โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง…
เฉินฟาหยางไม่ใช่คนยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน เขาเป็นถึงพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รั้งตำแหน่งตวนอ๋องมาตั้งแต่อายุได้สิบหกชันษา ได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลกองทัพ ออกรบยามมีปัญหาบริเวณชายแดน แต่กระนั้นยามลำบากที่สุด ข้าวต้มที่ได้กินยังมีเมล็ดข้าวมากกว่าถ้วยเล็ก ๆ ที่เสวียนซือชิงนำมาให้เสียอีก
ได้ยินว่านางจะนำข้าวสารไปแลกไข่ เขาก็หมดความอยากอาหารทันที!
แม้จะเกลียดชังนางมาเพียงใด แต่เฉินฟาหยางกลับต้องยอมรับว่านางฉลาดรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งยังไขข้อข้องใจที่คั่งค้างมานานว่าใครคือผู้ที่ขีดเขียนหนังสือเล่มโปรดของเขา
“ที่แท้มิใช่เด็กผู้ชาย”
เฉินฟาหยางลืมคิดไปว่าค่ายทหารไม่ใช่สถานที่สำหรับสตรี นางแต่งตัวเป็นบุรุษ ลอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบิดาย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาด ยามนั้นเขาต้องดาบของทหารเลวบริเวณแผ่นหลัง บาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องนอนคว่ำและห้ามขยับตัวนานหลายวัน
คราวนั้นต้องดื่มกินสมุนไพรหลายประเภทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด รู้สึกคล้ายมึนเมาตลอดเวลา นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาแยกแยะเสียงของเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านไม่ได้
ย้อนหลังไปสิบปี ยามนั้นนางอายุเพียงแปดขวบ อ่านออกเขียนได้ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียว ทั้งยังเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยา นับว่าเสวียนซือเหยาสั่งสอนนางได้น่าประทับใจยิ่งนัก
แต่น่าประทับใจแล้วอย่างไร สุดท้ายรองแม่ทัพผู้นั้นก็ทำให้เขาผิดหวัง...
“ไปนำสุรามาเพิ่ม!” เฉินฟาหยางออกคำสั่งต่อเสี่ยวเอ้อร์ ไม่ลืมตบโต๊ะอย่างเอาแต่ใจอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวานเขาดื่มไปมาก สุราที่นำติดมือมาด้วยหมดไปเพราะความหนาวเหน็บ หากไม่ดื่มก็คงแข็งตายกลางพายุแล้ว พอนึกได้ก็รีบขอบคุณสวรรค์ที่นางไม่ได้แตะต้องสุราที่อยู่ในห้องเก็บสุรา ยี่สิบปีก่อนเป็นอย่างไร ยามนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น กระทั่งทุกห้องในตำหนักเยว่ฉีเองก็เช่นกัน
เว้นแต่ห้องนอนของเสวียนซือชิงที่ยังไม่ได้สำรวจดู
ในระหว่างที่รอศิษย์น้องอยู่ เฉินฟาหยางก็รำลึกถึงเรื่องราวในอดีต สามปีก่อนเขาถูกรองแม่ทัพเสวียนซือเหยาทวงสัญญา ว่าหากตนไร้ซึ่งลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้แต่งงานผ่านพิธีมงคล เขาจะต้องดูแลนางให้ดีและจะต้องอยู่ในตำแหน่งพระชายาเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเสวียนซือเหยาจะสิ้นลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้ออกเรือนจริง ซ้ำยังไม่ใช่เพราะคมดาบคมกระบี่ของข้าศึก แต่เป็นเพราะถูกประหารเนื่องจากขัดคำสั่งเขาผู้เป็นแม่ทัพ เป็นเหตุให้องค์ชายรัชทายาทเหวินจงเหลียนต้องสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ องค์ชายรองเหวินฉีตกหน้าผา ตามคำบอกกล่าวของเหล่าทหาร ปรากฏว่าธนูปักอยู่เต็มแผ่นหลัง โอกาสรอดชีวิตจึงเป็นไปไม่ได้ มีเพียงองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูเท่านั้นที่รอดกลับมา
เพื่อรักษาคำพูดของตนแล้ว เขายอมแต่งสาวงามที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นได้ไม่นาน แต่จะให้รับเข้าจวนอ๋องในเมืองหลวง อยู่เป็นหนามตำตาตำใจ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ใช่คนใจกว้างมากถึงเพียงนั้น การยินยอมให้นางอยู่ตำหนักร้างที่เขาเกลียดชังไม่ต่างจากมารดา นับว่ามีเมตตามากพอแล้ว
“คุณชายขอรับ มีม้าตัวหนึ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม ไร้เจ้าของดูแล ทั้งยังดุร้ายไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ข้าน้อยเห็นผ้ารองนั่งตรงอานม้ามีลวดลายคล้ายเสื้อผ้าที่คุณชายสวมใส่อยู่ มิแน่ใจว่าเป็นม้าของคุณชายหรือไม่ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์รีบแจ้ง คุณชายท่านนี้ดูน่าเกรงขามกว่าแขกหลายคนที่แวะเวียนมายังโรงเตี๊ยม ทั้งยังหน้าตาบูดบึ้งคล้ายอารมณ์ไม่ดี จึงควรอยู่ให้ห่าง ไม่รบกวนหากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนจำเป็น
“ย่อมต้องเป็นซวี่หยา เจ้าไปนำหญ้าและน้ำให้เขาดื่ม หาคอกที่สะอาดที่สุดให้ได้พักผ่อน”
ม้าตัวโปรดของเขาคือซวี่หยา ปกติแล้วสงบนิ่งอย่างมาก ทว่าฝีเท้าดีและดุดันยามออกศึก เป็นไปได้ว่าคืนที่ผ่านมาคงเหนื่อยเกินทนไหว บวกกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเตลิดหนีไปชั่วคราว
แต่เรื่องนี้จะโทษซวี่หยาก็ไม่ได้ หากเขาไม่อยากเอาใจโฉมงาม ยอมขี่ม้าออกนอกเส้นทาง ป่านนี้คงนอนหลับสบายอยู่ที่ค่ายทหารแล้ว
ใช่แล้ว!
เฉินฟาหยางออกนอกเส้นทางเพราะสตรี หาได้ตั้งใจแวะมายังตำหนักเยว่ฉีแต่อย่างใดไม่
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางห่วงแต่ลาดตระเวน ตรวจตราความปลอดภัยของขบวนเดินทางจนมาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายกับโฉมงามต่างแคว้นไม่ทัน นางน้อยใจหนักจึงไม่ยอมให้พบหน้า นางกำนัลที่เดินทางมาด้วยจึงกล่าวว่าหากได้ดอกไม้หายากมาประดับแจกันหยก เขาอาจได้เจอนางอีกครั้ง แต่หากไม่ได้มาแล้ว นางอาจไม่ยกโทษให้และแน่นอนว่าคงไม่ยอมให้เขากอดจูบอีกร้อยวันพันปีเฉินฟาหยางไม่เคยง้อสตรีใด แต่สตรีนางนั้นเป็นถึงองค์หญิงต่างแคว้น ถูกส่งมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีข้อแม้ว่านางต้องเป็นฝ่ายเลือกคู่ครองเอง หากสองฝ่ายตกลงปลงใจก็จัดการทุกอย่างได้ตามต้องการหากได้แต่งนางเข้าจวนอ๋อง อำนาจของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น มิต้องเกรงใจองค์ฮ่องเต้ที่ผิดใจกันเพราะเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน คำสั่งห้ามมิให้เข้าวังหลวงก็อาจถูกยกเลิกไป เนื่องจากต้องเห็นแก่หน้าขององค์หญิงต่างแคว้นเป็นสำคัญองค์หญิงไป๋ซู่หลิน อายุสิบเก้าชันษา ทว่ายังไม่ได้ผ่านพิธีมงคล ดวงหน้าของนางงดงามปานนางสวรรค์ กิริยาวาจาอ่อนหวาน มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าถูกเลี้ยงดูให้เพียบพร้อมตามสามหลักเชื่อฟังสี่จรรยา นางอ่อนกว่าเขาเกือบสิบสี่หนาวก็จริง ทว่าเฉลียวฉลาด
หลายวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้ตามที่ใจปรารถนา เนื่องจากยามที่หลุดร่วงจากอ้อมกอดของบุรุษที่มีนามว่าเฉินหยาง ข้อมือเล็ก ๆ ของนางกระแทกกับพื้นค่อนข้างแรง โชคดีที่เป็นมือข้างที่ไม่ถนัด นางจึงยังทำความสะอาด ดูแลตำหนักเยว่ฉีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องทว่ายังมิได้ทันซ่อมแซมหรือทำอะไรมาก พ่อค้าหลี่ที่นางคุ้นหน้าคุ้นตาก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู พร้อมทั้งแจ้งว่ามีคำสั่งจากตวนอ๋องให้จัดการซ่อมแซมทุกอย่างตามสมควร เขาดูเป็นคนที่มีความเอาใจใส่ในทุก ๆ เรื่อง มองออกว่านางไม่สะดวกใจให้คนงานที่ล้วนแต่เป็นบุรุษเข้ามายุ่มย่ามในที่พำนัก จึงส่งสาวใช้สองคนมาอยู่เป็นเพื่อน เสวียนซือชิงไม่ปฏิเสธ แม้จะเกรงใจอย่างมาก ด้วยคิดไปว่าติดหนี้บุญคุณหนหนึ่ง ยังดีกว่าอยู่กับบุรุษมากหน้าหลายตาตามลำพัง“คุณหนูเสวียนจะไปที่ใดหรือ”หลี่จินหมิงทักทายสาวงามที่กำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน วันนี้คือวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะหาข้ออ้างแวะมาเยี่ยมเยียนนางได้ เพราะเหลือแค่เก็บรายละเอียดปลีกย่อยอีกไม่มาก ตำหนักเยว่ฉีก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม เหมาะแก่การอยู่อาศัยของตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์แล้ว“ตั้งใจว่าจะเอาผ้าไปส่งที่ร้านในตลาดเจ้าค
มากกว่าสิบปีที่เฉินฟาหยางรู้จักคุณชายสกุลหลี่ เขาเห็นหนุ่มน้อยผู้นี้มีโทสะแทบนับครั้งได้ แต่ทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมักเป็นเรื่องสำคัญ เช่นยามที่เขาคัดค้านไม่เห็นด้วยกับองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝู เรื่องละเว้นโทษตายต่อคนสกุลเสวียน ทำเพียงการยึดทรัพย์เข้าท้องพระคลังเท่านั้นหลี่จินหมิงกล่าวว่ารองแม่ทัพเสวียนตัดสินใจผิดพลาดก็จริง แต่องค์ชายทั้งสามก็อยู่ที่นั่นด้วย ย่อมต้องรับผิดชอบทุกอย่างเท่าเทียมกันจำได้ว่าปีนั้นคือครั้งแรกที่เขาทะเลาะกับศิษย์น้องรุนแรง แม้จะมีโอกาสปรับความเข้าใจในภายหลัง แต่เรื่องราวในวันนั้นทั้งเฉินฟาหยางและหลี่จินหมิงยังจำได้ไม่เคยลืมเมื่อมีเหตุให้คล้ายต้องทะเลาะกันใหม่ ทั้งสาเหตุยังเป็นสตรี สองบุรุษจึงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด เร่งใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ที่กำลังปะทุอย่างบ้าคลั่งภายในใจหลี่จินหมิงตระหนักดีว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมิอยากเปิดเผยตัวตน จึงเชื้อเชิญให้ติดตามสาวใช้ทั้งสองกลับไปดื่มน้ำชารอที่บ้าน ส่วนตนเองขอทำธุระที่ร้านให้เรียบร้อยแล้วจะตามไปในภายหลังเฉินฟาหยางไม่ขัดข้องอันใด ด้วยรู้ว่าศิษย์น้องเพียงต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ ตรึกตรองเรื่องราว
เสวียนซือชิงดวงหน้าแดงจัดราวกับดอกเหมยกุ้ย[1]ยามแรกแย้ม นางอายุได้สิบแปดปีแล้ว ทว่าหลังจากพิธีปักปิ่นก็แทบมิได้สนทนากับบุรุษใด กระทั่งคุณชายหลี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนสินค้ากันหลายหน แวะเวียนมาดูแลการซ่อมบำรุงตำหนักตามคำสั่งของตวนอ๋อง ยังมิเคยพูดจาให้นางต้องอึดอัดมากมายถึงเพียงนี้มิแน่ใจว่ายามที่คุณชายเฉินหยางเอ่ยถ้อยความเหล่านั้น มีผู้ใดได้ยินบ้าง แต่อย่างน้อยคุณชายหลี่ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้น เขาคือคนสนิทของตวนอ๋อง รวมถึงบุรุษผู้นั้นด้วย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องที่ตำหนักเยว่ฉีและตัวนางถูกยกให้กับผู้อื่น เขาอาจทราบเรื่องด้วยเช่นกันในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว นางยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดอยู่อีกหรือหลังจากข่มความอดสู กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอได้แล้ว เสวียนซือชิงก็มาถึงตำหนักเยว่ฉี และเอ่ยลาคนงานที่เฝ้าตำหนักอย่างมีมารยาทพอได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง จิตใจที่ฝืนเข้มแข็งมาโดยตลอดก็พลันอ่อนแอ นางเร่งเดินไปยังหลังตำหนัก เผื่อว่าความงดงามของแปลงดอกไม้จะทำให้อารมณ์หมองเศร้าดีขึ้นมาบ้าง“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!” เจ้าของเรือนร่างบอบบางรีบวิ่งตามคนงานทั้งสอง ร้องถามว่าเหตุใดจึงถอนทำลายดอกไม้ที่
นอกจากความเย็นชาของตวนอ๋องเฉินฟาหยางจะเป็นที่เลื่องลือในใต้หล้าแล้ว ยังมีเรื่องอีกประการที่ถูกซุบซิบกันอย่างลับ ๆ ในกลุ่มอนุภรรยาที่ได้ปรนนิบัติดูแล รวมถึงเหล่านางคณิกาที่เคยอุ่นเตียงให้แก่ตวนอ๋อง พวกนางล้วนทราบดีว่า ‘เฉินฟาหยาง’ มิใช่ธรรมดาสามัญเช่นบุรุษทั่วไป แข็งแรงและทนทานอย่างมาก ทว่าอีกเรื่องที่น่าสนใจคือการล่อลวงให้สตรีลืมความอายและยินยอมกระทำในสิ่งที่เขาต้องการเหล่านางคณิกาที่ว่าช่ำชองยังเผลอไผล นับประสาอะไรกับเสวียนซือชิง“ปล่อยมือข้านะเจ้านะคะ!” คุณหนูเสวียนยังคงหลับตาดังเดิม แม้ภาพของความใหญ่โตนั้นได้ตราตรึงอยู่ในสมองน้อย ๆ ไปแล้วก็ตามที“เจ้าสัญญาว่าจะดูแลข้ามิใช่หรือ หรือว่าไม่อยากตามใจกันแล้ว”“แต่เราควรกระทำเรื่องนี้ในห้องนอนมิใช่หรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงพยายามดึงมือบางให้หลุดจากการเกาะกุมอยู่นาน แต่นางตัวสูงแค่อกของคุณชายเฉินหยาง มีหรือจะสู้แรงของบุรุษที่ดูอย่างไรก็มิใช่คนเจ้าสำอางได้ผิวของเขาขาวสะอาด ทว่ามีแผลเป็นที่เรียกได้ว่าแทบทั่วทั้งร่าง นางเองก็เป็นถึงลูกสาวรองแม่ทัพ ย่อมมองออกว่าเขาได้ผ่านการสู้รบมามากพอสมควร บาดแผลจึงมีทั่วแผ่นหลัง ท่อนแขน และอกกว้าง ยามสัมผั
น้อยคนนักจะทราบว่าภายใต้หน้ากากเย็นชาของตวนอ๋องเฉินฟาหยางนั้นมีบุรุษมากรักซ่อนอยู่ ความหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งไม่มีวันละลายนั้นได้มาจากมารดา ทว่าความเจ้าคารมวาจาคมคายเพื่อให้ได้ในที่สิ่งที่ต้องการ เขาได้มาจากพระบิดาอย่างมิต้องสงสัยแต่กระนั้นถ้อยคำหวานหูที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมา ล้วนแต่หวังผลประโยชน์ตอบแทน หาได้มีความจริงใจแต่อย่างใดไม่ ยามเอ่ยต่อผู้ให้กำเนิดก็เพราะต้องการความรักและความเอาใจใส่ แม้มิได้ผลอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้จักการเอาอกเอาใจผู้อื่น โดยเฉพาะเหล่าสาวงามที่เขาต้องการร่วมเตียง หากจะมีครั้งใดที่ทำถึงขั้นนี้แล้วมิได้ผลตามที่ปรารถนา ครั้งแรกก็คงเป็นเมื่อคืนที่ผ่านมานี่เองเสวียนซือชิงมิได้ขัดขืน ทั้งยังพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดความสามารถ เล้าโลมบุรุษเพศอย่างไร้เดียงสา ทำให้เขาปั่นป่วนจนแทบควบคุมตนเองมิได้ แม้ร่างกายต้องการมากเพียงใด แต่หากลงมือในขณะที่หัวใจของนางยังมิพร้อม อาจทำให้แผนลวงรักเพื่อหลอกให้นางยอมหย่า เป็นไปได้ยากเสียยิ่งกว่าเดิม“ตื่นแล้วหรือ” นางคงทราบจากสาวใช้ว่าเขาพักผ่อนอยู่ในสวน จึงรีบตามมาพบตั้งแต่เช้า“เจ้าค่ะ คุณชาย” เจ้าของริมฝีปากน่าจูบฝืนย
การนอนร่วมห้องกับคุณเฉินหยางมิใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน เสวียนซือชิงทราบดีอยู่แก่ใจแล้วว่าไม่สามารถทำได้ เพราะความใกล้ชิดที่ได้รับตลอดหลายวันที่ผ่านมา แทบทำให้หัวใจของนางหลอมละลายคล้ายขี้ผึ้งเหลวที่ถูกเคี่ยวด้วยความร้อนแล้วเสวียนซือชิงแจ้งสาวใช้ว่าต้นยามซื่อ[1]ค่อยแวะเวียนมาดูแล เนื่องจากคุณชายและนางต้องการความเป็นส่วนตัว ทั้งยังฝากบอกคุณชายหลี่ด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารมื้อเช้า เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น นางย่อมจัดการได้ ไม่เกินความสามารถแต่อย่างใดมิแน่ใจว่าคุณชายเฉินหยางไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาของนางหรือว่ามีเรื่องอื่นกวนใจ เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าหล่อเหลาดุดันจนสาวใช้ทั้งสองไม่กล้าสู้หน้า แต่เสวียนซือชิงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น จึงพยายามออดอ้อนเอาใจ สุดท้ายใบหน้าเย็นชาก็เปลี่ยนมาอ่อนโยน ทั้งยังเอ่ยคำหวานให้นางได้ชุ่มฉ่ำหัวใจดังเดิมหากพระสวามีของนางให้ความสนใจได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชายเฉินหยางก็คงจะดีไม่น้อย“ซือชิง วันนี้เราออกไปข้างนอกดีหรือไม่ ข้าอยากกินอาหารที่โรงเตี๊ยมเปิดใหม่ ไม่ใช่ว่าฝีมือเจ้าไม่ดีนะ อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ข้าแค่อยากไปเที่ยวเล่นบ้างก็เท่า
ผู้คนในใต้หล้าที่พบหน้าตวนอ๋องเฉินฟาหยางล้วนทราบดีว่า บุรุษผู้นี้มีความมั่นใจอย่างมาก ความสามารถทางทหารโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง มีเพลี่ยงพล้ำสูญเสียไปบ้าง แต่ก็กอบกู้คืนได้ในที่สุดส่วนอีกเรื่องที่น่าภาคภูมิใจคือความหล่อเหลา หาบุรุษใดเทียบเคียงได้ยาก แม้ยามถูกสตรีตอแยชอบทำหน้าคล้ายรำคาญ แต่ลึก ๆ กลับกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจทว่าคำพูดหยอกเย้าของหลี่จินหมิง ศิษย์น้องที่เขาโปรดปรานน้อยลงทุกครั้งที่พบหน้า กลับทำให้ความมั่นใจลดลงถึงแปดส่วน ยิ่งเห็นว่าคนงามที่เขาพยายามเอาชนะใจ ชักชวนคุณชายหลี่ให้ร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน เฉินฟาหยางก็ถึงกับพูดไม่ออก ยังดีที่ทางนั้นปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาจึงหายใจสะดวกขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังอารมณ์ไม่ปกติ ถึงขั้นไม่อยากเจอหน้าผู้ใดอีกเสวียนซือชิงเห็นเขาเป็นเช่นนั้น มีหรือจะทนได้เมื่อวานยามอยู่โรงเตี๊ยมเขากินดื่มเพียงน้อยนิด กระทั่งปลาเปรี้ยวหวานของโปรดก็กินแค่สองคำ หลังกลับถึงบ้านก็เก็บตัวเงียบไม่พูดจา รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าต้องให้นางเข้าไปอ่านหนังสือให้ฟังจนกว่าจะพอใจเสวียนซือชิงใช้เวลาทบทวนดูว่าตนทำเ
ตวนอ๋องเลื่องชื่อทำอย่างที่กล่าวเอาไว้จริง ๆ เขาไม่ล่วงเกินหรือฉวยโอกาสเพราะต้องการให้พระชายาพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากจะไม่ทำให้นางลำบากใจแล้ว หลายวันที่ผ่านมายังช่วยดูแลเจ้าก้อนแป้งตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน ตกค่ำก็แวะเข้าไปบีบนวด ก่อนกลับไปพักผ่อนในห้องของตนตามลำพังนอกจากทาบจูบลงบนแผ่นหลังบางเบาก่อนจาก ตวนอ๋องเฉินฟาหยางก็มิได้ทำอันใดที่มากไปกว่านั้นอีก“วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่”“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ”เฉินฟาหยางดูแลนางอย่างดี มิให้หยิบจับอันใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังหมั่นนวดให้ทุกคืน อาการปวดจึงทุเลาลงอย่างรวดเร็ว“เจ้าจะปักผ้าเลยหรือ” เขาถามเมื่อเห็นสองสาวใช้นำผ้าที่ปักลายค้างอยู่มาวางไว้ในศาลาหลังเล็กในสวน“เจ้าค่ะ กำหนดส่งงานพรุ่งนี้แล้ว”“เช่นนั้นคืนนี้พี่จะเข้าไปนวดให้อีก อาการจะได้ไม่กำเริบ ส่วนหนิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งอุ้มนางเลย”เสวียนซือชิงหุบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งที่กำลังวิ่งเข้ามากอดนาง ถูกแขนแข็งแกร่งของบุรุษคว้าเอาเสียก่อน นางมองเขาหอมแก้มของร่างนุ่มนิ่มอย่างทะนุถนอมรักใคร่ ได้ยินเสียงกระซิบบอกว่าท่านแม่ยังมิหายดี ช่วงนี้จึงยังมิควรรบกวนให้มากจนเกินไปนัก“
หลายปีที่ผ่านมาชื่อเสียงเรื่องความหยิ่งยโสและโมโหร้ายของตวนอ๋องเฉินฟาหยางลบเลือนลงไปบ้าง ทว่าวันนี้โทสะรุนแรงของเขากลับคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากพระชายาคนงามถูกสตรีใจหยาบเอ่ยวาจาล่วงเกินอย่างมิน่าให้อภัยที่สุด“เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกชายาข้าว่าอย่างไร!”“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ท่านอ๋อง…”“ตอบมิตรงคำถาม!” เฉินฟาหยางตะโกนเสียงดังลั่น เมื่อครู่เขาได้ยินครบถ้วนทุกคำจึงเคียดแค้นแทบคลั่ง แล้วเสวียนซือชิงยอดรักของเขาเล่า นางจะปวดใจมากมายเพียงใด“ท่านอย่าเสียงดังรบกวนผู้อื่น รีบซื้อด้ายปักผ้าแล้วรีบกลับเถิดเจ้าค่ะ”เสวียนซือชิงร้องห้าม คนจำนวนมากเริ่มเข้ามามุงดูเพราะเสียงวิวาท ส่วนคนที่เห็นเหตุการณ์แต่แรกก็กระซิบว่าบุรุษรูปงามคือตวนอ๋องเฉินฟาหยาง ส่วนสาวงามที่ยืนข้าง ๆ คือพระชายาเสวียนอย่างมิต้องสงสัยแล้วความจริงถูกเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตของเสวียนซือชิงคงไม่มีวันสงบได้แน่“นางลบหลู่เจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ไยยังคิดปล่อยผ่าน”เมื่อตวนอ๋องกล่าวเช่นนั้น นางจึงขยับไปยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนกระซิบด้วยประโยคที่ทำให้เขารู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม“ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะท่าน… หากท่านปฏิบัติต่อข้าให้สมกับที่เป็นพระ
เกือบเดือนแล้วที่เสวียนซือชิงพาเจ้าก้อนแป้งย้ายเข้ามาพำนักในตำหนักเยว่ฉี ต่อหน้าลูกนางยิ้มหวานให้เขาอยู่เสมอ แต่หากถึงยามนอนกลางวันของเสวียนหนิงอัน นางก็จะกลับไปนั่งเงียบ ๆ อยู่ในสวนดังเดิม“พี่ช่วย…”เฉินฟาหยางยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อนางให้โอกาสให้เขาได้ทำหน้าที่บิดา หน้าที่ของสามีก็คงยังพอมีความหวังอยู่บ้างมิใช่หรือเขาหยิบด้ายออกมาจากตะกร้า สนเข็มอย่างชำนาญ ซึ่งกว่าจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องฝึกฝนอยู่หลายคืน ถูกเข็มตำนิ้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน“ชิงชิง ด้ายปักผ้าสีแดงหมดเสียแล้ว เจ้าต้องการให้พี่ไปซื้อมาให้ใหม่หรือไม่” เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกบ้านนานกว่าสามปีเพราะต้องซ่อนตัวให้พ้นจากตวนอ๋อง บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว จึงสามารถไปเดินดูของในตลาดได้ โดยมิต้องรบกวนสองสาวใช้อีก ทว่านางก็มิเคยออกไป“คราวก่อนจำได้ว่าเสี่ยวผิงเลือกด้ายมาผิดประเภท ครั้งนี้ชิงชิงต้องการออกไปเลือกที่ตลาดเองหรือไม่”เฉินฟาหยางยืนยันมิให้นางย้อมด้ายด้วยตนเองเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป อยากได้สิ่งใดก็ให้สาวใช้ไปซื้อหามาแทน แรก ๆ เสวียนซือชิงก็มิพอใจอยู่บ้าง จนกระทั่งเขาอ้างว่าเจ้าซาลาเปาน้อยซนขึ้นทุกวัน อาจไม่ทันระวังและถูกน้ำต้ม
ตำหนักเยว่ฉีครึกครื้นกว่าที่เคย พ่อบ้านชราออกคำสั่งให้สาวใช้จัดเตรียมห้องนอนสำหรับพระชายาและเจ้าก้อนแป้งที่ร่าเริงเสียยิ่งกว่าผู้ใด ส่วนสาวงามผู้เป็นมารดากลับทำสีหน้าคล้ายคิดไม่ตก ด้วยไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ถูกต้องดีแล้วจริงหรือ‘ชิงชิงยอดรัก เจ้าก็เห็นว่าหลี่จินหมิงมักมากจนทำให้ลูกของเราเห็นภาพที่มิสมควรเห็น เจ้าจะกล่าวหาว่าพี่วางแผนลวงอย่างไรก็ได้ แต่ข้อเสนอที่กล่าวออกไปนั้น ล้วนเป็นผลดีต่อเจ้าซาลาเปาน้อยหนิงเอ๋อร์จริง ๆ มิใช่หรือ’‘ข้าจะคอยดูนางมิให้เข้าไปยุ่มย่ามให้ห้องส่วนตัวของเขาอีก’‘คิดว่าห้ามนางได้หรือ หนิงเอ๋อร์ดื้อดึงไม่ผิดกับพี่ในยามเด็ก มองอย่างไรก็คล้ายกับเห็นเงาของตัวเอง หากเจ้ายิ่งเอ่ยปากห้าม นางก็จะยิ่งต่อต้านและลงมือทำ มิได้โทษว่าเจ้าเลี้ยงลูกไม่ดี แต่เรื่องนิสัยนี้สืบทอดจากสายเลือด ยิ่งพี่มิได้อยู่ด้วยแต่แรก...’เหตุผลของเขามีมากมายและล้วนแต่ฟังขึ้น เดิมทีไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสวียนหนิงอันจึงได้ซนเกินเด็กนัก แต่พอได้ฟังวีรกรรมของผู้เป็นบิดาในวัยเด็กสักหลายคำ เสวียนซือชิงก็พอจะเข้าใจได้บ้าง‘ข้าแสร้งเชื่อฟัง ทว่าความจริงแล้วดื้อรั้นอย่างมาก’นางมองบุตรสาวที่ก
เสียงหัวเราะของเจ้าก้อนแป้งดังลั่นเรือนตั้งแต่ยามเช้า เรียกรอยยิ้มของเสวียนซือชิงและสองสาวใช้ได้เป็นอย่างดี วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว คุณหนูตัวเล็กที่หมายใจว่าจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วจึงอารมณ์ดี มารดาให้กินดื่มอันใดก็มิเอ่ยถ้อยคำต่อรอง ต้องอาบน้ำขัดผิวแสบตัวอย่างไรก็ไม่โอดครวญเลยสักคำเสวียนหนิงอันพร้อมออกไปเล่นนอกเรือนอย่างมาก ทว่ามารดาของนางกลับมิอยากก้าวออกไปเลยแม้แต่น้อยนางยังไม่พร้อมที่จะเจอ...ท่านพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกเขาอย่างไร ควรเรียกท่านพี่อย่างที่เคยเรียกยามเขาหลอกนางว่าเป็นคุณชายเฉินหยาง เรียกท่านอ๋องแทนตำแหน่ง หรือว่าเรียกคุณชายเฉินเพราะเขาคงมิอยากเปิดเผยตัวเอง“เสี่ยวอัน อาเหยาอยู่ที่นี่หรือไม่”เกือบเจ็ดวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกเรือนเพื่อตรวจสอบดูการย้อมสีเส้นด้าย มิใช่ว่าไว้ใจในฝีมือของลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ไว้ใจความคิดและการกระทำของตนเองต่างหาก“อยู่เจ้าค่ะ กำลังเก็บด้ายที่เพิ่งแห้ง อีกไม่นานก็คงเสร็จงานแล้วเจ้าค่ะ”“เขากลับไปเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาแจ้ง ข้าจะได้พาหนิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวน หากคุณชายหลี่กลับมาแล้วนางอยากไปหาเขา พวกเจ้าค่อยพาไป
หากผู้ใดได้ยินประโยคที่ลูกจ้างคนใหม่กล่าวต่อคุณชายสกุลหลี่คงยิ้มอย่างพึงพอใจ ว่าวาจาของเขาไพเราะอ่อนหวานมากมารยาท น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังจนทำให้ลืมเลือนไปว่าใบหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันแผล ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังมืดบอดไม่น่าชมทว่าหลี่จินหมิงทราบดีที่สุดว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเฉินฟาหยางมิได้พูดจาเช่นนี้ตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ตวนอ๋อง ยิ่งรั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญด้วยแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวคำหวานเอาใจผู้ใดอีก เว้นเพียงยามอยากได้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาอุ่นเตียง แต่อย่างไรเสียคำพูดเหล่านั้นก็มิได้จริงใจ กล่าวออกไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทนล้วน ๆวันนี้ตวนอ๋องกล่าววาจาน่าฟังหลายคำ หลี่จินหมิงจึงเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี‘หากคุณชายหลี่เสร็จธุระแล้ว ผู้น้อยขอรบกวนเวลาอันมีค่า สนทนาเรื่องสำคัญสักหน่อยจะได้หรือไม่’อันตรายอย่างมาก...เกริ่นมาเช่นนี้อันตรายจริง ๆคุณชายสกุลหลี่ทำอันใดมิได้นอกจากพยักหน้ารับคำ ตอบไปว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา ทว่าถ่วงเวลาอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนใจ เพราะคิดได้ว่ายิ่งพบหน้ากันช้าเท่าไหร่ โทสะของตวนอ๋องก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น“ท่านอ๋อง
หลังจากสนทนากับอาเหยาจนความทรงจำในอดีตปรากฏชัด ย้ำเตือนให้นางคิดถึงความรักครั้งแรก เสวียนซือชิงก็มิได้ออกนอกเรือนอีก มิใช่ว่านางกลัวที่จะพูดคุยลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะต้องเร่งปักผ้าให้ทันตามคำสั่งของลูกค้าที่พี่ชายบุญธรรมรับงานมาให้อีกที“เสี่ยวผิง ฝากผ้าพวกนี้ให้คุณชายหลี่ อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาสักหน่อย ข้างในบ้านวุ่นวายอีกแล้ว”เสวียนซือชิงมิลืมกล่าวต่อเสี่ยวอันด้วยว่าให้เข้าไปดูแลเรื่องในบ้าน เพราะนางต้องตรวจดูด้ายที่ตากไว้ครู่ใหญ่จึงจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนได้ ทว่าเพียงแวบแรกที่เห็นลูกจ้างที่กำลังยืนกวาดลานบ้าน นางก็พลันนิ่วหน้า ขยี้ตาแรง ๆ ครั้งหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าตนมิได้ตาฝาดไปอาเหยาคล้ายมิใช่บุรุษผู้อาภัพดังเดิม“อาเหยา มิใช่ว่าวันนี้คือวันหยุดของเจ้าหรอกหรือ”สิ่งที่ทำให้เสวียนซือชิงประหลาดใจมิใช่เรื่องลูกจ้างคนใหม่ยืนกวาดบ้านในวันหยุดงานของตน ทว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต่างหากเล่าเสื้อผ้าของอาเหยาสีสันเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด แต่มองไกล ๆ ก็ยังรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังมิได้เดินกะเผลกหรือห่อไหล่อย่างที่เคย มองดูแล้วคล้ายกับ...“เป็นวันหยุดขอรับ แต่ข้
ลมหนาวที่พัดมาทำให้สาวงามต้องกระชับเสื้อคลุมตัวโปรดให้แน่น เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกตัวเรือนบ่อยนัก แต่ในเมื่อลูกจ้างใหม่ยังด้อยประสบการณ์เรื่องการย้อมสีเส้นด้าย การสอนงานให้จนกว่าเขาจะชำนาญจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากอาเหยาดูคล้ายมิใช่คนชอบพูดเช่นเดียวกับนาง บทสนทนาที่มีต่อกันจึงสั้นกระชับ เช่นเปลือกไม้ประเภทไหนมีชื่อว่าอะไร ให้สีอะไรบ้าง ดอกไม้ประเภทใดให้สีติดทนทาน ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นแทบมิได้พูดกันเลยสักคำ ยิ่งคืนวันเลยผ่านนานเกือบเดือน นางก็ยิ่งคลายความสงสัยและเชื่อว่าลูกจ้างคนใหม่ คงไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางอย่างแน่นอน“อาเหยาสรุปวิธีการเตรียมสีด้วยเปลือกไม้ให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”“ก่อนอื่นต้องตัดเปลือกไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก แช่ในน้ำสะอาดราวสี่ชั่วยาม จากนั้นนำมาห่อด้วยผ้าขาว ต้มในน้ำนานครึ่งชั่วยาม แล้วจึงนำเปลือกไม้ออก เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อให้สีเข้มและติดทนดียิ่งขึ้น”“แล้วยามย้อมเส้นด้ายเล่า”“ก่อนอื่นต้องต้มเส้นด้ายให้สะอาด จากนั้นแช่ไว้ในน้ำเกลือราวหนึ่งเค่อ เมื่อสีพร้อมแล้วจึงคลี่เส้นด้ายลงต้มด้วยไฟอ่อนนานครึ่งชั่วยาม ความเข้มของการย้อมในแต่ละครั้งอาจแตกต่าง ขึ้น
เมื่อวานเฉินฟาหยางได้เข้าไปในบ้านหลังเล็กของนางแล้ว ทว่าได้ช่วยงานอยู่แค่ลานด้านนอก ยกเตาสำหรับย้อมสีด้ายและเปลือกไม้เอาไปเก็บในห้องเก็บฟืน โดยมิได้รับอนุญาตให้เฉียดใกล้เรือนหลังเล็ก หลังจากทำงานท่ามกลางสายฝนเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาก็พาร่างเปียกปอนไปยืนรับฟังคำสั่งของสาวงามที่ยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน มิยอมเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้ยลโฉม‘พี่ชายมีชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ’เสียงหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้ เป็นเสวียนซือชิงมิผิดแล้ว หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หากเลือกได้ก็คงตรงเข้าไปกอดจูบให้หายคิดถึง แต่จะทำเช่นนั้นก็ต้องมั่นใจว่านางให้อภัยเขาเสียก่อน‘ข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่าเสิ่นซือเหยา นายหญิงเรียกว่าอาเหยาเถิดขอรับ’เฉินฟาหยางดัดเสียงตอบ จำได้ว่านางเงียบไปพักใหญ่ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเพราะเสวียนซือเหยาคือชื่อบิดานาง มิใจอ่อนยอมว่าจ้างก็คงแปลกแล้ว‘อีกสามวันเจ้าค่อยมาเริ่มงานเถิด ช่วงนี้ฝนตกแรง ยังไม่มีเรื่องอันใดให้ทำมากนัก’นางกล่าวเรื่องค่าจ้างอีกสองสามประโยค ยังคงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า มีเพียงเสียงดังออกมาจากตัวเรือนแผ่วเบา แต่กระนั้นในใจเฉินฟาหยางก็สุขล้นจนแทบกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ รีบรับคำด้วยน้ำเสียงแหบ