ตวนอ๋องเฉินฟาหยางห่วงแต่ลาดตระเวน ตรวจตราความปลอดภัยของขบวนเดินทางจนมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกับโฉมงามต่างแคว้นไม่ทัน นางน้อยใจหนักจึงไม่ยอมให้พบหน้า นางกำนัลที่เดินทางมาด้วยจึงกล่าวว่าหากได้ดอกไม้หายากมาประดับแจกันหยก เขาอาจได้เจอนางอีกครั้ง แต่หากไม่ได้มาแล้ว นางอาจไม่ยกโทษให้และแน่นอนว่าคงไม่ยอมให้เขากอดจูบอีก
ร้อยวันพันปีเฉินฟาหยางไม่เคยง้อสตรีใด แต่สตรีนางนั้นเป็นถึงองค์หญิงต่างแคว้น ถูกส่งมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีข้อแม้ว่านางต้องเป็นฝ่ายเลือกคู่ครองเอง หากสองฝ่ายตกลงปลงใจก็จัดการทุกอย่างได้ตามต้องการ
หากได้แต่งนางเข้าจวนอ๋อง อำนาจของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น มิต้องเกรงใจองค์ฮ่องเต้ที่ผิดใจกันเพราะเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน คำสั่งห้ามมิให้เข้าวังหลวงก็อาจถูกยกเลิกไป เนื่องจากต้องเห็นแก่หน้าขององค์หญิงต่างแคว้นเป็นสำคัญ
องค์หญิงไป๋ซู่หลิน อายุสิบเก้าชันษา ทว่ายังไม่ได้ผ่านพิธีมงคล ดวงหน้าของนางงดงามปานนางสวรรค์ กิริยาวาจาอ่อนหวาน มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าถูกเลี้ยงดูให้เพียบพร้อมตามสามหลักเชื่อฟังสี่จรรยา นางอ่อนกว่าเขาเกือบสิบสี่หนาวก็จริง ทว่าเฉลียวฉลาด รู้จักพูดจาเอาอกเอาใจ ต่างจากพระชายาตำหนักร้างโดยสิ้นเชิง
ใช่ว่าเสวียนซือชิงไม่งดงามหรือขาดเสน่ห์ที่สตรีพึงมี เพียงแต่นางคือบุตรีของเสวียนซือเหยา รองแม่ทัพที่เขาชิงชังมากก็เท่านั้น หากพูดกันโดยปราศจากอคติแล้ว เฉินฟาหยางยังมิแน่ใจว่าองค์หญิงต่างแคว้นหรือนางกันแน่ที่มีความงามเหนือกว่ากัน
“เรื่องความงามหาสำคัญไม่ เรื่องอื่นต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า”
เดิมทีเฉินฟาหยางคิดว่าเมื่อเจอกันแล้วก็ควรพูดจากับนางตรง ๆ ว่าต้องการหย่า แต่ถ้าเสวียนซือชิงนิสัยคล้ายกับบิดาอย่างที่เขาคาดไว้จริง นางคงไม่ยินยอมโดยง่าย ฟังจากบทสนทนาที่เขาลองหยั่งเชิงดูว่านางคิดอย่างไรหากพบว่าพระสวามีมีใจให้สตรีอื่น เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านางไม่มีวันยอมหย่าแน่
ยิ่งพบว่านางงามเช่นนั้นแล้ว เขาจะปล่อยปลาลงน้ำ โดยไม่จับทำน้ำแกงกินก่อนได้อยู่หรือ
“ยิ้มร้ายกาจเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่คิดแผนชั่วอยู่ใช่หรือไม่”
“ปล่อยข้ารอนานเกือบสองเค่อ หลี่จินหมิง! เจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกหรือ”
“ไม่กล้าแล้ว! ไม่กล้าแล้ว!” หากมีใครในใต้หล้าที่กล้าหยอกเย้าตวนอ๋องเฉินฟาหยาง คนผู้นั้นก็คงมิพ้นศิษย์น้องร่วมอาจารย์ บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายซ้ายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
หลี่จินหมิง พ่อค้าหนุ่มรูปงามอายุสิบเก้าปี หัวเราะเสียงดังอวดฟันขาวสะอาด แสร้งคำนับผู้สูงศักดิ์ด้วยท่าทางคล้ายคนกำลังหวาดกลัว บรรดาพ่อค้าและคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสัย ว่ายังมีผู้ใดที่บุตรชายคนโปรดของท่านเสนาบดีหลี่ ต้องแสดงความนอบน้อมเช่นนั้นด้วยหรือ
มีเพียงเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ที่พอจะเข้าใจแล้วว่าคุณชายรูปงามผู้นั้นคือใคร จึงต่างพากันเหงื่อตก มือไม้สั่นเทา ด้วยกลัวว่าหากทำอันใดผิดแล้วอาจถูกกุดหัว หรือลากเอาไปทำปุ๋ยบำรุงต้นไม้ที่จวนอ๋องในภายหลัง
“เจ้าเลิกทำตัวน่ารำคาญ คนมองกันหมดแล้ว”
เฉินฟาหยางดุศิษย์ผู้น้องเสียงเข้ม ไม่อยากเปิดเผยตนเองให้ผู้คนแตกตื่น ชื่อเสียงของเขาไม่ได้ย่ำแย่ แต่ความเย็นชาและความโหดร้ายยามบุกตะลุยข้าศึกก็ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจยามต้องสนทนาด้วยนัก
ปิดบังตัวตนเอาไว้ย่อมเป็นการดี
“ท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดจึงนัดข้ามายังโรงเตี๊ยม ไม่ไปหาที่บ้าน” หลี่จินหมิงทราบดีว่าศิษย์พี่ไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน การว่าจ้างให้คนนำจดหมายไปแจ้งที่บ้านเพื่อตามตัวเขามายังที่นี่ จึงเป็นเรื่องค่อนข้างน่าประหลาดใจ
“มาเมื่อคืนและพักที่ตำหนัก... ที่บ้าน ทว่าที่นั่นไม่มีอะไรกิน ข้าจึงแวะมายังโรงเตี๊ยม บ้านของเจ้าต้องเดินอีกเกือบสองเค่อ ข้าคงหิวตายก่อน”
เฉินฟาหยางเล่าว่าม้าตื่นตระหนกเพราะสภาพอากาศ หนีเตลิดไปตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งจะเจอตัวไม่นานนี้เอง
“ท่านพักที่นั่น แล้ว... พบนางหรือไม่”
“พบแล้ว นึกไม่ถึงว่านางจะลำบาก กระทั่งเนื้อสัตว์ก็ไม่มีกิน แต่ก็สมควรแล้ว ชดใช้กรรมที่บิดาก่อเอาไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องดี” พูดออกไปเช่นนั้นแล้วจึงนึกได้ว่าเสวียนซือชิงลำบากก็จริง ทว่ายังมีคนลอบให้ความช่วยเหลือ และคนผู้นั้นก็คือบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้า
‘ข้าอยู่ที่นี่นานสามปีไม่เคยมีแขก เว้นแต่พ่อค้าหลี่ที่แวะมาส่งข้าวสารอาหารแห้งนาน ๆ ครั้ง’
เฉินฟาหยางจำไม่ได้ว่าตนเคยร้องขอให้ศิษย์น้องดูแลนางในตำหนักร้างหรือไม่ พอตรองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็มั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้ขออะไรเช่นนั้น เป็นหลี่จินหมิงที่ทำทุกอย่างด้วยตนเอง
แล้วเขาจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรกัน
“นางกล่าวว่ามีพ่อค้าหลี่แวะมาส่งข้าวส่งอาหาร เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“พ่อค้าที่ร่ำรวยและใจกว้าง ทั้งยังใช้สกุลหลี่ ในเมืองนี้ย่อมมีข้าเพียงคนเดียว ช่วงแรกข้านำข้าวสารและอาหารแห้งไปขายที่นั่น พบเพียงท่านป้าสุ่ยคอยจ่ายเงิน”
“ที่แท้นางไม่ได้ลำบากอย่างที่ต้องการให้ข้าเข้าใจ ยังมีคนคอยให้ความช่วยเหลือ หึ!”
“ไม่ถูกต้องนัก เพราะหลังจากนั้นเพียงปีเศษ หญิงชรานางนั้นก็ไม่อยู่คอยช่วยเหลือนางแล้ว ข้าแวะไปส่งสินค้าที่นั่นพอดี ได้ยินเสียงสตรีร้องไห้คล้ายจะขาดใจตาย พอร้องถามก็พบว่าเป็นภรรยาของท่าน จึงได้เข้าช่วยเหลือ จัดการเรื่องศพของหญิงชราผู้นั้น”
“เหตุใดจึงต้องช่วยเหลือ ไยไม่ปล่อยให้นางดิ้นรนขวนขวายด้วยตนเอง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่างไรนางก็เป็นสตรีตัวคนเดียว สูงไม่ถึงอกของท่านด้วยซ้ำ จะให้ข้าปล่อยปละละเลย ไม่สนใจให้ความช่วยเหลือได้อย่างไรกัน!”
หลี่จินหมิงกัดฟันกรอด เขามีน้ำใจและซื่อตรงมากเกินไป ทำให้ทนอยู่ในเมืองหลวงที่มีแต่เหล่าฝูงจิ้งจอกไม่ได้ สุดท้ายจึงขออนุญาตบิดาออกมาทำการค้าที่ต่างเมือง
ทีแรกท่านเสนาบดีหลี่ก็ไม่อนุญาต แต่เพราะเห็นว่าบุตรชายคนเล็กจิตใจงดงาม ทั้งยังไร้เล่ห์เหลี่ยม คงไม่รอดจากคมเขี้ยวของคนใจร้ายในเมืองหลวง หากอยู่รับราชการคงกลายเป็นแพะ ต้องถูกใส่ร้ายเข้าสักวัน คิดได้ดังนั้นจึงยอมให้บุตรชายคนสุดท้องออกไปทำการค้าตามใจปรารถนา
หลี่จินหมิงชอบการต่อรองราคาตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งตระกูลฝั่งมารดายังเป็นตระกูลคหบดี เรียกได้ว่ามีความเป็นพ่อค้าอยู่ในสายเลือด ใช้เวลาไม่นานก็เป็นที่รู้จักว่าเชื่อถือได้อย่างมาก ร้านค้าในเมืองหลายร้านล้วนเป็นกิจการของพ่อค้าหลี่ ทำกำไรจนนับเงินแทบไม่ทันแล้ว
ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางยังไม่ทราบ นั่นคือรองแม่ทัพเสวียนซือเหยาได้ฝากจดหมายให้เขาดูแลบุตรสาว หากนางถูกส่งมาอยู่ที่ตำหนักร้างในเมืองนี้ หลี่จินหมิงยามนั้นยังเยาว์ ไม่แน่ใจว่ารองแม่ทัพล่วงรู้ความคิดของตวนอ๋องได้อย่างไร แต่พอตรองดูแล้วจึงตระหนักได้ว่าศิษย์ร่วมอาจารย์ผู้นี้ เกลียดใครก็ไม่อยากพบหน้า หากแต่งนางเป็นพระชายาคงต้องให้อยู่ไกลจากสายตาให้มากที่สุด
ตวนอ๋องไม่อยากเห็นหน้านาง ให้อยู่ตำหนักร้างจึงเหมาะสมที่สุดแล้ว
“จินหมิง ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบนางกระมัง” เฉินฟาหยางจ้องจับผิดศิษย์น้อง เห็นประกายวูบไหวในดวงตาอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
“ท่านรู้จักข้ามานาน ย่อมทราบดีว่าข้ามิใช่คนชอบทำเรื่องผิดศีลธรรม ที่ต้องพบเจอกับนางก็เพราะเรื่องการซื้อขายข้าวสารอาหารแห้งเท่านั้น”
“เจ้าชอบนางก็ไม่แปลก นางเป็นคนงาม เมื่อคืนข้าจึงอดใจไม่ไหว จริง ๆ แล้วอาจต้องแวะเวียนมาบ่อย ๆ นางจะได้ไม่ลืมว่าใครเป็นเจ้าชีวิตของนาง เจ้าเองก็น่าจะรู้ หากข้าไม่แต่งกับนาง บุตรสาวอนุภรรยาของเสวียนซือเหยาคงประสบชะตากรรมที่ไม่ดีนัก”
เฉินฟาหยางยิ้มเหยียดยามเห็นศิษย์น้องทำตาลุกวาว จงใจยืดลำคอขาวให้อีกฝ่ายได้เห็นรอยกัด อยากกล่าวเท็จไปว่าคืนที่ผ่านมาร้อนแรงมากเพียงใด แต่พอเห็นดวงหน้าที่เดี๋ยวแดงก่ำเดี๋ยวซีดขาว เขาจึงไม่อยากแกล้งจนเกินควร
“ท่าน... ร่วมหอกับนางแล้ว”
หลี่จินหมิงกระซิบ หัวใจแตกสลายกลายเป็นผุยผง เขาแอบหลงรักนางมานาน แต่ขนบธรรมเนียมและความเหมาะสมทุกประการไม่อนุญาตให้ทำตามหัวใจ จึงทำได้เพียงคอยช่วยเหลือนางอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
“เจ้าพูดคล้ายกับว่าสิ่งที่ข้าทำเป็นเรื่องประหลาด นางเป็นเมียข้า ข้าจะทำอย่างไรก็ย่อมได้”
“พอได้แล้ว! นี่ท่านไม่มีธุระให้ทำหรืออย่างไร เหตุใดจึงยังเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าต้องคุ้มกันองค์หญิงต่างแคว้นกลับเมืองหลวงหรอกหรือ”
“จริงสิ ข้าเพลิดเพลินตลอดคืนจนลืมเรื่องงาน ต้องขอบใจเจ้านักที่เตือนสติ หลังจากส่งองค์หญิงไป๋ซู่หลินกลับเมืองหลวงแล้ว เราคงจะได้พบกันบ่อยขึ้น หากเจ้าพอมีเวลา ข้าอยากให้ซ่อมแซมตำหนักเยว่ฉีให้ดี หากนางถามไถ่มากความก็บอกว่าพระสวามีของนาง ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นผู้ออกคำสั่ง แต่อย่าพูดเรื่องที่ข้าแวะไปหานางเมื่อคืนเล่า ข้าว่านางคงจะยังอายอยู่มาก ตอนที่ข้าออกมา นางยัง... ลุกจากเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ศิษย์พี่ใหญ่! อย่างไรนางก็เป็นชายาของท่าน อย่าปากร้ายให้มากนัก!”
“ชายาของข้าเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมา เจ้าทำหน้าที่แทนข้าไปแล้วกระมัง”
“ปากสุนัข! เมื่อคืนท่านร่วมหอกับนางแล้ว ไยยังกล้าพูดจาเช่นนี้ หรือว่า... หึ! สุดท้ายท่านก็เผยความจริงเพราะความหยิ่งยโสของตนโดยแท้ ว่าแต่แผลที่ถูกนางกัดมานั่น เจ็บมากหรือไม่เล่า”
หลี่จินหมิงยิ้มหยัน แม้อีกฝ่ายสูงศักดิ์กว่ามาก แต่ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องต่างสายเลือด หาจำเป็นต้องระมัดระวังมารยาทให้มากความแต่อย่างใดไม่
“เจ้ายังฉลาดไม่เปลี่ยน แต่ไม่ได้ร่วมหอกับนางแล้วอย่างไร รอข้ากลับมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อยากทำตามใจตนเองมากเพียงใดก็ย่อมได้ ถึงเวลานั้นข้าคงได้รู้ว่าภรรยาและศิษย์น้องได้แอบสวมหมวกเขียว[๑]ให้ข้าแล้วหรือไม่!”
เฉินฟาหยางซ่อนความขุ่นเคืองไว้ในใจ แม้เขาจะเกลียดชังเสวียนซือชิง แต่ไม่ได้หมายความว่าชายอื่นจะมีสิทธิ์แตะต้องนาง
ความบริสุทธิ์ของเสวียนซือชิงคือสิทธิ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ตักตวงให้สาสมกับความคับแค้นก่อนตีจาก นับว่าเหมาะสมดีแล้วมิใช่หรือ
[๑] สามีถูกภรรยานอกใจ
กระแสลมกระโชกแรงทำให้กิ่งไม้น้อยใหญ่โบกสะบัดราวกับเต้นเริงระบำท่ามกลางสายฝน หากยามปกติคงยากจะมองเห็นได้ ว่ากิ่งก้านเรียวเล็กเหล่านั้นโอนอ่อนลู่ลมได้มากน้อยเพียงไรในยามราตรี ทว่าค่ำคืนนี้มิใช่ค่ำคืนธรรมดา แสงสว่างแสบตาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทำให้สตรีร่างเล็กมองเห็นความน่าหวาดหวั่นของภัยธรรมชาติ พายุใหญ่เช่นนี้มาไม่บ่อยนัก แต่พอมาแล้ว ก็สร้างปัญหาให้มากพอสมควรหลังจากประเมินสถานการณ์อยู่เพียงหนึ่งจิบน้ำชา[1] นางจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปยังห้องครัวที่อยู่นอกตัวบ้าน รีบหยิบถังไม้ขนาดเล็กที่เก่าจนมอง ไม่ออกว่ามันมีอายุมานานเท่าใดแล้วกลับเข้าห้อง วางมันลงบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ รอยรั่วของหลังคาอยู่ห่างจากเตียงคงไม่รบกวนการนอน แต่อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ก็ขอให้มีสักสองห้องในบ้านหลังนี้แห้งสะอาดก็คงเป็นเรื่องดีเสวียนซือชิง หนาวสะท้านทั่วร่าง มือเรียวบอบบางลูบต้นแขนเบา ๆ เพราะลมที่พัดลอดประตูห้องนอนทำให้หนาวจนสั่นสะท้าน อีกสองสามวันข้างหน้าประตูอาจพังครืน หากไม่ตอกตะปูยึดไว้สักหน่อยคงแย่นางยิ้มเศร้ายอมรับชะตากรรม เดินไปตรวจสอบกลอนหน้าต่าง ก่อนสะดุ้งจนตัวโยนเพราะเสียงฟ้าผ่าเป็นครั้งที่เท
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โฉมงามไม่สามารถควบคุมสติของตนได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ในระหว่างก่อไฟต้มน้ำเสวียนซือชิงตรองดูอย่างละเอียดว่าเรื่องที่บุรุษผู้นั้นกล่าวมาเป็นความจริงหรือความเท็จ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ตวนอ๋องเกลียดชังครอบครัวของนางมากไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลังจากผ่านไปสามปีแล้วค่อยส่งคนมาหมิ่นเกียรติกัน นั่นออกจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากสักหน่อยนางยกน้ำถังแล้วถังเล่าไปเติมอย่างยากลำบาก กว่าจะทำให้ถังไม้มีน้ำอุ่นมากพอสำหรับชำระล้างร่างกาย เวลาก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ[1] เสวียนซือชิงเดิน อย่างประหม่ากลับไปยังห้องนอนที่มีบุรุษแปลกหน้าเปลือยท่อนบนรออยู่ เขาจุดตะเกียงแล้ว ห้องจึงสว่างไสวขึ้นมาบ้าง“น้ำร้อนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ลมหายใจของเสวียนซือชิงติดขัด บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก ลักษณะของเขาสอดคล้องกับน้ำเสียงทุกประการ ไม่ผ่อนปรนหรือปรานีให้กับผู้ใดทว่าสิ่งที่ทำให้นางแทบกลั้นลมหายใจคือความงามดั่งเทพเซียนของเขาต่างหากเล่าใบหน้าคมคร้ามและผิวขาวจัดยิ่งกว่าสตรี ทำให้นางไม่อาจจ้องมองได้นานนัก กลัวว่าจะควบคุมสติไม่อยู่เพราะความตื่นเต้น ความ
ปลายยามซื่อ[1] แล้ว ร่างสูงใหญ่จึงได้ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน คืนที่ผ่านมาเขาแวะทำธุระสำคัญระหว่างเดินทางกลับไปยังค่ายทหาร นึกไม่ถึงว่าจะเกิดพายุใหญ่จนเดินทางต่อไปได้ลำบาก ความจริงก็อยากจะแวะเข้าไปในเมือง หาที่พักสะอาดสะอ้านนอนพักจนกว่าพายุจะสงบ นึกไม่ถึงว่าจะอากาศจะย่ำแย่จนม้าตื่นกลัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกทิ้งไว้หน้าตำหนักเยว่ฉีเสียแล้วเฉินฟาหยาง ลืมเสียสนิทว่ามีใครอยู่ที่นี่ จนกระทั่งได้เห็นดวงหน้าคุ้นตาที่คล้ายบิดาของนางอยู่หลายส่วน ความโกรธแค้นในใจก็พลันพลุ่งพล่าน อยากกลั่นแกล้งเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษที่ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมาทันทียากจะเดาได้ว่าปีศาจตนใดยุยงให้เฉินฟาหยางกล่าวความเท็จ ว่า ตวนอ๋องยกทุกอย่างที่นี่รวมถึงตัวนางให้เขาแล้ว แต่จะว่าเป็นความเท็จทั้งสิบส่วนก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะตัวเขาและตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์คือคนคนเดียวกัน ทว่าเสวียนซือชิงหาได้ทราบเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่ในวันที่แต่งนางเข้าตำหนักร้างเมื่อสามปีก่อน เขาสำเริงสำราญอยู่กับอนุภรรยาในจวน หลับนอนกับพวกนางอย่างบ้าคลั่ง ถึงเสวียนซือชิงจะไม่ทราบเรื่อง แต่เขาก็สาแก่ใจอย่างมาก ยิ่งได้ข่าวจากคนรู้จักว่านา
นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างเสวียนซือชิงอยู่บ้าง ฝนที่หลั่งไหลราวฟ้ารั่วตั้งแต่ฟ้าสว่างเมื่อวานได้หยุดลงในปลายยามอิ๋น[1] นางจึงรีบตื่นมาทำความสะอาด นำถังไม้ที่รองน้ำจากรอยรั่วของหลังคาไปเทไว้ในโอ่ง เช็ดถูส่วนที่เอ่อล้นออกมาอย่างขยันขันแข็ง สามปีก่อนนางทำเรื่องเหล่านี้ไม่เป็น ถนัดเพียงการปักผ้าตามที่ท่านแม่ใหญ่เคยสั่งสอน ออกแบบลวดลายสวยงามจนใครต่อใครที่ได้เห็นพากันชื่นชมไม่ขาดปากทว่าหลังจากแต่งเข้าตำหนักเยว่ฉี เสวียนซือชิงเรียนรู้ทุกอย่างจาก แม่นมสุ่ย ปัดกวาดเช็ดถูและซักผ้า กระทั่งทำอาหารก็สามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ แม้จะมีวัตถุดิบไม่มากก็ตาม แรกเริ่มที่ย้ายมาอยู่ แม่นมสุ่ยพยายามจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง แต่นางอายุมากแล้ว อดทนทำงานหนักได้ไม่นานก็หมดแรง เดือดร้อนต้องหายาบำรุงอยู่เรื่อยไป ท้ายที่สุดจึงยอมสอนงานทุกอย่างให้กับคุณหนูเสวียน เผื่อว่าวันใดนางไม่อยู่แล้ว คุณหนูผู้อาภัพจะได้ไม่ลำบากนักแม่นมสุ่ยเดาไม่ผิดนัก นางอยู่ที่ตำหนักเยว่ฉีได้เพียงปีเศษก็จากไปอย่างสงบ ราวกับนอนหลับไปอย่างนั้นเอง เสวียนซือชิงจำได้ว่านางร้องไห้นาน สามวัน วิ่งถลาออกไปขอร้องบุรุษที่แวะมาส่งข้าวสารให้ช่วยเหลือจัด
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง…เฉินฟาหยางไม่ใช่คนยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน เขาเป็นถึงพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รั้งตำแหน่งตวนอ๋องมาตั้งแต่อายุได้สิบหกชันษา ได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลกองทัพ ออกรบยามมีปัญหาบริเวณชายแดน แต่กระนั้นยามลำบากที่สุด ข้าวต้มที่ได้กินยังมีเมล็ดข้าวมากกว่าถ้วยเล็ก ๆ ที่เสวียนซือชิงนำมาให้เสียอีกได้ยินว่านางจะนำข้าวสารไปแลกไข่ เขาก็หมดความอยากอาหารทันที!แม้จะเกลียดชังนางมาเพียงใด แต่เฉินฟาหยางกลับต้องยอมรับว่านางฉลาดรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งยังไขข้อข้องใจที่คั่งค้างมานานว่าใครคือผู้ที่ขีดเขียนหนังสือเล่มโปรดของเขา“ที่แท้มิใช่เด็กผู้ชาย”เฉินฟาหยางลืมคิดไปว่าค่ายทหารไม่ใช่สถานที่สำหรับสตรี นางแต่งตัวเป็นบุรุษ ลอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบิดาย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาด ยามนั้นเขาต้องดาบของทหารเลวบริเวณแผ่นหลัง บาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องนอนคว่ำและห้ามขยับตัวนานหลายวันคราวนั้นต้องดื่มกินสมุนไพรหลายประเภทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด รู้สึกคล้ายมึนเมาตลอดเวลา นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาแยกแยะเสียงของเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านไม่ได้ย้อนหลังไปสิบปี ยามนั้นนางอายุเพียงแ
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางห่วงแต่ลาดตระเวน ตรวจตราความปลอดภัยของขบวนเดินทางจนมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกับโฉมงามต่างแคว้นไม่ทัน นางน้อยใจหนักจึงไม่ยอมให้พบหน้า นางกำนัลที่เดินทางมาด้วยจึงกล่าวว่าหากได้ดอกไม้หายากมาประดับแจกันหยก เขาอาจได้เจอนางอีกครั้ง แต่หากไม่ได้มาแล้ว นางอาจไม่ยกโทษให้และแน่นอนว่าคงไม่ยอมให้เขากอดจูบอีกร้อยวันพันปีเฉินฟาหยางไม่เคยง้อสตรีใด แต่สตรีนางนั้นเป็นถึงองค์หญิงต่างแคว้น ถูกส่งมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีข้อแม้ว่านางต้องเป็นฝ่ายเลือกคู่ครองเอง หากสองฝ่ายตกลงปลงใจก็จัดการทุกอย่างได้ตามต้องการหากได้แต่งนางเข้าจวนอ๋อง อำนาจของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น มิต้องเกรงใจองค์ฮ่องเต้ที่ผิดใจกันเพราะเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน คำสั่งห้ามมิให้เข้าวังหลวงก็อาจถูกยกเลิกไป เนื่องจากต้องเห็นแก่หน้าขององค์หญิงต่างแคว้นเป็นสำคัญองค์หญิงไป๋ซู่หลิน อายุสิบเก้าชันษา ทว่ายังไม่ได้ผ่านพิธีมงคล ดวงหน้าของนางงดงามปานนางสวรรค์ กิริยาวาจาอ่อนหวาน มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าถูกเลี้ยงดูให้เพียบพร้อมตามสามหลักเชื่อฟังสี่จรรยา นางอ่อนกว่าเขาเกือบสิบสี่หนาวก็จริง ทว่าเฉลียวฉลาด
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง…เฉินฟาหยางไม่ใช่คนยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน เขาเป็นถึงพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รั้งตำแหน่งตวนอ๋องมาตั้งแต่อายุได้สิบหกชันษา ได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลกองทัพ ออกรบยามมีปัญหาบริเวณชายแดน แต่กระนั้นยามลำบากที่สุด ข้าวต้มที่ได้กินยังมีเมล็ดข้าวมากกว่าถ้วยเล็ก ๆ ที่เสวียนซือชิงนำมาให้เสียอีกได้ยินว่านางจะนำข้าวสารไปแลกไข่ เขาก็หมดความอยากอาหารทันที!แม้จะเกลียดชังนางมาเพียงใด แต่เฉินฟาหยางกลับต้องยอมรับว่านางฉลาดรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งยังไขข้อข้องใจที่คั่งค้างมานานว่าใครคือผู้ที่ขีดเขียนหนังสือเล่มโปรดของเขา“ที่แท้มิใช่เด็กผู้ชาย”เฉินฟาหยางลืมคิดไปว่าค่ายทหารไม่ใช่สถานที่สำหรับสตรี นางแต่งตัวเป็นบุรุษ ลอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบิดาย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาด ยามนั้นเขาต้องดาบของทหารเลวบริเวณแผ่นหลัง บาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องนอนคว่ำและห้ามขยับตัวนานหลายวันคราวนั้นต้องดื่มกินสมุนไพรหลายประเภทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด รู้สึกคล้ายมึนเมาตลอดเวลา นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาแยกแยะเสียงของเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านไม่ได้ย้อนหลังไปสิบปี ยามนั้นนางอายุเพียงแ
นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างเสวียนซือชิงอยู่บ้าง ฝนที่หลั่งไหลราวฟ้ารั่วตั้งแต่ฟ้าสว่างเมื่อวานได้หยุดลงในปลายยามอิ๋น[1] นางจึงรีบตื่นมาทำความสะอาด นำถังไม้ที่รองน้ำจากรอยรั่วของหลังคาไปเทไว้ในโอ่ง เช็ดถูส่วนที่เอ่อล้นออกมาอย่างขยันขันแข็ง สามปีก่อนนางทำเรื่องเหล่านี้ไม่เป็น ถนัดเพียงการปักผ้าตามที่ท่านแม่ใหญ่เคยสั่งสอน ออกแบบลวดลายสวยงามจนใครต่อใครที่ได้เห็นพากันชื่นชมไม่ขาดปากทว่าหลังจากแต่งเข้าตำหนักเยว่ฉี เสวียนซือชิงเรียนรู้ทุกอย่างจาก แม่นมสุ่ย ปัดกวาดเช็ดถูและซักผ้า กระทั่งทำอาหารก็สามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ แม้จะมีวัตถุดิบไม่มากก็ตาม แรกเริ่มที่ย้ายมาอยู่ แม่นมสุ่ยพยายามจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง แต่นางอายุมากแล้ว อดทนทำงานหนักได้ไม่นานก็หมดแรง เดือดร้อนต้องหายาบำรุงอยู่เรื่อยไป ท้ายที่สุดจึงยอมสอนงานทุกอย่างให้กับคุณหนูเสวียน เผื่อว่าวันใดนางไม่อยู่แล้ว คุณหนูผู้อาภัพจะได้ไม่ลำบากนักแม่นมสุ่ยเดาไม่ผิดนัก นางอยู่ที่ตำหนักเยว่ฉีได้เพียงปีเศษก็จากไปอย่างสงบ ราวกับนอนหลับไปอย่างนั้นเอง เสวียนซือชิงจำได้ว่านางร้องไห้นาน สามวัน วิ่งถลาออกไปขอร้องบุรุษที่แวะมาส่งข้าวสารให้ช่วยเหลือจัด
ปลายยามซื่อ[1] แล้ว ร่างสูงใหญ่จึงได้ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน คืนที่ผ่านมาเขาแวะทำธุระสำคัญระหว่างเดินทางกลับไปยังค่ายทหาร นึกไม่ถึงว่าจะเกิดพายุใหญ่จนเดินทางต่อไปได้ลำบาก ความจริงก็อยากจะแวะเข้าไปในเมือง หาที่พักสะอาดสะอ้านนอนพักจนกว่าพายุจะสงบ นึกไม่ถึงว่าจะอากาศจะย่ำแย่จนม้าตื่นกลัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกทิ้งไว้หน้าตำหนักเยว่ฉีเสียแล้วเฉินฟาหยาง ลืมเสียสนิทว่ามีใครอยู่ที่นี่ จนกระทั่งได้เห็นดวงหน้าคุ้นตาที่คล้ายบิดาของนางอยู่หลายส่วน ความโกรธแค้นในใจก็พลันพลุ่งพล่าน อยากกลั่นแกล้งเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษที่ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมาทันทียากจะเดาได้ว่าปีศาจตนใดยุยงให้เฉินฟาหยางกล่าวความเท็จ ว่า ตวนอ๋องยกทุกอย่างที่นี่รวมถึงตัวนางให้เขาแล้ว แต่จะว่าเป็นความเท็จทั้งสิบส่วนก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะตัวเขาและตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์คือคนคนเดียวกัน ทว่าเสวียนซือชิงหาได้ทราบเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่ในวันที่แต่งนางเข้าตำหนักร้างเมื่อสามปีก่อน เขาสำเริงสำราญอยู่กับอนุภรรยาในจวน หลับนอนกับพวกนางอย่างบ้าคลั่ง ถึงเสวียนซือชิงจะไม่ทราบเรื่อง แต่เขาก็สาแก่ใจอย่างมาก ยิ่งได้ข่าวจากคนรู้จักว่านา
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โฉมงามไม่สามารถควบคุมสติของตนได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ในระหว่างก่อไฟต้มน้ำเสวียนซือชิงตรองดูอย่างละเอียดว่าเรื่องที่บุรุษผู้นั้นกล่าวมาเป็นความจริงหรือความเท็จ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ตวนอ๋องเกลียดชังครอบครัวของนางมากไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลังจากผ่านไปสามปีแล้วค่อยส่งคนมาหมิ่นเกียรติกัน นั่นออกจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากสักหน่อยนางยกน้ำถังแล้วถังเล่าไปเติมอย่างยากลำบาก กว่าจะทำให้ถังไม้มีน้ำอุ่นมากพอสำหรับชำระล้างร่างกาย เวลาก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ[1] เสวียนซือชิงเดิน อย่างประหม่ากลับไปยังห้องนอนที่มีบุรุษแปลกหน้าเปลือยท่อนบนรออยู่ เขาจุดตะเกียงแล้ว ห้องจึงสว่างไสวขึ้นมาบ้าง“น้ำร้อนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ลมหายใจของเสวียนซือชิงติดขัด บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก ลักษณะของเขาสอดคล้องกับน้ำเสียงทุกประการ ไม่ผ่อนปรนหรือปรานีให้กับผู้ใดทว่าสิ่งที่ทำให้นางแทบกลั้นลมหายใจคือความงามดั่งเทพเซียนของเขาต่างหากเล่าใบหน้าคมคร้ามและผิวขาวจัดยิ่งกว่าสตรี ทำให้นางไม่อาจจ้องมองได้นานนัก กลัวว่าจะควบคุมสติไม่อยู่เพราะความตื่นเต้น ความ
กระแสลมกระโชกแรงทำให้กิ่งไม้น้อยใหญ่โบกสะบัดราวกับเต้นเริงระบำท่ามกลางสายฝน หากยามปกติคงยากจะมองเห็นได้ ว่ากิ่งก้านเรียวเล็กเหล่านั้นโอนอ่อนลู่ลมได้มากน้อยเพียงไรในยามราตรี ทว่าค่ำคืนนี้มิใช่ค่ำคืนธรรมดา แสงสว่างแสบตาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทำให้สตรีร่างเล็กมองเห็นความน่าหวาดหวั่นของภัยธรรมชาติ พายุใหญ่เช่นนี้มาไม่บ่อยนัก แต่พอมาแล้ว ก็สร้างปัญหาให้มากพอสมควรหลังจากประเมินสถานการณ์อยู่เพียงหนึ่งจิบน้ำชา[1] นางจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปยังห้องครัวที่อยู่นอกตัวบ้าน รีบหยิบถังไม้ขนาดเล็กที่เก่าจนมอง ไม่ออกว่ามันมีอายุมานานเท่าใดแล้วกลับเข้าห้อง วางมันลงบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ รอยรั่วของหลังคาอยู่ห่างจากเตียงคงไม่รบกวนการนอน แต่อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ก็ขอให้มีสักสองห้องในบ้านหลังนี้แห้งสะอาดก็คงเป็นเรื่องดีเสวียนซือชิง หนาวสะท้านทั่วร่าง มือเรียวบอบบางลูบต้นแขนเบา ๆ เพราะลมที่พัดลอดประตูห้องนอนทำให้หนาวจนสั่นสะท้าน อีกสองสามวันข้างหน้าประตูอาจพังครืน หากไม่ตอกตะปูยึดไว้สักหน่อยคงแย่นางยิ้มเศร้ายอมรับชะตากรรม เดินไปตรวจสอบกลอนหน้าต่าง ก่อนสะดุ้งจนตัวโยนเพราะเสียงฟ้าผ่าเป็นครั้งที่เท