เช้าวันต่อมา…
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างห้อง
“มีอะไร”
“หนูเข้าไปได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ ฉันแก้ผ้าอยู่ มีอะไรก็พูดมา” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบกุญแจรถเตรียมตัวจะไปโรงเรียน
“ขอบคุณนะคะ…ที่ช่วยซ่อมพี่ต่ายให้หนู”
“ฉันไม่ได้ซ่อมให้ซะหน่อย…ป้าพรหรือเปล่า ใครจะไปกล้าจับก้อนเน่า ๆ นั่นกัน”
“หนูถามป้าพรแล้วค่ะ ป้าพรบอกพี่ขอยืมเข็มกับด้ายไปเมื่อคืน ไม่ได้เอามาซ่อมพี่ต่ายให้หนูเหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากประตูเชื่อมห้องของทั้งคู่ เป็นเขานั่นแหละที่นั่งซ่อมตุ๊กตาให้เธอเมื่อคืน แถมยังโดนเข็มทิ่มไปตั้งหลายที ใครจะไปรู้ล่ะว่าเย็บผ้ามันยากเย็นขนาดนี้
รู้อย่างนี้ไม่ทำให้เสียก็ดี หาเรื่องเจ็บตัวชะมัด !
“มันคงกลับมารวมตัวกันเองละมั้ง….ฉันจะไปรอข้างล่าง มาช้า ฉันไม่รอนะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหลีกเลี่ยงคำตอบ เสียภาพพจน์หมดถ้ายายนั่นรู้ว่าเขานั่งเย็บตุ๊กตาให้
“ไปเดี๋ยวนี้แหละค่าพี่ย้ากกก”
รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเผลอยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่ยายเด็กนั่นทำตัวน่ารัก นี่กูเป็นอะไรเนี่ย !วันเวลาผันผ่าน การใช้ชีวิตในวัยเรียนของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินไปจนเข้าสู่ช่วงประกาศผลการเรียนของปีการศึกษาที่ผ่านมา เจ้าขาเริ่มเข้าสู่ชั้น ป.6 ส่วนพยัคฆ์เองก็ขึ้น ม.6
“1.98 นี่กูส่งคนไปเรียนหรือส่งควายไปเรียนกันแน่วะเนี่ย ไอ้พยัคฆ์ !” เหมราชพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ในมือถือใบเกรดของลูกชายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“โธ่ป๋า…พูดเกินไปหรือเปล่า นี่ถือว่าดีกว่าปีที่แล้วนะเนี่ย ได้ตั้งเกือบ 2 แน่ะ ปีที่แล้วเกือบ 1 นะ” คนพูดไม่ได้แสดงสีหน้าสลดแต่อย่างใดที่ถูกด่า เขาทำเพียงเดินไปนั่งข้าง ๆ น้องสาวตัวน้อยที่กำลังกินขนมด้วยท่าทางมีความสุข
“มึงยังมีหน้ามาพูดอีก มึงดูของน้องนี่...” เหมราชพูดพลางหยิบใบเกรดอีกใบขึ้นมาจ่อตรงหน้าลูกชายตัวดีที่ไม่สนใจการเรียนเอาเสียเลย ใบเกรดโชว์ตัวเลข 4.00 เต็มหน้าเขา แต่เขาไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรืออะไรเลย ซ้ำยังรู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวน้อยข้าง ๆ ที่เขาเลี้ยงมาก็เก่งไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน
“ก็ดีนี่…เรียนเก่ง ๆ แล้วหาเลี้ยงพี่ด้วยละกันนะ” พูดจบก็ดึงแก้มป่อง ๆ ของเด็กน้อยข้าง ๆ เล่น เด็กน้อยยิ้มตอบเขาหน้าบานโชว์ฟันขาว เขาชอบแกล้งเธอแบบนี้ประจำ ทั้งคู่คอยดูแลกันตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกก่อนหน้านี้ของเขาที่ต่อต้านเด็กคนนี้ เริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ขาดเด็กคนนี้ไม่ได้แล้ว
“ปีนี้ก็ ม.6 แล้ว ถ้ามึงขืนยังทำตัวแบบนี้จะเข้ามหา’ลัยไหนกับเขาได้”
“ป๋ามีเงินก็ยัดใต้โต๊ะไปดิ...”
“ไอ้...”
“หนูเองค่ะป๋า หนูจะช่วยติวให้พี่ยักเองค่ะ” เด็กน้อยยกมือขึ้นท่าทางดูน่ารักน่าชัง เธอพูดแล้วหันหน้ามามองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังโยนองุ่นเขียวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ เขายิ้มตอบแล้วหยิบองุ่นป้อนให้เธอ
ตั้งแต่เหมราชรับเธอเป็นบุตรบุญธรรม เขาก็ให้เธอเรียกว่าป๋าเหมือนกันกับพยัคฆ์ ซึ่งเธอก็ไม่ขัด ช่วงเวลานี้เจ้าขามีความสุขมาก ทำให้เธอหลงลืมเรื่องที่บิดามารดาตัวเองไปทำงานที่ต่างประเทศ มีครั้งหนึ่งที่เธอเคยถามเหมราชว่าเมื่อไหร่พ่อแม่เธอจะกลับ แต่คำตอบที่ได้ยังคงเป็นแบบเดิมคือไม่มีกำหนด เพราะเหมราชไม่รู้จะโกหกเธอว่าอย่างไร จะบอกความจริงก็กลัวเด็กน้อยเสียใจ หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยถามเขาอีกเลย อาจจะด้วยความเป็นเด็กที่ทำให้ดูไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเท่ากับผู้ใหญ่เวลาเจอเรื่องร้าย ๆ สักเท่าไร ก็นับว่าดีที่เธอสามารถเริ่มต้นใหม่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข
เหมราชถอนหายใจ เด็กหนอเด็กน้อย เขาไม่น่าให้มันเลี้ยงหนูเจ้าขาเลย คนเสเพลอย่างมัน กลัวแต่จะทำหลานสาวคนนี้ของเขาเสียคนไปอีก เขาได้แต่คิดกังวลในใจ
“เอาเถอะ…ถ้าปีนี้มึงทำเกรดไม่ถึง 3.00 กูจะให้มึงออกจากโรงเรียนมาช่วยกูทำงาน ไม่ต้องเรียนมันแล้ว...” เหมราชยื่นคำขาด
“แล้วถ้าผมทำได้ล่ะ ป๋าจะให้อะไร” พยัคฆ์ถามกลับ
“ถ้ามึงทำได้…มึงอยากได้อะไรกูจะให้”
“พูดแล้วน้า…จะมากลับคำมันไม่ดีนะป๋า เด็ก ๆ ดูอยู่น้า”
“เออ ๆ กูรู้ ตกลงจะเอาอะไร”
“ขอคิดดูก่อนละกัน…ของแบบนี้ต้องใช้เวลา”
“เออ…อย่าขออะไรที่ทำกูปวดหัวละกัน”
“คร้าบบบบ”
บ้านของพยัคฆ์ที่แม่ฮ่องสอนทำธุรกิจส่งออกผลไม้ แต่เหมราชเองก็มีธุรกิจในเครือที่ต้องดูแลอีกมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาจึงไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องไปดูแลธุรกิจที่ต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศหลายวัน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพยัคฆ์ตั้งแต่เล็ก ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยได้อยู่กับลูก แต่เขาก็ให้แม่บ้านหรือป้าพรคอยดูแลอยู่ตลอด ส่วนสวนผลไม้หรือธุรกิจในบ้านจะมีลุงชัชซึ่งเป็นน้องชายช่วยดูแลด้วยอีกแรงเหมราชหวังให้พยัคฆ์เรียนจบแล้วมาช่วยเขาดูแลธุรกิจที่บ้านต่อจากเขา เพราะเขาเองก็อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นทุกเสาร์-อาทิตย์เหมราชจะให้พยัคฆ์มาเรียนรู้งานในสวนอยู่เป็นประจำ ส่วนเจ้าขาเองก็จะติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเสมอ ทั้งคู่ตัวติดกันจนคนงานในสวนเห็นจนชินตาไปแล้ว “ตกปลาอีกแล้วเหรอคะ…พี่ยักไปเถอะ หนูไม่ไปหรอก สงสารน้องปลา” เด็กน้อยหน้ามุ่ย พร้อมกับสะบัดหน้าหนี อีกครั้งแล้วที่พี่ยักของเธอชวนไปตกปลา เธอไม่ชอบเลยจริง ๆ การที่เอาตะขอไปเกี่ยวปากปลา ดึงขึ้นมา แล้วก็ปล่อยลงไป ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย ดูน่าสงสารออก แต่พี่ยักกลับบอกว่ามันเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่เธอไม่เห็นด้วยเลย ทุกครั้งที
“ไอ้ฉิบหาย ! ไอ้ลูกเวร ! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาน้องไปเล่นแถวนั้น…” เสียงก่นด่าของเหมราชดังไปทั่วลานบ้าน คนงานในสวนต่างพากันมามุงดูประหนึ่งล้อมวงดูคอนเสิร์ต“ผมขอโทษป๋า...” คราวนี้พยัคฆ์ไม่ได้เถียงผู้เป็นพ่อเหมือนที่เคยทำ เขาเองก็รู้สึกผิดมาก ๆ กับเจ้าขา วินาทีที่ไม่เห็นเธออยู่จุดที่เล่นน้ำ มันสามารถทำให้เขาหัวใจแทบหยุดเต้นได้เลย “เดี๋ยวพอน้องจบ ป.6 กูจะให้ไปเรียนกรุงเทพฯ ห่าง ๆ จากมึงซะบ้าง ไม่งั้นได้ตายก่อนเรียนจบพอดี”“ป๋าว่าไงนะ…ใครจะไปเรียนกรุงเทพฯ ?” เด็กหนุ่มพยายามถามซ้ำ หวังให้ตัวเองได้ยินผิดไป“กูจะให้เจ้าขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับลุงวิทย์ที่นั่น ลูกเขาก็เรียนด้วยจะได้มีเพื่อน…”“ไปไม่ได้นะป๋า !” เด็กหนุ่มพูดแย้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพ่อจะให้น้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดต้องห่างตนไป“ไปได้ กูคุยกับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอน้องเรียนจบ ป.6 ก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียนเลย”“ไปไม่ได้ป๋า ผมไม่ให้ไป เรียนที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องไปกรุงเทพฯ แล้วน้องจะอยู่ยังไง น้องไม่รู้จักใครเลยนะป๋า” เด็กหนุ่มกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามจะหาเหตุผลร้อยแปดที่คิดได้ใน
วันปิดภาคเรียน“วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”“หนูอยากกินไอศกรีมสเวนเซ่นส์ค่ะ”“ได้คร้าบบบ คุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้เธอประหนึ่งเธอเป็นเจ้าหญิง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยที่เดินข้าง ๆ คนนี้ วันพรุ่งนี้เธอจะต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้ว หลายปีเลยจนกว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเดินจูงมือเธอมาถึงร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน สายตาของเด็กสาวในร้านอายุน่าจะประมาณ 15-16 ปี จับจ้องมาที่เขา “แกดูนั่น ใช่พี่พยัคฆ์ ม.6/5 หรือเปล่าวะแก”“ไหน ๆ”“นั่นไง เดินมากับน้องสาวเขาน่ะ”“เออ ใช่พี่พยัคฆ์จริง ๆ ด้วย เสียดาย ฉันจะไม่ได้เจอหน้าหล่อ ๆ ของพี่เขาแล้วอะ ไปขอเฟซบุ๊กพี่เขากันไหมแก เอาไว้ส่องเวลาคิดถึง”“เออ ๆ ดี ๆ”“พี่ยัก…พี่สาวตรงนั้นเขามองพี่กันทำไมเหรอคะ ?” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย พี่ ๆ พวกนั้นมองพี่ยักของเธอแล้วหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่าง “ไม่รู้สิ” เขาไม่สนใจอาการระริกระรี้ของสาว ๆ พวกนั้น ทำเพียงเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วยื่นเมนูให้เธอ“แต่พี่เขาชี้มาทางพี่ด้วยนะคะ แปลกจัง ทำไมพี่ ๆ เขาแก้มแดงแจ๋เลย อากาศก็ไม่ร้อนนะคะ”“ช่า
สาวน้อยผู้มาใหม่เดินชมห้องของตัวเองที่พึ่งจะย้ายเข้ามา ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูหวานแหวว มีตุ๊กตาตัวน้อยใหญ่วางเรียงรายเป็นแถวอยู่บนเตียงนอนลายคิตตี้สำหรับเด็กน้อย ซึ่งล้วนเป็นตุ๊กตาของเธอจากบ้านเก่า เหนือเตียงนอนจะเป็นมุ้งเจ้าหญิงสีชมพูแบบที่เธอชอบ ถัดจากเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือเล็ก ๆ ที่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างได้ ส่วนที่มุมห้องด้านในเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำตัว เธอเดินมาหยุดนั่งบนเตียง หยิบตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่แม่ซื้อให้เมื่อวันเกิดมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด พลางคุยกับเจ้ากระต่าย“ห้องสวยดีนะพี่ต่าย แต่หนูอยากให้พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยจัง” สาวน้อยล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจนึกถึงวันนั้นที่พ่อกับแม่บอกว่าจะมารับเธอที่โรงเรียนตอนเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาและหลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอท่านอีกเลย วันนั้นเธอกลับบ้านกับเหมราชซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ เหมราชบอกกับเด็กน้อยว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศด่วนมาก จึงต้องฝากเธอไว้กับเขา“พ่อกับแม่ไปนานไหม จะกลับมารับหนูหรือเปล่า พี่ต่าย หนูคิดถึงพ่อกับแม่จัง…” เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สะท้าน จมูกแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอเป็นแค่เด็กน้อยวัยเพียง 10 ขวบเท่า
หลายวันต่อมา...นับแต่วันนั้น “เจ้าขา” ก็ตกอยู่ในความดูแลของ “พยัคฆ์” เด็กหนุ่มที่หิ้วคอเสื้อเธอเมื่อหลายวันก่อน และตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนรถกระบะ 4 ประตูที่คนขับก็คือพี่ชายหมาด ๆ ของเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าไปโรงเรียนประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเหมราชไม่ค่อยมีเวลาไปรับ-ส่งพยัคฆ์ เขาจึงสอนลูกหัดขับรถตั้งแต่อายุ 12 “นี่ ! เลิกเอาไอ้ก้อนเน่า ๆ นั่นมากอดสักทีได้ไหม ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไง” พยัคฆ์พูดพลางเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ารั้วโรงเรียน“นี่พี่ต่าย ไม่ใช่ก้อนเน่า ๆ นะคะ คุณแม่ซื้อให้วันเกิดหนู” เธอพูดแล้วทำปากยู่ กอดกระชับตุ๊กตากระต่ายตัวน้อยในอ้อมกอดด้วยความรัก“งั้นเหรอ ซักบ้างก็ดีนะ กลิ่นอย่างกับถังขยะเน่า !” “ฮึ ! พี่พยัคฆ์ใจร้าย !!!”@ห้องเรียน ป.4/8“นี่พวกเรา มาดูนี่เร็ว กระต่ายตัวนี้กำลังจะแยกร่างล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกางแขนกางขาตุ๊กตากระต่ายเล่นอย่างสนุกสนาน เขาถือวิ่งไปรอบ ๆ ห้องเพื่อยั่วเย้าเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งไล่กวดด้วยสีหน้าจริงจัง“เอามานี่นะ นั่นมันของฉัน” เจ้าขากระโดดยื้อแย่ง เพื่อหวังจะเอาตุ๊กตาของตัวเองคื
วันปิดภาคเรียน“วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”“หนูอยากกินไอศกรีมสเวนเซ่นส์ค่ะ”“ได้คร้าบบบ คุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้เธอประหนึ่งเธอเป็นเจ้าหญิง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยที่เดินข้าง ๆ คนนี้ วันพรุ่งนี้เธอจะต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้ว หลายปีเลยจนกว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเดินจูงมือเธอมาถึงร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน สายตาของเด็กสาวในร้านอายุน่าจะประมาณ 15-16 ปี จับจ้องมาที่เขา “แกดูนั่น ใช่พี่พยัคฆ์ ม.6/5 หรือเปล่าวะแก”“ไหน ๆ”“นั่นไง เดินมากับน้องสาวเขาน่ะ”“เออ ใช่พี่พยัคฆ์จริง ๆ ด้วย เสียดาย ฉันจะไม่ได้เจอหน้าหล่อ ๆ ของพี่เขาแล้วอะ ไปขอเฟซบุ๊กพี่เขากันไหมแก เอาไว้ส่องเวลาคิดถึง”“เออ ๆ ดี ๆ”“พี่ยัก…พี่สาวตรงนั้นเขามองพี่กันทำไมเหรอคะ ?” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย พี่ ๆ พวกนั้นมองพี่ยักของเธอแล้วหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่าง “ไม่รู้สิ” เขาไม่สนใจอาการระริกระรี้ของสาว ๆ พวกนั้น ทำเพียงเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วยื่นเมนูให้เธอ“แต่พี่เขาชี้มาทางพี่ด้วยนะคะ แปลกจัง ทำไมพี่ ๆ เขาแก้มแดงแจ๋เลย อากาศก็ไม่ร้อนนะคะ”“ช่า
“ไอ้ฉิบหาย ! ไอ้ลูกเวร ! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาน้องไปเล่นแถวนั้น…” เสียงก่นด่าของเหมราชดังไปทั่วลานบ้าน คนงานในสวนต่างพากันมามุงดูประหนึ่งล้อมวงดูคอนเสิร์ต“ผมขอโทษป๋า...” คราวนี้พยัคฆ์ไม่ได้เถียงผู้เป็นพ่อเหมือนที่เคยทำ เขาเองก็รู้สึกผิดมาก ๆ กับเจ้าขา วินาทีที่ไม่เห็นเธออยู่จุดที่เล่นน้ำ มันสามารถทำให้เขาหัวใจแทบหยุดเต้นได้เลย “เดี๋ยวพอน้องจบ ป.6 กูจะให้ไปเรียนกรุงเทพฯ ห่าง ๆ จากมึงซะบ้าง ไม่งั้นได้ตายก่อนเรียนจบพอดี”“ป๋าว่าไงนะ…ใครจะไปเรียนกรุงเทพฯ ?” เด็กหนุ่มพยายามถามซ้ำ หวังให้ตัวเองได้ยินผิดไป“กูจะให้เจ้าขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับลุงวิทย์ที่นั่น ลูกเขาก็เรียนด้วยจะได้มีเพื่อน…”“ไปไม่ได้นะป๋า !” เด็กหนุ่มพูดแย้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพ่อจะให้น้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดต้องห่างตนไป“ไปได้ กูคุยกับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอน้องเรียนจบ ป.6 ก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียนเลย”“ไปไม่ได้ป๋า ผมไม่ให้ไป เรียนที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องไปกรุงเทพฯ แล้วน้องจะอยู่ยังไง น้องไม่รู้จักใครเลยนะป๋า” เด็กหนุ่มกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามจะหาเหตุผลร้อยแปดที่คิดได้ใน
บ้านของพยัคฆ์ที่แม่ฮ่องสอนทำธุรกิจส่งออกผลไม้ แต่เหมราชเองก็มีธุรกิจในเครือที่ต้องดูแลอีกมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาจึงไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องไปดูแลธุรกิจที่ต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศหลายวัน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพยัคฆ์ตั้งแต่เล็ก ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยได้อยู่กับลูก แต่เขาก็ให้แม่บ้านหรือป้าพรคอยดูแลอยู่ตลอด ส่วนสวนผลไม้หรือธุรกิจในบ้านจะมีลุงชัชซึ่งเป็นน้องชายช่วยดูแลด้วยอีกแรงเหมราชหวังให้พยัคฆ์เรียนจบแล้วมาช่วยเขาดูแลธุรกิจที่บ้านต่อจากเขา เพราะเขาเองก็อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นทุกเสาร์-อาทิตย์เหมราชจะให้พยัคฆ์มาเรียนรู้งานในสวนอยู่เป็นประจำ ส่วนเจ้าขาเองก็จะติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเสมอ ทั้งคู่ตัวติดกันจนคนงานในสวนเห็นจนชินตาไปแล้ว “ตกปลาอีกแล้วเหรอคะ…พี่ยักไปเถอะ หนูไม่ไปหรอก สงสารน้องปลา” เด็กน้อยหน้ามุ่ย พร้อมกับสะบัดหน้าหนี อีกครั้งแล้วที่พี่ยักของเธอชวนไปตกปลา เธอไม่ชอบเลยจริง ๆ การที่เอาตะขอไปเกี่ยวปากปลา ดึงขึ้นมา แล้วก็ปล่อยลงไป ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย ดูน่าสงสารออก แต่พี่ยักกลับบอกว่ามันเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่เธอไม่เห็นด้วยเลย ทุกครั้งที
เช้าวันต่อมา…ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างห้อง“มีอะไร”“หนูเข้าไปได้ไหมคะ”“ไม่ได้ ฉันแก้ผ้าอยู่ มีอะไรก็พูดมา” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบกุญแจรถเตรียมตัวจะไปโรงเรียน“ขอบคุณนะคะ…ที่ช่วยซ่อมพี่ต่ายให้หนู”“ฉันไม่ได้ซ่อมให้ซะหน่อย…ป้าพรหรือเปล่า ใครจะไปกล้าจับก้อนเน่า ๆ นั่นกัน”“หนูถามป้าพรแล้วค่ะ ป้าพรบอกพี่ขอยืมเข็มกับด้ายไปเมื่อคืน ไม่ได้เอามาซ่อมพี่ต่ายให้หนูเหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากประตูเชื่อมห้องของทั้งคู่ เป็นเขานั่นแหละที่นั่งซ่อมตุ๊กตาให้เธอเมื่อคืน แถมยังโดนเข็มทิ่มไปตั้งหลายที ใครจะไปรู้ล่ะว่าเย็บผ้ามันยากเย็นขนาดนี้รู้อย่างนี้ไม่ทำให้เสียก็ดี หาเรื่องเจ็บตัวชะมัด !“มันคงกลับมารวมตัวกันเองละมั้ง….ฉันจะไปรอข้างล่าง มาช้า ฉันไม่รอนะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหลีกเลี่ยงคำตอบ เสียภาพพจน์หมดถ้ายายนั่นรู้ว่าเขานั่งเย็บตุ๊กตาให้ “ไปเดี๋ยวนี้แหละค่าพี่ย้ากกก”รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเผลอยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่ยายเด็กนั่นทำตัวน่ารัก นี่กูเป็นอะไรเนี่ย !วันเวลาผันผ่าน การใช้ชีวิตในวัยเรียนของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินไปจนเข้าสู่ช
หลายวันต่อมา...นับแต่วันนั้น “เจ้าขา” ก็ตกอยู่ในความดูแลของ “พยัคฆ์” เด็กหนุ่มที่หิ้วคอเสื้อเธอเมื่อหลายวันก่อน และตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนรถกระบะ 4 ประตูที่คนขับก็คือพี่ชายหมาด ๆ ของเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าไปโรงเรียนประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเหมราชไม่ค่อยมีเวลาไปรับ-ส่งพยัคฆ์ เขาจึงสอนลูกหัดขับรถตั้งแต่อายุ 12 “นี่ ! เลิกเอาไอ้ก้อนเน่า ๆ นั่นมากอดสักทีได้ไหม ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไง” พยัคฆ์พูดพลางเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ารั้วโรงเรียน“นี่พี่ต่าย ไม่ใช่ก้อนเน่า ๆ นะคะ คุณแม่ซื้อให้วันเกิดหนู” เธอพูดแล้วทำปากยู่ กอดกระชับตุ๊กตากระต่ายตัวน้อยในอ้อมกอดด้วยความรัก“งั้นเหรอ ซักบ้างก็ดีนะ กลิ่นอย่างกับถังขยะเน่า !” “ฮึ ! พี่พยัคฆ์ใจร้าย !!!”@ห้องเรียน ป.4/8“นี่พวกเรา มาดูนี่เร็ว กระต่ายตัวนี้กำลังจะแยกร่างล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกางแขนกางขาตุ๊กตากระต่ายเล่นอย่างสนุกสนาน เขาถือวิ่งไปรอบ ๆ ห้องเพื่อยั่วเย้าเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งไล่กวดด้วยสีหน้าจริงจัง“เอามานี่นะ นั่นมันของฉัน” เจ้าขากระโดดยื้อแย่ง เพื่อหวังจะเอาตุ๊กตาของตัวเองคื
สาวน้อยผู้มาใหม่เดินชมห้องของตัวเองที่พึ่งจะย้ายเข้ามา ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูหวานแหวว มีตุ๊กตาตัวน้อยใหญ่วางเรียงรายเป็นแถวอยู่บนเตียงนอนลายคิตตี้สำหรับเด็กน้อย ซึ่งล้วนเป็นตุ๊กตาของเธอจากบ้านเก่า เหนือเตียงนอนจะเป็นมุ้งเจ้าหญิงสีชมพูแบบที่เธอชอบ ถัดจากเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือเล็ก ๆ ที่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างได้ ส่วนที่มุมห้องด้านในเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำตัว เธอเดินมาหยุดนั่งบนเตียง หยิบตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่แม่ซื้อให้เมื่อวันเกิดมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด พลางคุยกับเจ้ากระต่าย“ห้องสวยดีนะพี่ต่าย แต่หนูอยากให้พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยจัง” สาวน้อยล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจนึกถึงวันนั้นที่พ่อกับแม่บอกว่าจะมารับเธอที่โรงเรียนตอนเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาและหลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอท่านอีกเลย วันนั้นเธอกลับบ้านกับเหมราชซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ เหมราชบอกกับเด็กน้อยว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศด่วนมาก จึงต้องฝากเธอไว้กับเขา“พ่อกับแม่ไปนานไหม จะกลับมารับหนูหรือเปล่า พี่ต่าย หนูคิดถึงพ่อกับแม่จัง…” เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สะท้าน จมูกแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอเป็นแค่เด็กน้อยวัยเพียง 10 ขวบเท่า