“ซือซือนางเป็นสหายในวัยเด็กของข้าเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าทักทาย นางก็ล้มลงแล้วร้องโวยวาย ข้าไม่ได้ทำอันใดนางนะเจ้าคะคุณชายรองเจียง”
“เจ้ามีนามว่าเซียวเล่อหรือ” สิ้นเสียงบุรุษรูปงาม เสียงหัวเราะคล้ายจะดังขึ้นในกลุ่มสตรีที่ยืนมองดู
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากอธิบายให้คุณชายรองเจียงฟัง” เหรินเสี่ยวเหยาก้าวเท้าเข้าใกล้คล้ายอยากอธิบายให้บุรุษที่ตนพึงใจฟังแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงร้องหวาดกลัวของสตรีอีกคน
“เล่อเล่อข้ากลัวนาง อย่าให้นางเข้าใกล้ข้านะ”
“พี่รอง ข้าว่าเราไปสนทนากันที่จวนเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม...ก็ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวพี่อุ้มนางเอง ประคองกันไปเช่นนี้ช้าเกินไป” กล่าวจบเขาก็รวบตัวนางที่
6 สองพี่น้องตระกูลเจียง เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงของราชเลขาธิการคล้ายจะถูกเล่าลือไปใหญ่โตว่าคุณหนูเหรินเสี่ยวเหยาร้ายกาจ รังแกคุณหนูเหอ จากจวนรองเจ้ากรมยุติธรรม แม้อีกฝ่ายพยายามจ้างคนไปแก้ไขข่าวลือแต่ดูเหมือนเสียงเล่าลือจะไปไกลจนยากแก้ไข ทำให้คุณหนูรองเหรินถูกท่านราชครูสั่งลงโทษกักบริเวณเป็นเวลาเจ็ดวัน “พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก” เจียงเซวียนเอ่ยหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องจบ “ที่ถูกเล่าลือจนยากกลบเกลื่อนเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนอีกกลุ่มช่วยแพร่ข่าวลือเรื่องนี้ขอรับ” จิ้นไฉกล่าว “ใคร?” “คุณชายฮุ่ยขอรับ” “ฮุ่ยหลานซีหรือ เหตุใดคนผู้นั้นถึงทำเช่นนั้น” “ไม่ทราบขอรับ” “หรือจะเป็นเพราะนาง พวกเจ้าไปตามสืบว่าฮุ่ยหลานซีมีความสัมพันธ์กับคุณหนูเหอเช่นไร” “ขอรับคุณชาย” เมื่อสนทนากับลูกน้องเสร็จ คุณชายรองก็เดินกลับไปที่เรือนของน้องสาว เพื่อไปสอบ
“เห็นหรือไม่ ที่ข้ากล่าวผิดที่ใดกัน เหรินเสี่ยวเหยาเป็นแค่สตรีดอกบัวขาว สร้างภาพว่าตนเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แท้จริงเบื้องลึกคงเน่าเฟะ พี่รอง! ท่านคิดดูขนาดคุณชายฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังตกใจและพยายามช่วยเกลี้ยกล่อมซือซือ ยามนั้นนางน่าสงสารจริง ๆ” “ไม่ต้องห่วง ภาพลักษณ์ที่สตรีผู้นั้นพยายามสร้างกำลังพังทลายยากจะกอบกู้” “จริงหรือเจ้าคะ” เจียงเซียวเล่อรู้สึกยินดียิ่งนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนราชเลขาธิการถูกเล่าลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว มีแต่คนสงสารและเห็นใจซือซือ ว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะโดนอีกฝ่ายทำร้ายอย่างหนัก และพอทราบเรื่องนี้ก็ไม่มีใครแปลกใจแล้วว่าเหตุใดยามที่ส่งเทียบเชิญตระกูลเหอ ถึงไม่มีเงาของคุณหนูตระกูลนี้เข้าร่วมเลยสักครั้ง” “สมน้ำหน
“ว่าอย่างไร จะจุมพิตข้าหรือไม่” แววตาที่จ้องมองสตรีตรงหน้าพราวระยับทำให้นางต้องเบือนสายตาหนี “ได้เจ้าค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องหลับตาก่อน” “ย่อมได้” เขากล่าวก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ‘ข้าเอาตัวรอดไปได้ในวันนี้ อย่าได้หวังว่าวันหน้าข้าจะเข้าใกล้คนผู้นี้’ นางคิดก่อนจะกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาตามต้องการ แต่จนใจเขาสูงกว่าทำให้นางต้องเขย่งปลายเท้าขึ้น ในขณะที่นางจะกดริมฝีปากจุมพิตแก้มอีกข้างของเขา ดวงตาของเขาที่ปิดอยู่ก็ลืมขึ้นตอนที่นางกดริมฝีปากจุมพิตเขาพอดี ด้วยความตกใจนางจึงผละออกห่างทำให้เสียการทรงตัวพานจะล้มลง เขาจึงรีบโอบรั้งเอวแล้วดึงเข้าไปแนบชิดกว่าเดิม “ระวังห
‘ของเจ้าที่ใดกัน เจียงเซียวเล่อ’ โดนหมายหัวแล้วยังไม่รู้ตัว กว่าคุณหนูเหอจะตื่นขึ้นอีกครั้งก็เข้ายามโหย่ว (17.00-18.59) นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองรอบตัวจึงได้เห็นสหายนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับยกยิ้มด้วยความดีใจ “ตื่นแล้วหรือซือซือ” “อืม ข้าหลับไปนานหรือไม่” “ไม่นานเท่าใดนัก เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” แท้จริงสหายหลับไปเกือบสองชั่วยาม แต่ตนไม่อยากให้นางรู้สึกกังวลจึงบอกออกไปเช่นนั้น “ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”&nb
‘ถ้าไม่อ่านก็ปิดตำราไปเถิด แสร้งทำเป็นอ่านตำราไม่สนใจ แท้จริงก็แอบฟังอยู่’ เจียงเซียวเล่อคิดพลางลอบกลอกตาเบ้ปากอย่างรู้สึกหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยรวบรัดตัดบทเพราะกลัวสหายจะเปลี่ยนใจ “เช่นนั้นรบกวนพี่รองรับหน้าที่ไปขออนุญาตท่านน้าทั้งสองให้ซือซือนะเจ้าคะ” “ย่อมได้” ‘เขาคงไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ’ แต่ไปด้วยแล้วอย่างไรเจียงเซียวเล่อก็อยู่ด้วย คงจะสำรวมท่าทีบ้างกระมัง คุณหนูเหอคิดโดยลืมไปว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วยาม แม้จะมีสหายอยู่ในรถม้าด้วยกันก็ยังฉวยโอกาสกินเต้าหู้ของตนได้เลย “มีคนไปแจ้งเหอฮูหยินที่จวนเหอแล้ว ว่ายามนี้เจ้าพักผ่อนอยู่ที่จวนตระกูลเจียง”
7ท่องเที่ยวที่ไห่หยาง (1) แน่นอนว่าเพราะเป็นเจียงเซวียนเอ่ยวาจาเกลี้ยกล่อมรองเจ้ากรมยุติธรรมเหอและเหอฮูหยินสุดท้ายเหอซือซือก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองไห่หยางได้สำเร็จ “ข้าดีใจยิ่งนักที่เจ้าสามารถไปท่องเที่ยวกับข้าได้” วันนี้เจียงเซียวเล่อตื่นตั้งแต่เช้าเพราะตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปต่างเมืองกับสหาย “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้พี่เซวียน ที่สามารถเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่ได้” นางกล่าวก่อนจะหันไปมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างรถม้า เมื่อคิดย้อนกลับไปในวันนั้นเจียงเซียวเล่อถูกสั่งให้อยู่รอที่รถม้าเพื่อการเจรจาจะได้เป็นไปอย่างราบรื่นและสุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จจริง ๆ สมแล้วที่เขาเป็นพ่อค้าสามารถต่อรองและไล่ต้อนจนบิดามารดาของนางไม่อาจหาเรื่องมาโต้แย้งได้อีก เมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เจ้ายิ้มเช่นนี้ คงไม่ได้หลงเสน่ห์พี่ชายของข้าอีกคนหรอกนะ” เจียงเซียวเล่อเอ่ยถามเสียงดัง ทำให้เหอซือซือที่กลัวว่าสหายจะเข้าใจผิดคิดว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงในเรื่องนี้รีบอธิบาย “ไม่ได้ ๆ ข้าเพียงนึกถึง
โถ่! เสียแรงที่เอ่ยปากสนับสนุน ช่างเสียเวลาจริง ๆ “ได้! ข้าจะรอ รู้หรือไม่ข้านั่งคิดหลายวันเลยว่ายามไปถึงเมืองไห่หยางจะชวนเจ้าทำอันใดหรือไปเที่ยวที่ใดบ้าง” “คงต้องรบกวนเจ้าพาข้าไปเที่ยวในสามวันนี้” “น่าเสียดายที่มีเวลาเพียงสามวัน ข้าจึงไม่อาจพาเจ้าไปในทุกที่ที่อยากไปได้” “ข้าได้ออกมาเที่ยวกับเจ้านอกเมืองเป็นครั้งแรกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีครั้งต่อไปก็ได้ เมื่อนั้นเจ้าค่อยพาข้าไปเที่ยวอีกดีหรือไม่” “เพราะเจ้าน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ข้าถึงได้ชอบเจ้าอย่างไรเล่าซือซือ” รู้สึกดีใจยิ่งนักที่วันนั้นตัดสินใจเดินเข้าไปทักทายและสนทนากับคุณหนูเหอผู้นี้ “เจ้าดีกับข้า ข้าก็ชอบเจ้า” นางยิ้มรับ น้องสาวของเจียงเซวียนผู้โดดเด่นช่างดีกับนางเสียจริง นางสัญญาว่าจะดีกับอีกฝ่ายเป็นการตอบแทน ยามนี้นางไม่คิดกล่าวโทษเจ้าของร่างอีกแล้วว่าเหตุใดถึงยุยงให้สหายลงมือกับสตรีที่พี่ชายคนรองชื่นชอบ เพราะสิ่งที่เหรินเสี่ยวเหยาทำ มันไม่ใช่นิสัยของผู้ที่มีจิตเมตตาที่คนเล่าลือก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางในงานเลี้ยงของจวนราชเลขาธ
“ขออภัยขอรับพี่รอง ได้โปรดชี้แนะว่าที่น้องเขยผู้นี้ด้วยเถิด” ชักช้าอยู่ได้ ประเดี๋ยวก็อดกันทั้งคู่จะมาโทษเขาไม่ได้นะ “เจ้าก็แค่หาทางสนทนากับซือซือตามลำพังแล้วกล่าวว่าเจ้าพึงใจในตัวเซียวเล่อมานานหลายปี ได้แต่รอให้นางปักปิ่นก่อนค่อยเกี้ยวพา จึงอยากขอโอกาสให้เจ้าได้ใกล้ชิดกับเซียวเล่อบ้างเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ ตอนเจ้าเอ่ยอย่าลืมแสดงความจริงใจให้มาก หากนางเห็นความตั้งใจจริงของเจ้า เซียวเล่อก็ไม่อาจโต้แย้งได้ยามที่สหายขอแยกตัวไป” “เจ้านี่มันฉลาดเจ้าเล่ห์จริง ๆ ขอบคุณนะขอรับพี่รอง” ท่านประมุขแห่งปราสาทเมฆาดีใจทำท่าจะโผเข้ากอดสหาย “รอเซียวเล่อตกลงปลงใจกับเจ้าก่อนค่อยเรียกข้าว่าพี่รองก็ยังไม่สาย” กล่าวจบก็รีบยกแขนกันแล้วผลักอีกฝ่ายออกห่าง “เจ้าช่างใจร้ายกับสหายเช่นข้าเสียจริง” “ข้าจะพักสายตา เงียบเสียงหน่อย” เจียงเซวียนกล่าวก่อนจะหลับตาลง มุมปากยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงสนทนาจากรถม้าคันที่วิ่งนำหน้า ‘หึ! แท้จริงเจ้าก็กำลังลอบฟังสตรีสองคนสนทนากัน’ พักสายตาอันใดโกหกทั้งเพ ไม่รู้คุณหนูเหอจะรู้ตัวแล้วหรือไม่ ว่าถูกจิ้
“ข้าเจอท่านครั้งแรกที่ใดกันนะ...” นางแสร้งทำท่าทางครุ่นคิด คนผู้นี้ขี้อิจฉาจริง ๆ ไม่ยอมขาดทุนแม้เพียงเล็กน้อย “นั่นสิ! ที่ใดกันนะ” “ข้าจำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” “ให้นึกดี ๆ อีกครั้ง หากจำไม่ได้ คืนนี้พี่จะช่วยเจ้าทบทวนความจำทั้งคืนดีหรือไม่” จะต้อนสตรีเจ้าเล่ห์ต้องแฝงคำข่มขู่ที่แสนหวาน “อ๋อ! ข้านึกออกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแย่งซื้อเสี่ยวหลงเปากับข้า” นางกล่าวพลางส่งยิ้มออดอ้อนเขา “น่าเสียดายจริง ๆ พี่ก็นึกว่าจะได้ช่วยเจ้าทบทวนความทรงจำแล้ว” “ท่านจัดการเรื่องของเสี้ยนจู่เหลียงจิ่วเม่ยให้แล้วเสร็จก่อนเถิดเจ้าค่
“ถูกต้อง แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นเยวียนปี๋จวี้ซี[1]กำลังรุมกัดสาวงาม ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เราไปจากที่นี่กันเถิด เมื่อครู่ข้าเห็นกลุ่มฮูหยินย้ายไปนั่งในสวนกลางป่าไผ่” “เจ้าค่ะ” นางตอบรับแต่ก่อนจะเดินจากไปนางอดไม่ได้ที่จะปรายตามองสีหน้าที่เกือบจะเขียวคล้ำของสตรีดีงาม คงเพราะเหรินเสี่ยวเหยายืนใกล้ที่สุดจึงได้ยินวาจาของฮุ่ยหลานซีเข้าไปเป็นแน่ “...” เหรินเสี่ยวเหยายืนเงียบไม่เอ่ยวาจา “อ้อ! ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าทราบแล้วหรือยังว่าบัดนี้พี่จิ้นฝานได้กลับมาทำงานในเมืองหลวงแล้ว หากมีโอกาสเจ้าควรไปเยี่ยมเยียนเขาจะได้สานสัมพันธ์ดี ๆ ในอดีต อย่างไรตอนนี้เขาเป็นถึงผู้ตรวจการแล้ว” กล่าวจบแล้วนางก็หันไปพยักหน้าให้สาวใช้แล้วเดินจากมาไปพร้อมฮุ่ยหลานซี&nb
“อย่างที่ท่านทราบว่าวันนี้ข้าเดินทางไปอารามช่างอันเป่าเพื่อไหว้พระกับมารดา แล้วข้าก็บังเอิญเดินหลงกับมารดาได้คุณชายฮุ่ยช่วยเหลือพาไปพบมารดา...” เหอซือซือเอ่ยปากเล่าในเรื่องที่เขาอยากรู้ก่อนจะคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สี่ชั่วยาม นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าวันนี้ที่อารามช่างอันเป่าซึ่งแสนสงบสุขจะไม่สงบสุขเช่นเคย นั่นเป็นเพราะวันนี้ซูเฟย พระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ได้พาองค์ชายมาไหว้พระขอพร แน่นอนว่าพอเรื่องนี้รู้ไปถึงหูขุนนาง ผู้ที่มีใจอยากแสดงความจงรักภักดีจึงพากันสั่งให้ฮูหยินพาบุตรสาวบุตรชายมาไหว้พระที่พระอารามช่างอันเป่า ทำให้ลานกว้างเต็มไปด้วยรถม้าของตระกูลใหญ่ และหนึ่งในคนพวกนั้นก็มีเหอฮูหยินและคุณหนูเหอเช่นนางด้วย แม้แท้จริงจะไม่ได้อยากปร
15 กลิ่นน้ำส้มช่างรุนแรง หลายวันมานี้เรื่องราวร้ายกาจของเสี้ยนจู่จากแดนเหนือดังเข้าหูนางอย่างต่อเนื่อง ทำให้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดเจียงเซวียนถึงเอาแต่ปีนเข้าห้องนางเช่นนี้ “ไม่ได้เจอหน้าเจ้านานพี่คิดถึงยิ่งนัก” จิ้งจอกหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้นพลางจับจ้องสตรีตรงหน้าอย่างพิจารณา “วันก่อนท่านก็ปีนหน้าต่างเพื่อมาพบข้าแล้วเจ้าค่ะ” อย่ามาเอ่ยคำหวานล่อลวงนางเพื่อกลบเกลื่อนเลย แท้จริงคงมาเพื่อจะดูว่านางโกรธเคืองเขาหรือไม่เกี่ยวกับข่าวลือที่ถูกแพร่กระจายไปทั่ว “ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเพียงหนึ่งชั่วยาม พี่ก็คิดถึงเจ้าจนนอนไม่หลับแล้ว” หยอกเย้าเสร็จก็ยกชาขึ้นจิบ “ท่านกล่าวจุดประสงค์แท้จริงที่ปีนเข้าห้องข้าในวันนี้มาเถิดเจ้าค่ะ” “ปิดบังเจ้าไม่ได้เลยจริง ๆ” เจียงเซวียนมองตรงสตรีตรงหน้าอย่างถูกใจพลางคิดว่าหลังจากกลับมาเมืองหลวงเสน่ห์ของเขาลดน้อยลงใช่หรือไม่ นางถึงไม่คล้อยตามเท่าใดน
‘พวกเจ้าสองพี่น้องช่างดีกับข้าจริง ๆ’ เหอซือซือมองสหายด้วยแววตาซาบซึ้ง ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือในเนื้อเรื่องเดิม เจียงเซียวเล่อก็แสนดีไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นคุณหนูเหอก็เปิดปากเล่าเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นเช่นที่เคยเล่าให้คุณชายรองเจียงฟัง และคงเพราะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน ทั้งสองจึงมีสีหน้าไม่แตกต่างกันเท่าใด แต่สหายของนางกลับเก็บอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าพี่ชาย ปัง! มือเรียวของคุณหนูจวนแม่ทัพบูรพาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง ดวงหน้าหวานฉายแววโทสะชัดเจน “เหรินเสี่ยวเหยาชั่วช้ายิ่งนัก ข้ามองคนไม่ผิดจริง ๆ” “แท้จริงข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้าต้องโกรธเกลียดนางไปกับข้าหรอก แต่ที่ยอมเล่าให้เจ้าฟังก็เพราะเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า” นางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยด
“ข้าจะเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกวาสนาด้ายแดงให้เจ้าเอง หลวนจิ้นฝาน” นัยน์ตาคมฉายแววล้ำลึกคนอย่างเจียงเซวียนไม่เคยปล่อยให้คนที่ทำไม่ดีกับตนรอดตัวไปได้ วันต่อมาจวนตระกูลเหอก็ได้ต้อนรับคุณหนูตระกูลเจียงที่มาเยี่ยมเยียนตั้งแต่ต้นยามเฉิน (07.00-08.59) แม้จะเป็นเวลาที่เช้าเกินไป แต่คนตระกูลเหอก็หาได้ถือสาไม่ ทั้งยังเอ่ยปากชักชวนให้เจียงเซียวเล่อร่วมรับสำรับเช้าด้วย “พ่อครัวของตระกูลเหอ ทำอาหารได้ถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอเกินไปแล้วเล่อเล่อ” เหอซือซือปรามสหายที่ปากหวานเอาใจบิดามารดาของตน “ข้าไม่ได้เยินยอ ข้าว่าอาหารที่จวนเจ้าถูกปากข้าจริง ๆ” คุณหนูเจียงกล่
“เรื่องนั้นเอาไว้ท่านจัดการชะตาดอกท้อของตนเองให้เสร็จสิ้นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเสี้ยนจู่เหลียงจิ่วเม่ยพร้อมจะทำร้ายสตรีทุกคนที่เข้าใกล้ท่าน แค่เพียงผู้อื่นปรายตามองท่านยังไม่ได้เลย” “เพราะเหตุนี้ ในช่วงหลายวันนี้พี่ขอปีนเข้าห้องเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่ พี่ไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตรายเพราะสตรีบ้าและชั่วช้าผู้นั้น” “แล้วเมื่อครู่ที่เข้ามาเหตุใดถึงไม่ขออนุญาตข้าก่อน” “เจ้ากล่าวเช่นนี้ หมายความว่าพี่ไม่ต้องขออนุญาต สามารถมาหาเจ้าได้ทุกเมื่อใช่หรือไม่ เจ้าช่างน่ารักเสียจริง” กล่าวจบก็ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วจุมพิตแก้มเนียนก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว “ท่านช่างคิดหลงตนเองจริง ๆ พี่ชาย” นางพึมพำกับตนเองเสียงเบา แต่บุรุษที่นั่งอยู่ใกล้ขนาดนี้มีหรือจะ
14 ขอปีนเข้าเรือนได้หรือไม่ ด้านคุณชายจวนแม่ทัพที่ห่วงใยสตรีในดวงใจ รีบร้อนควบม้าโดยไม่หยุดพักเพื่อกลับเมืองหลวง เขาใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวจากการเดินทางปกติก็สามารถถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย และเพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสทั้งสองตื่นตกใจในเรื่องที่เกิดขึ้น การสืบหาเหอซือซือจึงเป็นไปอย่างลับ ๆ เขาสั่งคนให้ลอบเข้าจวนเหอเพื่อไปตรวจสอบว่านางถูกส่งตัวกลับจวนแล้วหรือไม่ ส่วนตนเองก็กลับจวนไปอาบน้ำผลัดอาภรณ์ในระหว่างรอคำตอบ แม้จะร้อนใจเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจผลีผลามได้เพราะจะส่งผลให้ชื่อเสียงของนางเสียหายส่งผลให้คนผู้นั้นต้องรับผิดชอบนาง ซึ่งเขาจะไม่มีทางให้เป็นแบบนั้น สตรีเช่นเหอซือซือไม่ได้ผ่านมาให้เขาพบได้ง่าย ๆ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครแย่งนางไปเด็ดขาด แม้คนผู้นั้นจะเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับนางมานานก็ตาม ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อบุรุษชุดดำก็คุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากรายงาน “คุณหนูเหอกลับจาก
แต่ท่านรู้หรือไม่พอข้าขึ้นจากน้ำได้ เหรินเสี่ยวเหยาก็สั่งให้ไปตามคนมาช่วยเพิ่ม ก่อนที่ข้าจะหมดสติไป ข้าได้ยินวาจาที่นางเอ่ยชัดเจนว่า ‘จำใส่หัวเอาไว้ ว่าอย่าเข้าใกล้พี่จิ้นฝานอีก มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย’ และประโยคนี้ก็ทำให้ข้าจำขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้” “เพราะเหตุนี้เมื่อเจ้าเจอหน้าพี่ เจ้าจึงได้มีท่าทีหวาดกลัว” “ข้าถูกขู่ฆ่าเพราะท่าน และเกือบจะตายไปแล้วจริง ๆ เพราะคนรักของท่านเป็นต้นเหตุ” “เสี่ยวเหยานางไม่ใช่คนรักของพี่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” ดูเหมือนที่เขาต้องห่างเหินกับสหายในวัยเด็กจะเป็นเพราะเรื่องเข้าใจผิด “ข้าสลบไปนานหลายวัน พอฟื้นขึ้นมาก็เจอนางควงคู่มากับท่าน ทำให้ข้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ในทันที ว่าเป็นข้าที่ผิดเอง ไปใกล้ชิดสนิทสนมกั