การนอนร่วมห้องกับคุณเฉินหยางมิใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน เสวียนซือชิงทราบดีอยู่แก่ใจแล้วว่าไม่สามารถทำได้ เพราะความใกล้ชิดที่ได้รับตลอดหลายวันที่ผ่านมา แทบทำให้หัวใจของนางหลอมละลายคล้ายขี้ผึ้งเหลวที่ถูกเคี่ยวด้วยความร้อนแล้วเสวียนซือชิงแจ้งสาวใช้ว่าต้นยามซื่อ[1]ค่อยแวะเวียนมาดูแล เนื่องจากคุณชายและนางต้องการความเป็นส่วนตัว ทั้งยังฝากบอกคุณชายหลี่ด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารมื้อเช้า เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น นางย่อมจัดการได้ ไม่เกินความสามารถแต่อย่างใดมิแน่ใจว่าคุณชายเฉินหยางไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาของนางหรือว่ามีเรื่องอื่นกวนใจ เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าหล่อเหลาดุดันจนสาวใช้ทั้งสองไม่กล้าสู้หน้า แต่เสวียนซือชิงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น จึงพยายามออดอ้อนเอาใจ สุดท้ายใบหน้าเย็นชาก็เปลี่ยนมาอ่อนโยน ทั้งยังเอ่ยคำหวานให้นางได้ชุ่มฉ่ำหัวใจดังเดิมหากพระสวามีของนางให้ความสนใจได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชายเฉินหยางก็คงจะดีไม่น้อย“ซือชิง วันนี้เราออกไปข้างนอกดีหรือไม่ ข้าอยากกินอาหารที่โรงเตี๊ยมเปิดใหม่ ไม่ใช่ว่าฝีมือเจ้าไม่ดีนะ อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ข้าแค่อยากไปเที่ยวเล่นบ้างก็เท่า
ผู้คนในใต้หล้าที่พบหน้าตวนอ๋องเฉินฟาหยางล้วนทราบดีว่า บุรุษผู้นี้มีความมั่นใจอย่างมาก ความสามารถทางทหารโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง มีเพลี่ยงพล้ำสูญเสียไปบ้าง แต่ก็กอบกู้คืนได้ในที่สุดส่วนอีกเรื่องที่น่าภาคภูมิใจคือความหล่อเหลา หาบุรุษใดเทียบเคียงได้ยาก แม้ยามถูกสตรีตอแยชอบทำหน้าคล้ายรำคาญ แต่ลึก ๆ กลับกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจทว่าคำพูดหยอกเย้าของหลี่จินหมิง ศิษย์น้องที่เขาโปรดปรานน้อยลงทุกครั้งที่พบหน้า กลับทำให้ความมั่นใจลดลงถึงแปดส่วน ยิ่งเห็นว่าคนงามที่เขาพยายามเอาชนะใจ ชักชวนคุณชายหลี่ให้ร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน เฉินฟาหยางก็ถึงกับพูดไม่ออก ยังดีที่ทางนั้นปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาจึงหายใจสะดวกขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังอารมณ์ไม่ปกติ ถึงขั้นไม่อยากเจอหน้าผู้ใดอีกเสวียนซือชิงเห็นเขาเป็นเช่นนั้น มีหรือจะทนได้เมื่อวานยามอยู่โรงเตี๊ยมเขากินดื่มเพียงน้อยนิด กระทั่งปลาเปรี้ยวหวานของโปรดก็กินแค่สองคำ หลังกลับถึงบ้านก็เก็บตัวเงียบไม่พูดจา รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าต้องให้นางเข้าไปอ่านหนังสือให้ฟังจนกว่าจะพอใจเสวียนซือชิงใช้เวลาทบทวนดูว่าตนทำเ
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีอุปนิสัยไม่ต่างจากบุรุษที่มีอำนาจทั่วไปนัก ยามค่ำคืนมักมีสตรีมากกว่าสองนาง โอบกอดมอบความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทั้งยังช่วยผ่อนคลายความปรารถนา โดยมิต้องขยับตัวให้ลำบากแต่อย่างใดทว่าหลายวันที่ผ่านมา เขากลับอึดอัดเกินกว่าจะทนไหว อบอุ่นที่ได้กอดนางชิดใกล้ แต่มังกรใหญ่ยักษ์กลับตื่นตัวยากจะนอนหลับ บางคืนปวดแข็งจนกระทั่งยามเช้าหากได้มีเวลาอยู่ตามลำพังบ้าง เฉินฟาหยางก็คงจะใช้มืออุ่นบรรเทาความกระหายให้พ้น ๆ ไปในแต่ละวัน จนใจว่าเสวียนซือชิงคนงามของเขากลับมิยอมอยู่ห่าง ทั้งยังเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษ โดยให้เหตุผลว่าต้องการตอบแทนที่เขาไม่บังคับใจกันหลังจากอดทนต่อสู้กับความหิวโหยนานหลายวัน เฉินฟาหยางก็แสร้งทำนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว กล่าวว่าอยากออกไปข้างนอกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ร่ำสุราตามประสาบุรุษกับสหายต่างวัย“ข้าจะออกไปเที่ยวสักสามชั่วยามแล้วจะรีบกลับ ซือชิงมิต้องเป็นห่วง”เสวียนซือชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจที่คุณชายเฉินหยางลดทิฐิ ยอมพูดคุยกับคุณชายหลี่อีกครั้ง นางยิ้มหวานยามเขาแจ้งต่อคนขับรถม้าว่าต้องการไปหอหยวนเซียว นึกไปว่าสถานที่แห่งนั้นคือโรงเตี๊ยมที่เปิดใหม่ไม่นานทว่านางเดาผิดไปถนัดเล
แม้จะได้รับการสั่งสอนตั้งแต่ยังเยาว์ว่าให้อยู่ห่างจากบุรุษที่มีอาการมึนเมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบุรุษผู้นั้นมิใช่สามี แต่ยามนี้เสวียนซือชิงกลับลืมคำสอนเหล่านั้นไปเสียสิ้น กลัวเพียงว่าคนที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงกว้างจะรู้สึกไม่สบายตัวคุณชายเฉินหยางรักความสะอาดอย่างมาก อาบน้ำทุกวันในช่วงปลายยามโหย่ว[1] วันนี้ออกไปข้างนอกมา ทั้งยังดื่มสุรา รวมถึงกลิ่นหอมที่ติดมาจากหอหยวนเซียว นางจึงเดาว่าเขาคงไม่สบายตัวนัก“ซือชิงขอดูแลท่านพี่นะเจ้าคะ”เสวียนซือชิงทำความสะอาดใบหน้า เช็ดฝ่ามืออุ่นร้อนให้สะอาด ทำเท่าที่นางจะสามารถทำได้ สุดท้ายจึงถอดรองเท้าของเขาออก ในจังหวะนั้นเองที่คุณชายคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เขาโคลงศีรษะแรง ๆ เพื่อเรียกสติ พยายามตั้งให้ตัวตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้“ดูเอาเถิด ในหอหยวนเซียวมีสตรีรูปโฉมงดงามมากมาย ข้าอยากกอดผู้ใดก็ย่อมได้ เลือกทีละสามนางเช่นจินหมิงก็ยังได้ สุดท้ายกลับนึกถึงเพียงเจ้า อยากกอดเพียงเจ้า หึ!”“ท่านพี่พักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ ซือชิงจะดูแลท่านพี่เอง”“ไม่จำเป็น ข้าทำเองได้”เฉินฟาหยางมิยอมให้สาวงามดูแลเช่นทุกคืนที่ผ่านมา เขาขยับออกจากเตียง แม้ยังเดินไม่มั่นคง ทว่าก็ลงมื
สามปีก่อนเกิดปัญหาทางชายแดนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เหล่าโจรป่าร่วมมือกับทหารเลวแคว้นข้างเคียง บุกปล้นฆ่าชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล แม้แต่เด็กทารกก็ถูกกำจัดอย่างโหดร้าย เพื่อมิให้เสียงร้องไห้รบกวนเหล่ากองโจรที่กำลังพักผ่อนตวนอ๋องเฉินฟาหยางได้รับมอบหมายให้พาองค์ชายทั้งสามออกรบเสริมบารมี โดยเฉพาะองค์ชายใหญ่เหวินจงเหลียนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งรัชทายาท ยิ่งควรต้องสร้างชื่อเสียงให้มาก อย่างน้อยก็ให้ทัดเทียมกับตวนอ๋องเลื่องชื่อ เพื่อมิให้เกิดคำข้อครหาเรื่องความเหมาะสมของตำแหน่งในภายหลัง“คราวนั้นข้า...กับตวนอ๋องวางแผนบุกทะลวงศัตรูจากทิศตะวันออก ตั้งใจตีโอบศัตรูให้จนตรอก โดยให้บิดาเจ้า รองแม่ทัพเสวียนคอยล่อทหารเลวเข้ามา นึกไม่ถึงว่ารองแม่ทัพตัดสินใจเปลี่ยนแผนโดยพลการ บุกโจมตีด้วยตนเอง สุดท้ายจึงเกิดความสูญเสีย องค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ ส่วนองค์ชายรองต้องธนูของศัตรู ร่วงหล่นจากหน้าผาสูงชัน แม้หาร่างไม่เจอ แต่ความสูงเช่นนั้นย่อมไม่มีโอกาสรอดได้แน่”“ท่านพ่อกล่าวว่าทำผิดย่อมต้องรับผิดชอบ ยามนั้นข้าอยากสอบถามสักหลายคำ แต่เวลามีน้อย พูดคุยกันไม่กี่ประโยค ผู้คุมก็แจ้งว่าไม่เหลือเว
หลังจากเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน ซวี่หยาม้าตัวโปรดก็พาตวนอ๋องเฉินฟาหยางมาถึงสำนักชีหลังเขาเหอซานทันเทศกาลซีซี นึกไม่ถึงว่าตนมิใช่คนเดียวที่อยู่ที่นั่น ทว่าองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูและเหล่าทหารก็อยู่ด้วย“เสด็จพ่อไม่พอพระทัยที่เสด็จอาให้ความสนิทสนมกับองค์หญิงไป๋ซู่หลินจนเกินควร อย่างไรก็ยังอยู่ช่วงถือศีลไว้อาลัย มิควรลอบนัดพบกัน”องค์ชายเหวินอวิ๋นฝู เคารพและเกรงพระทัยเสด็จอาตวนอ๋องอย่างมาก ได้รับคำสั่งให้มาตักเตือนเช่นนี้จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก“อวิ๋นฝู! เจ้าคิดว่าข้าอยากทรมานสังขารซวี่หยาเพื่อสตรีนางเดียวเช่นนั้นหรือ ที่รีบมาก็เพราะนางขู่ว่าจะโดดหน้าผาตายก็เท่านั้น” ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเอ่ยเสียงเรียบ ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ทั้งยังลูบหลังม้าเบา ๆ เพื่อตอกย้ำว่าม้าตัวโปรดสำคัญมากกว่าองค์หญิงไป๋ซู่หลินเสียอีก“โธ่ เสด็จอา จะอย่างไรก็ไม่เหมาะสม ทุกคนล้วนทราบดีว่าองค์หญิงถูกส่งมาที่นี่เพื่อสานสัมพันธ์ของสองแคว้น เสด็จอาเองก็มิใช่คนตัวเปล่า แต่งคุณหนูสกุลเสวียนเป็นพระชายาแล้ว ข้าคิดว่าควรอยู่ห่างกันให้มากจึงจะดี”องค์ชายเหวินอวิ๋นฝูกล่าวอย่างนอบน้อม มิได้มีเจตน
ช่วงแรกที่คุณชายเฉินหยางเข้าเมืองหลวงไป เสวียนซือชิงคล้ายสติไม่อยู่กับตัว ปักลายผ้าออกมาได้ไม่งดงามอย่างที่เคย อาการหนักถึงขั้นที่ว่าปักลายดอกอิงฮวา[1]แทนดอกหมู่ตาน[2] จนสองสาวใช้ทักท้วงจึงได้ข่มความฟุ้งซ่าน ทำงานของตนให้ออกมาดีดังเดิม หรือพูดให้ถูกต้องแล้ว งานปักผ้าของนางงดงามเสียยิ่งกว่าเดิมยามเสวียนซือชิงเข้าไปในเมือง มักได้ยินผู้คนกล่าวกระทบว่านางถูกคุณชายจากเมืองหลวงทิ้งเสียแล้ว ไหนจะเรื่องที่นางเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงที่พยายามยกฐานะตนเองนั่นอีก ยังดีที่นางถนัดเรื่องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ย่อมไม่สนใจชาวบ้านที่ร่ำลือ แต่กระนั้นดวงหน้าเศร้าหมองของนางก็มิอาจซ่อนความขมขื่นที่อยู่ในใจ จนคุณชายหลี่ที่คอยรับสินค้าถึงกับเอ่ยอาสาตามตัวคุณชายเฉินหยางเพื่อมิให้สาวงามโศกเศร้าจนเกินไปนักนางรีบปฏิเสธ แจ้งว่าคุณชายเฉินหยางต้องทำธุระสำคัญให้กับตวนอ๋องเฉินฟาหยาง มิควรรบกวนด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นว่าคุณหนูเสวียนดูเศร้าหมองหรือยิ้มน้อยลงจนเกินไป แม้ในใจจะคิดถึงอย่างมาก แต่นางยังตระหนักได้ว่าเรื่องใดควรทำหรือไม่ควรทำ ทั้งยังบอกตนเองซ้ำ ๆ ว่าคุณชายเฉินหยางมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ นางเองก็ควรต้องทำหน้าที่
หากพูดกันตามความจริงแล้ว ตวนอ๋องเฉินฟาหยางหลับนอนกับสตรีเกินกว่าพันราย รุนแรงบ้างทะนุถนอมบ้างคละเคล้ากันไป แต่การมอบความสุขให้อย่างละมุนละไมเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกชิงชิงคนงามหอมหวานเกินห้ามใจ แม้อยากถอนตัวมากแค่ไหน แต่ต่อจากนี้คงทำใจอยู่ห่างมิได้แล้ว“ว่าอย่างไร ทำเช่นนี้รู้สึกดีหรือไม่”“ท่านพี่ถามเช่นนี้ ซือชิงอายนะเจ้าคะ”เสวียนซือชิงดูอายมากจริง ๆ ดวงหน้าซับสีแดงระเรื่อ มองดูแล้วนึกอยากกลั่นแกล้งให้ร้องไห้ แต่เขาเคยเห็นน้ำตาของนางแล้วทนแทบมิไหว การทำให้เสียใจจนร้องไห้จึงไม่สามารถทำได้อีกแต่สุขใจจนร้องไห้นั้นต่างออกไป“เอาใจชิงชิงแล้ว ถึงเวลาพี่เอาใจตนเองบ้าง”เฉินฟาหยางไม่นึกฝันว่าตนจะใจเย็นได้โดยเฉพาะเรื่องบนเตียงและความก้าวหน้าในเรื่องนี้คงต้องให้เสวียนซือชิงรับความดีความชอบไปทั้งสิบส่วนนัยน์ตาดำขลับของตวนอ๋องทอประกายร้อนแรง โหยหาอ้อมกอดของสาวงามที่เขาหมายแตะต้องตั้งแต่แรกพบ นิ้วสากวนเวียนหยอกเย้ากลีบดอกไม้ฉ่ำ พลางพรมจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม สลับกับขบกัดเบา ๆ อย่างเอาแต่ใจสายตาของเสวียนซือชิงช่างยั่วยุไร้เดียงสา ไม่ปกปิดความรู้สึกรักลึกล้ำและความปรารถนาที่จะถูกสัมผัสเลยแม้แ
ตวนอ๋องเลื่องชื่อทำอย่างที่กล่าวเอาไว้จริง ๆ เขาไม่ล่วงเกินหรือฉวยโอกาสเพราะต้องการให้พระชายาพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากจะไม่ทำให้นางลำบากใจแล้ว หลายวันที่ผ่านมายังช่วยดูแลเจ้าก้อนแป้งตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน ตกค่ำก็แวะเข้าไปบีบนวด ก่อนกลับไปพักผ่อนในห้องของตนตามลำพังนอกจากทาบจูบลงบนแผ่นหลังบางเบาก่อนจาก ตวนอ๋องเฉินฟาหยางก็มิได้ทำอันใดที่มากไปกว่านั้นอีก“วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่”“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ”เฉินฟาหยางดูแลนางอย่างดี มิให้หยิบจับอันใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังหมั่นนวดให้ทุกคืน อาการปวดจึงทุเลาลงอย่างรวดเร็ว“เจ้าจะปักผ้าเลยหรือ” เขาถามเมื่อเห็นสองสาวใช้นำผ้าที่ปักลายค้างอยู่มาวางไว้ในศาลาหลังเล็กในสวน“เจ้าค่ะ กำหนดส่งงานพรุ่งนี้แล้ว”“เช่นนั้นคืนนี้พี่จะเข้าไปนวดให้อีก อาการจะได้ไม่กำเริบ ส่วนหนิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งอุ้มนางเลย”เสวียนซือชิงหุบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งที่กำลังวิ่งเข้ามากอดนาง ถูกแขนแข็งแกร่งของบุรุษคว้าเอาเสียก่อน นางมองเขาหอมแก้มของร่างนุ่มนิ่มอย่างทะนุถนอมรักใคร่ ได้ยินเสียงกระซิบบอกว่าท่านแม่ยังมิหายดี ช่วงนี้จึงยังมิควรรบกวนให้มากจนเกินไปนัก“
หลายปีที่ผ่านมาชื่อเสียงเรื่องความหยิ่งยโสและโมโหร้ายของตวนอ๋องเฉินฟาหยางลบเลือนลงไปบ้าง ทว่าวันนี้โทสะรุนแรงของเขากลับคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากพระชายาคนงามถูกสตรีใจหยาบเอ่ยวาจาล่วงเกินอย่างมิน่าให้อภัยที่สุด“เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกชายาข้าว่าอย่างไร!”“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ท่านอ๋อง…”“ตอบมิตรงคำถาม!” เฉินฟาหยางตะโกนเสียงดังลั่น เมื่อครู่เขาได้ยินครบถ้วนทุกคำจึงเคียดแค้นแทบคลั่ง แล้วเสวียนซือชิงยอดรักของเขาเล่า นางจะปวดใจมากมายเพียงใด“ท่านอย่าเสียงดังรบกวนผู้อื่น รีบซื้อด้ายปักผ้าแล้วรีบกลับเถิดเจ้าค่ะ”เสวียนซือชิงร้องห้าม คนจำนวนมากเริ่มเข้ามามุงดูเพราะเสียงวิวาท ส่วนคนที่เห็นเหตุการณ์แต่แรกก็กระซิบว่าบุรุษรูปงามคือตวนอ๋องเฉินฟาหยาง ส่วนสาวงามที่ยืนข้าง ๆ คือพระชายาเสวียนอย่างมิต้องสงสัยแล้วความจริงถูกเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตของเสวียนซือชิงคงไม่มีวันสงบได้แน่“นางลบหลู่เจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ไยยังคิดปล่อยผ่าน”เมื่อตวนอ๋องกล่าวเช่นนั้น นางจึงขยับไปยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนกระซิบด้วยประโยคที่ทำให้เขารู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม“ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะท่าน… หากท่านปฏิบัติต่อข้าให้สมกับที่เป็นพระ
เกือบเดือนแล้วที่เสวียนซือชิงพาเจ้าก้อนแป้งย้ายเข้ามาพำนักในตำหนักเยว่ฉี ต่อหน้าลูกนางยิ้มหวานให้เขาอยู่เสมอ แต่หากถึงยามนอนกลางวันของเสวียนหนิงอัน นางก็จะกลับไปนั่งเงียบ ๆ อยู่ในสวนดังเดิม“พี่ช่วย…”เฉินฟาหยางยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อนางให้โอกาสให้เขาได้ทำหน้าที่บิดา หน้าที่ของสามีก็คงยังพอมีความหวังอยู่บ้างมิใช่หรือเขาหยิบด้ายออกมาจากตะกร้า สนเข็มอย่างชำนาญ ซึ่งกว่าจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องฝึกฝนอยู่หลายคืน ถูกเข็มตำนิ้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน“ชิงชิง ด้ายปักผ้าสีแดงหมดเสียแล้ว เจ้าต้องการให้พี่ไปซื้อมาให้ใหม่หรือไม่” เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกบ้านนานกว่าสามปีเพราะต้องซ่อนตัวให้พ้นจากตวนอ๋อง บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว จึงสามารถไปเดินดูของในตลาดได้ โดยมิต้องรบกวนสองสาวใช้อีก ทว่านางก็มิเคยออกไป“คราวก่อนจำได้ว่าเสี่ยวผิงเลือกด้ายมาผิดประเภท ครั้งนี้ชิงชิงต้องการออกไปเลือกที่ตลาดเองหรือไม่”เฉินฟาหยางยืนยันมิให้นางย้อมด้ายด้วยตนเองเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป อยากได้สิ่งใดก็ให้สาวใช้ไปซื้อหามาแทน แรก ๆ เสวียนซือชิงก็มิพอใจอยู่บ้าง จนกระทั่งเขาอ้างว่าเจ้าซาลาเปาน้อยซนขึ้นทุกวัน อาจไม่ทันระวังและถูกน้ำต้ม
ตำหนักเยว่ฉีครึกครื้นกว่าที่เคย พ่อบ้านชราออกคำสั่งให้สาวใช้จัดเตรียมห้องนอนสำหรับพระชายาและเจ้าก้อนแป้งที่ร่าเริงเสียยิ่งกว่าผู้ใด ส่วนสาวงามผู้เป็นมารดากลับทำสีหน้าคล้ายคิดไม่ตก ด้วยไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ถูกต้องดีแล้วจริงหรือ‘ชิงชิงยอดรัก เจ้าก็เห็นว่าหลี่จินหมิงมักมากจนทำให้ลูกของเราเห็นภาพที่มิสมควรเห็น เจ้าจะกล่าวหาว่าพี่วางแผนลวงอย่างไรก็ได้ แต่ข้อเสนอที่กล่าวออกไปนั้น ล้วนเป็นผลดีต่อเจ้าซาลาเปาน้อยหนิงเอ๋อร์จริง ๆ มิใช่หรือ’‘ข้าจะคอยดูนางมิให้เข้าไปยุ่มย่ามให้ห้องส่วนตัวของเขาอีก’‘คิดว่าห้ามนางได้หรือ หนิงเอ๋อร์ดื้อดึงไม่ผิดกับพี่ในยามเด็ก มองอย่างไรก็คล้ายกับเห็นเงาของตัวเอง หากเจ้ายิ่งเอ่ยปากห้าม นางก็จะยิ่งต่อต้านและลงมือทำ มิได้โทษว่าเจ้าเลี้ยงลูกไม่ดี แต่เรื่องนิสัยนี้สืบทอดจากสายเลือด ยิ่งพี่มิได้อยู่ด้วยแต่แรก...’เหตุผลของเขามีมากมายและล้วนแต่ฟังขึ้น เดิมทีไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสวียนหนิงอันจึงได้ซนเกินเด็กนัก แต่พอได้ฟังวีรกรรมของผู้เป็นบิดาในวัยเด็กสักหลายคำ เสวียนซือชิงก็พอจะเข้าใจได้บ้าง‘ข้าแสร้งเชื่อฟัง ทว่าความจริงแล้วดื้อรั้นอย่างมาก’นางมองบุตรสาวที่ก
เสียงหัวเราะของเจ้าก้อนแป้งดังลั่นเรือนตั้งแต่ยามเช้า เรียกรอยยิ้มของเสวียนซือชิงและสองสาวใช้ได้เป็นอย่างดี วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว คุณหนูตัวเล็กที่หมายใจว่าจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วจึงอารมณ์ดี มารดาให้กินดื่มอันใดก็มิเอ่ยถ้อยคำต่อรอง ต้องอาบน้ำขัดผิวแสบตัวอย่างไรก็ไม่โอดครวญเลยสักคำเสวียนหนิงอันพร้อมออกไปเล่นนอกเรือนอย่างมาก ทว่ามารดาของนางกลับมิอยากก้าวออกไปเลยแม้แต่น้อยนางยังไม่พร้อมที่จะเจอ...ท่านพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเรียกเขาอย่างไร ควรเรียกท่านพี่อย่างที่เคยเรียกยามเขาหลอกนางว่าเป็นคุณชายเฉินหยาง เรียกท่านอ๋องแทนตำแหน่ง หรือว่าเรียกคุณชายเฉินเพราะเขาคงมิอยากเปิดเผยตัวเอง“เสี่ยวอัน อาเหยาอยู่ที่นี่หรือไม่”เกือบเจ็ดวันแล้วที่เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกเรือนเพื่อตรวจสอบดูการย้อมสีเส้นด้าย มิใช่ว่าไว้ใจในฝีมือของลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะนางไม่ไว้ใจความคิดและการกระทำของตนเองต่างหาก“อยู่เจ้าค่ะ กำลังเก็บด้ายที่เพิ่งแห้ง อีกไม่นานก็คงเสร็จงานแล้วเจ้าค่ะ”“เขากลับไปเมื่อไหร่ก็ให้รีบมาแจ้ง ข้าจะได้พาหนิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวน หากคุณชายหลี่กลับมาแล้วนางอยากไปหาเขา พวกเจ้าค่อยพาไป
หากผู้ใดได้ยินประโยคที่ลูกจ้างคนใหม่กล่าวต่อคุณชายสกุลหลี่คงยิ้มอย่างพึงพอใจ ว่าวาจาของเขาไพเราะอ่อนหวานมากมารยาท น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังจนทำให้ลืมเลือนไปว่าใบหน้านั้นซ่อนอยู่ใต้ผ้าพันแผล ทั้งดวงตาข้างหนึ่งยังมืดบอดไม่น่าชมทว่าหลี่จินหมิงทราบดีที่สุดว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเฉินฟาหยางมิได้พูดจาเช่นนี้ตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง ตวนอ๋อง ยิ่งรั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญด้วยแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวคำหวานเอาใจผู้ใดอีก เว้นเพียงยามอยากได้สตรีที่มีรูปโฉมงดงามมาอุ่นเตียง แต่อย่างไรเสียคำพูดเหล่านั้นก็มิได้จริงใจ กล่าวออกไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทนล้วน ๆวันนี้ตวนอ๋องกล่าววาจาน่าฟังหลายคำ หลี่จินหมิงจึงเดาได้ว่ามิใช่เรื่องดี‘หากคุณชายหลี่เสร็จธุระแล้ว ผู้น้อยขอรบกวนเวลาอันมีค่า สนทนาเรื่องสำคัญสักหน่อยจะได้หรือไม่’อันตรายอย่างมาก...เกริ่นมาเช่นนี้อันตรายจริง ๆคุณชายสกุลหลี่ทำอันใดมิได้นอกจากพยักหน้ารับคำ ตอบไปว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา ทว่าถ่วงเวลาอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนใจ เพราะคิดได้ว่ายิ่งพบหน้ากันช้าเท่าไหร่ โทสะของตวนอ๋องก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น“ท่านอ๋อง
หลังจากสนทนากับอาเหยาจนความทรงจำในอดีตปรากฏชัด ย้ำเตือนให้นางคิดถึงความรักครั้งแรก เสวียนซือชิงก็มิได้ออกนอกเรือนอีก มิใช่ว่านางกลัวที่จะพูดคุยลูกจ้างคนใหม่ แต่เป็นเพราะต้องเร่งปักผ้าให้ทันตามคำสั่งของลูกค้าที่พี่ชายบุญธรรมรับงานมาให้อีกที“เสี่ยวผิง ฝากผ้าพวกนี้ให้คุณชายหลี่ อย่าลืมบอกให้เขาแวะมาสักหน่อย ข้างในบ้านวุ่นวายอีกแล้ว”เสวียนซือชิงมิลืมกล่าวต่อเสี่ยวอันด้วยว่าให้เข้าไปดูแลเรื่องในบ้าน เพราะนางต้องตรวจดูด้ายที่ตากไว้ครู่ใหญ่จึงจะกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนได้ ทว่าเพียงแวบแรกที่เห็นลูกจ้างที่กำลังยืนกวาดลานบ้าน นางก็พลันนิ่วหน้า ขยี้ตาแรง ๆ ครั้งหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าตนมิได้ตาฝาดไปอาเหยาคล้ายมิใช่บุรุษผู้อาภัพดังเดิม“อาเหยา มิใช่ว่าวันนี้คือวันหยุดของเจ้าหรอกหรือ”สิ่งที่ทำให้เสวียนซือชิงประหลาดใจมิใช่เรื่องลูกจ้างคนใหม่ยืนกวาดบ้านในวันหยุดงานของตน ทว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ต่างหากเล่าเสื้อผ้าของอาเหยาสีสันเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด แต่มองไกล ๆ ก็ยังรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังมิได้เดินกะเผลกหรือห่อไหล่อย่างที่เคย มองดูแล้วคล้ายกับ...“เป็นวันหยุดขอรับ แต่ข้
ลมหนาวที่พัดมาทำให้สาวงามต้องกระชับเสื้อคลุมตัวโปรดให้แน่น เสวียนซือชิงมิได้ออกนอกตัวเรือนบ่อยนัก แต่ในเมื่อลูกจ้างใหม่ยังด้อยประสบการณ์เรื่องการย้อมสีเส้นด้าย การสอนงานให้จนกว่าเขาจะชำนาญจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากอาเหยาดูคล้ายมิใช่คนชอบพูดเช่นเดียวกับนาง บทสนทนาที่มีต่อกันจึงสั้นกระชับ เช่นเปลือกไม้ประเภทไหนมีชื่อว่าอะไร ให้สีอะไรบ้าง ดอกไม้ประเภทใดให้สีติดทนทาน ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นแทบมิได้พูดกันเลยสักคำ ยิ่งคืนวันเลยผ่านนานเกือบเดือน นางก็ยิ่งคลายความสงสัยและเชื่อว่าลูกจ้างคนใหม่ คงไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางอย่างแน่นอน“อาเหยาสรุปวิธีการเตรียมสีด้วยเปลือกไม้ให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”“ก่อนอื่นต้องตัดเปลือกไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก แช่ในน้ำสะอาดราวสี่ชั่วยาม จากนั้นนำมาห่อด้วยผ้าขาว ต้มในน้ำนานครึ่งชั่วยาม แล้วจึงนำเปลือกไม้ออก เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อให้สีเข้มและติดทนดียิ่งขึ้น”“แล้วยามย้อมเส้นด้ายเล่า”“ก่อนอื่นต้องต้มเส้นด้ายให้สะอาด จากนั้นแช่ไว้ในน้ำเกลือราวหนึ่งเค่อ เมื่อสีพร้อมแล้วจึงคลี่เส้นด้ายลงต้มด้วยไฟอ่อนนานครึ่งชั่วยาม ความเข้มของการย้อมในแต่ละครั้งอาจแตกต่าง ขึ้น
เมื่อวานเฉินฟาหยางได้เข้าไปในบ้านหลังเล็กของนางแล้ว ทว่าได้ช่วยงานอยู่แค่ลานด้านนอก ยกเตาสำหรับย้อมสีด้ายและเปลือกไม้เอาไปเก็บในห้องเก็บฟืน โดยมิได้รับอนุญาตให้เฉียดใกล้เรือนหลังเล็ก หลังจากทำงานท่ามกลางสายฝนเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาก็พาร่างเปียกปอนไปยืนรับฟังคำสั่งของสาวงามที่ยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน มิยอมเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้ยลโฉม‘พี่ชายมีชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ’เสียงหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้ เป็นเสวียนซือชิงมิผิดแล้ว หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หากเลือกได้ก็คงตรงเข้าไปกอดจูบให้หายคิดถึง แต่จะทำเช่นนั้นก็ต้องมั่นใจว่านางให้อภัยเขาเสียก่อน‘ข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่าเสิ่นซือเหยา นายหญิงเรียกว่าอาเหยาเถิดขอรับ’เฉินฟาหยางดัดเสียงตอบ จำได้ว่านางเงียบไปพักใหญ่ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเพราะเสวียนซือเหยาคือชื่อบิดานาง มิใจอ่อนยอมว่าจ้างก็คงแปลกแล้ว‘อีกสามวันเจ้าค่อยมาเริ่มงานเถิด ช่วงนี้ฝนตกแรง ยังไม่มีเรื่องอันใดให้ทำมากนัก’นางกล่าวเรื่องค่าจ้างอีกสองสามประโยค ยังคงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า มีเพียงเสียงดังออกมาจากตัวเรือนแผ่วเบา แต่กระนั้นในใจเฉินฟาหยางก็สุขล้นจนแทบกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ รีบรับคำด้วยน้ำเสียงแหบ