มีธุระอะไรครับ”ฉินหมิงตอบ“ดี ถ้าอย่างนั้นงานเลี้ยงกำหนดเป็นตอนเย็น ถึงตอนนั้นขอให้ฉันได้แสดงความขอบคุณทั้งสองคนด้วย”นายท่านเจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง“ได้ครับ ในเมื่อเป็นแบบนี้เราสองคนก็เคารพมิสู้ทำตามแล้ว”ฉินหมิงพยักหน้า และกล่าวว่าจะไ
อีกฝ่ายสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง แต่งตัวเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างฉลาดและมีความสามารถ“พ่อคะ หนูขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือฉินหมิง ประธานบริษัทหมิงเหยากรุ๊ปแห่งเมืองเจียงเฉิง”“ส่วนคนข้าง ๆ นี้คือซูซินเหยา ประธานกรรมการบริหารของหมิงเหยากรุ๊ป เธอยังเป็นเพื่อนสนิทของหนูสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วย…”เจี่ยงฉินแนะนำทั้งสองฝ่ายโดยย่อ“สวัสดีครับ/ค่ะ ลุงเจียง ยินดีที่ได้รู้จัก”ฉินหมิงและซูซินเหยาทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ“ประธานฉิน ประธานซู ฉันเตรียมมื้อกลางวันไว้พร้อมแล้ว โปรดตามมา เราไว้พูดคุยกันขณะที่ทานอาหารเถอะ”เจี่ยงเหวินเจิงทักทายอย่างอบอุ่น ภายใต้การนำของเขา หลายคนเดินเข้าไปในห้องอาหารที่อยู่ข้าง ๆห้องอาหารนี้ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรามาก ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะและไวน์ราคาแพง“ประธานฉิน ฉันได้ยินฉินฉินพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว ต้องขอบคุณไหวพริบและความกล้าหาญของคุณ เรื่องร้าย ๆ จึงไม่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาคงจะเป็นหายนะ”เจี่ยงเหวินเจิงชื่นชมอย่างไม่ลังเล“ลุงเจี่ยง ชมเกินไปแล้วครับ”ฉินหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉินหมิง ไช่เม่านั่นคงไม่ใช่ว่ามาที่นี่เพราะพวกเราหรอกนะ?"ซูซินเหยาขมวดคิ้ว คาดเดาเจตนาของไช่เม่าได้อย่างคลุมเครือ“อืม เป็นไปได้"“ไปกันเถอะ เราตามไปดูสถานการณ์กัน”ฉินหมิงกล่าวเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่น จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความถึงเจิ้งอวี่ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นถึงเดินออกไปพร้อมกับซูซินเหยาในลานบ้านไช่เม่าขาเข้าเฝือกข้างหนึ่ง ทั้งตัวมีแต่ผ้าพันแผล ดูน่าสังเวชมากถัดจากเขา คือชายหนุ่มตัวสูงที่ดูสง่างามชายคนนี้อายุประมาณสามสิบปี ท่าทางค่อนข้างเย่อหยิ่ง เขาก็คือไช่หงเซิน คุณชายใหญ่สายตรงของตระกูลไช่ด้านหลังไช่หงเซินมีบอดี้การ์ดของตระกูลไช่ในชุดสีดำมากกว่ายี่สิบคน บอดี้การ์ดเหล่านี้มีร่างกายที่บึกบึนแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เมื่อยืนเข้าแถวเรียงเดี่ยว จึงทั้งสะกดข่มและดูเอิกเกริกมาก“นายน้อยเซิน ผมได้สอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว ประธานหมิงเหยากรุ๊ปฉินหมิงและประธานกรรมการบริหารซูซินเหยาตอนนี้กำลังมาเป็นแขกที่ตระกูลเจี่ยง”“ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูงของหมิงเหยากรุ๊ป ตราบเท่าที่เราจับตัวพวกเขาไว้และใช้วิธีการบางอย่าง จากนี้ไปตระกูลไช่ของเราก็จะสามารถควบ
“นายทำเกินไปแล้ว!”เจี่ยงฉินขึ้นเสียงอย่างมีโทสะ“นังสารเลว เลิกก็คือเลิก เธอไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้กับฉัน!”“สรุปสั้น ๆ ก็คือ ฉันหาเจอแล้วว่าตอนนี้ฉินหมิงและซูซินเหยามาเป็นแขกที่ตระกูลเจี่ยงของเธอ ทำตัวว่าง่ายสักหน่อยแล้วส่งตัวทั้งสองคนมาซะ!”“ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าฉันหยาบคายกับเธอเลย!”ไช่เม่ากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า“นาย...บัดซบ!”เจี่ยงฉินโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำผู้หญิงเป็นเพศที่มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเสมอ หลังจากเลิกกับไช่เม่าเมื่อเช้านี้ เธอยังรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอยู่เล็กน้อยแต่ตอนนี้ เธอผิดหวังในตัวไช่เม่าอย่างมาก!“ไช่เม่า แกมันไร้ยางอาย!”“เมื่อคืนนี้ เห็นแก่ที่คุณหนูเจี่ยงอุตส่าห์วิงวอนร้องขอความเมตตาแทนแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันถึงได้ปล่อยแกไป ไม่คิดว่าแกจะพลิกสีหน้าเร็วขนาดนี้!”“จะบอกว่าแกเป็นพวกเศษเดนของมนุษย์ดี ก็ออกจะเป็นการดูถูกคำว่า ‘เศษเดน’ สองคำนี้เกินไปสักหน่อย!”ตอนนี้เอง เสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ฉินหมิงและซูซินเหยาเดินออกมาพร้อมกัน“ไอ้หนู พวกแกสองคนอยู่ที่นี่จริง ๆ!”“เมื่อคืนนี้ฉันประมาทเลยตกอยู่ในม