“ไอ้ฉิบหาย ! ไอ้ลูกเวร ! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาน้องไปเล่นแถวนั้น…” เสียงก่นด่าของเหมราชดังไปทั่วลานบ้าน คนงานในสวนต่างพากันมามุงดูประหนึ่งล้อมวงดูคอนเสิร์ต
“ผมขอโทษป๋า...” คราวนี้พยัคฆ์ไม่ได้เถียงผู้เป็นพ่อเหมือนที่เคยทำ เขาเองก็รู้สึกผิดมาก ๆ กับเจ้าขา วินาทีที่ไม่เห็นเธออยู่จุดที่เล่นน้ำ มันสามารถทำให้เขาหัวใจแทบหยุดเต้นได้เลย
“เดี๋ยวพอน้องจบ ป.6 กูจะให้ไปเรียนกรุงเทพฯ ห่าง ๆ จากมึงซะบ้าง ไม่งั้นได้ตายก่อนเรียนจบพอดี”
“ป๋าว่าไงนะ…ใครจะไปเรียนกรุงเทพฯ ?” เด็กหนุ่มพยายามถามซ้ำ หวังให้ตัวเองได้ยินผิดไป
“กูจะให้เจ้าขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับลุงวิทย์ที่นั่น ลูกเขาก็เรียนด้วยจะได้มีเพื่อน…”
“ไปไม่ได้นะป๋า !” เด็กหนุ่มพูดแย้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพ่อจะให้น้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดต้องห่างตนไป
“ไปได้ กูคุยกับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอน้องเรียนจบ ป.6 ก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียนเลย”
“ไปไม่ได้ป๋า ผมไม่ให้ไป เรียนที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องไปกรุงเทพฯ แล้วน้องจะอยู่ยังไง น้องไม่รู้จักใครเลยนะป๋า” เด็กหนุ่มกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามจะหาเหตุผลร้อยแปดที่คิดได้ในหัวมายับยั้งความคิดของพ่อ ถึงในใจจะรู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจพ่อได้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่มีวัน…ไม่มีวันที่จะให้เธอไปเด็ดขาด แค่คิดว่าไม่มีเธออยู่ข้างกาย หัวใจมันก็ปวดหนึบขึ้นมา ราวกับจะแตกสลายให้ได้
“อยู่กับลุงวิทย์ เมียเขา ลูกเขาไง เขาดูแลน้องมึงได้ไม่ต้องห่วง มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะ จะจบ ม.6 อยู่แล้ว ยังทำตัวไร้แก่นสาร ใครจะหวังพึ่งมึงได้”
“ป๋า…ผมขอร้อง ให้น้องอยู่ที่นี่เถอะ ผมสาบานจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องนะป๋า” เด็กหนุ่มขอร้องคนเป็นพ่อด้วยใจหวาดหวั่น เขาทรุดตัวลงปล่อยโฮโดยไม่อายใคร
“เฮ้อ ! พยัคฆ์เอ๊ย กูเข้าใจนะว่ามึงเลี้ยงของมึงมาตั้งแต่เด็ก แต่เพื่ออนาคตของน้อง มึงต้องเข้าใจ น้องมันเรียนเก่ง กูก็อยากให้น้องไปเรียนที่ดี ๆ” เหมราชเริ่มลดเสียงลง เขาเข้าใจว่าพยัคฆ์ผูกพันกับเจ้าขามาก แต่เรื่องนี้เขาเองก็คิดไว้มานานแล้ว ยิ่งหลังจากได้คุยกับวิทย์เพื่อนที่ทำธุรกิจด้วยกันก็บอกว่าที่กรุงเทพฯ โรงเรียนมีพร้อมทุกอย่าง ค่อนข้างดีกว่าโรงเรียนต่างจังหวัด เขาเลยอยากให้เธอไปเรียนกรุงเทพฯ เพื่อที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้มีงานดี ๆ ทำ
“แล้วจะไปกี่ปี ?” เด็กหนุ่มเสียงอ่อน เพราะรู้ถึงการแพ้พ่ายแล้ว เขาไม่สามารถเปลี่ยนใจพ่อได้จริง ๆ
“ก็จนจบมหา’ลัยนั่นแหละ”
“10 ปีเลยนะป๋า”
“เออสิวะ”
“...” เด็กหนุ่มเงียบไป ใช้ความคิดที่มีอยู่ทั้งหมดพยายามเค้นหาหนทางอีกครั้ง 10 กว่าปี เขารออยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ ๆ ไม่มีทาง แต่ถ้าไม่อยู่ก็ไปด้วยเลยสิ ใช่ ! ไปเรียนที่นั่นด้วยเลย
ทำไมพึ่งมาคิดได้วะ ไอ้พยัคฆ์ ! เอ็งนี่มันฉลาดจริงเชียว !
“งั้นผมขอไปด้วย…จบ ม.6 แล้ว ผมขอไปต่อมหา’ลัยในกรุงเทพฯ นะป๋า”
เหมราชหันมองหน้าลูกชายตัวเอง ถอนหายใจแล้วพูดในสิ่งที่คนฟังไม่อยากได้ยิน
“มึงไปไม่ได้…ไปแล้วใครจะช่วยกูดูแลงานที่บ้าน”
“โธ่ป๋า…ลุงชัชก็อยู่ ขาดผมไปคนเดียวไม่ทำให้ธุรกิจเจ๊งหรอก”
“มันเป็นลูกกูหรือไงล่ะ...ฉิบหาย ! แทนที่ลูกอย่างมึงจะอยู่ช่วยงาน กลับมาปัดหน้าที่ให้คนอื่นรับผิดชอบ…พอ ๆ ๆ กูไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว กลับห้องไปดูแลน้อง กูพูดคำไหนคำนั้นไม่ต้องมาวอแว”
“ป๋าาาา…ขอร้องเถอะ”
เหมราชพูดเสร็จก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งหน้าเศร้าอยู่อย่างนั้น คำพูดของผู้เป็นพ่อบาดลึกถึงขั้วหัวใจ เขารู้สึกหมดหนทางแล้วจริง ๆ
@ห้องเจ้าขา
“ป้าพรบอกว่าป๋าจะให้หนูไปเรียนที่กรุงเทพฯ…จริงหรือเปล่าคะพี่ยัก” เด็กน้อยพูดเสียงแผ่วเบา เธอนอนห่มผ้า โผล่หน้าออกมามองเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเช็ดตัวให้อยู่ข้าง ๆ แต่เขาไม่ตอบเธอ เพียงแค่พยักหน้าอย่างเนือย ๆ
“แล้ว…พี่ยักไปด้วยหรือเปล่า” เด็กน้อยเกาะแขนเขา สายตาจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มอย่างคาดหวัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การส่ายหน้า พี่ยักไม่ได้ไปด้วยเหรอ…งั้นเธอก็จะไม่ไป
“งั้นหนูก็ไม่ไปค่ะ หนูจะอยู่กับพี่”
“ไม่ได้หรอก ป๋าตัดสินใจแล้ว ยังไงหนูก็ต้องไป” เด็กหนุ่มยื่นมือมาปัดปอยผมที่ระอยู่ข้างแก้มเนียนใสของเธอ เขารู้ว่ามันยากที่จะต้องยอมให้เธอไป แต่ในใจเขาก็อยากให้เธอมีอนาคตที่ดีเหมือนกัน
“พี่ยักอยากให้หนูไปไหมคะ”
เขาพยักหน้าตอบเธอ แววตาสะท้อนความปวดใจออกมาเต็มเปี่ยม
“งั้นหนูจะไปค่ะ…” เธอดันตัวขึ้นนั่ง เอื้อมสองมือน้อย ๆ มากอดเขา ตบหลังเขาเบา ๆ คล้ายกับจะปลอบ
“หนูรักพี่นะคะ”
วันปิดภาคเรียน“วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”“หนูอยากกินไอศกรีมสเวนเซ่นส์ค่ะ”“ได้คร้าบบบ คุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้เธอประหนึ่งเธอเป็นเจ้าหญิง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยที่เดินข้าง ๆ คนนี้ วันพรุ่งนี้เธอจะต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้ว หลายปีเลยจนกว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเดินจูงมือเธอมาถึงร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน สายตาของเด็กสาวในร้านอายุน่าจะประมาณ 15-16 ปี จับจ้องมาที่เขา “แกดูนั่น ใช่พี่พยัคฆ์ ม.6/5 หรือเปล่าวะแก”“ไหน ๆ”“นั่นไง เดินมากับน้องสาวเขาน่ะ”“เออ ใช่พี่พยัคฆ์จริง ๆ ด้วย เสียดาย ฉันจะไม่ได้เจอหน้าหล่อ ๆ ของพี่เขาแล้วอะ ไปขอเฟซบุ๊กพี่เขากันไหมแก เอาไว้ส่องเวลาคิดถึง”“เออ ๆ ดี ๆ”“พี่ยัก…พี่สาวตรงนั้นเขามองพี่กันทำไมเหรอคะ ?” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย พี่ ๆ พวกนั้นมองพี่ยักของเธอแล้วหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่าง “ไม่รู้สิ” เขาไม่สนใจอาการระริกระรี้ของสาว ๆ พวกนั้น ทำเพียงเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วยื่นเมนูให้เธอ“แต่พี่เขาชี้มาทางพี่ด้วยนะคะ แปลกจัง ทำไมพี่ ๆ เขาแก้มแดงแจ๋เลย อากาศก็ไม่ร้อนนะคะ”“ช่า
สาวน้อยผู้มาใหม่เดินชมห้องของตัวเองที่พึ่งจะย้ายเข้ามา ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูหวานแหวว มีตุ๊กตาตัวน้อยใหญ่วางเรียงรายเป็นแถวอยู่บนเตียงนอนลายคิตตี้สำหรับเด็กน้อย ซึ่งล้วนเป็นตุ๊กตาของเธอจากบ้านเก่า เหนือเตียงนอนจะเป็นมุ้งเจ้าหญิงสีชมพูแบบที่เธอชอบ ถัดจากเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือเล็ก ๆ ที่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างได้ ส่วนที่มุมห้องด้านในเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำตัว เธอเดินมาหยุดนั่งบนเตียง หยิบตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่แม่ซื้อให้เมื่อวันเกิดมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด พลางคุยกับเจ้ากระต่าย“ห้องสวยดีนะพี่ต่าย แต่หนูอยากให้พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยจัง” สาวน้อยล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจนึกถึงวันนั้นที่พ่อกับแม่บอกว่าจะมารับเธอที่โรงเรียนตอนเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาและหลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอท่านอีกเลย วันนั้นเธอกลับบ้านกับเหมราชซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ เหมราชบอกกับเด็กน้อยว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศด่วนมาก จึงต้องฝากเธอไว้กับเขา“พ่อกับแม่ไปนานไหม จะกลับมารับหนูหรือเปล่า พี่ต่าย หนูคิดถึงพ่อกับแม่จัง…” เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สะท้าน จมูกแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอเป็นแค่เด็กน้อยวัยเพียง 10 ขวบเท่า
หลายวันต่อมา...นับแต่วันนั้น “เจ้าขา” ก็ตกอยู่ในความดูแลของ “พยัคฆ์” เด็กหนุ่มที่หิ้วคอเสื้อเธอเมื่อหลายวันก่อน และตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนรถกระบะ 4 ประตูที่คนขับก็คือพี่ชายหมาด ๆ ของเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าไปโรงเรียนประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเหมราชไม่ค่อยมีเวลาไปรับ-ส่งพยัคฆ์ เขาจึงสอนลูกหัดขับรถตั้งแต่อายุ 12 “นี่ ! เลิกเอาไอ้ก้อนเน่า ๆ นั่นมากอดสักทีได้ไหม ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไง” พยัคฆ์พูดพลางเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ารั้วโรงเรียน“นี่พี่ต่าย ไม่ใช่ก้อนเน่า ๆ นะคะ คุณแม่ซื้อให้วันเกิดหนู” เธอพูดแล้วทำปากยู่ กอดกระชับตุ๊กตากระต่ายตัวน้อยในอ้อมกอดด้วยความรัก“งั้นเหรอ ซักบ้างก็ดีนะ กลิ่นอย่างกับถังขยะเน่า !” “ฮึ ! พี่พยัคฆ์ใจร้าย !!!”@ห้องเรียน ป.4/8“นี่พวกเรา มาดูนี่เร็ว กระต่ายตัวนี้กำลังจะแยกร่างล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกางแขนกางขาตุ๊กตากระต่ายเล่นอย่างสนุกสนาน เขาถือวิ่งไปรอบ ๆ ห้องเพื่อยั่วเย้าเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งไล่กวดด้วยสีหน้าจริงจัง“เอามานี่นะ นั่นมันของฉัน” เจ้าขากระโดดยื้อแย่ง เพื่อหวังจะเอาตุ๊กตาของตัวเองคื
เช้าวันต่อมา…ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างห้อง“มีอะไร”“หนูเข้าไปได้ไหมคะ”“ไม่ได้ ฉันแก้ผ้าอยู่ มีอะไรก็พูดมา” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบกุญแจรถเตรียมตัวจะไปโรงเรียน“ขอบคุณนะคะ…ที่ช่วยซ่อมพี่ต่ายให้หนู”“ฉันไม่ได้ซ่อมให้ซะหน่อย…ป้าพรหรือเปล่า ใครจะไปกล้าจับก้อนเน่า ๆ นั่นกัน”“หนูถามป้าพรแล้วค่ะ ป้าพรบอกพี่ขอยืมเข็มกับด้ายไปเมื่อคืน ไม่ได้เอามาซ่อมพี่ต่ายให้หนูเหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากประตูเชื่อมห้องของทั้งคู่ เป็นเขานั่นแหละที่นั่งซ่อมตุ๊กตาให้เธอเมื่อคืน แถมยังโดนเข็มทิ่มไปตั้งหลายที ใครจะไปรู้ล่ะว่าเย็บผ้ามันยากเย็นขนาดนี้รู้อย่างนี้ไม่ทำให้เสียก็ดี หาเรื่องเจ็บตัวชะมัด !“มันคงกลับมารวมตัวกันเองละมั้ง….ฉันจะไปรอข้างล่าง มาช้า ฉันไม่รอนะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหลีกเลี่ยงคำตอบ เสียภาพพจน์หมดถ้ายายนั่นรู้ว่าเขานั่งเย็บตุ๊กตาให้ “ไปเดี๋ยวนี้แหละค่าพี่ย้ากกก”รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเผลอยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่ยายเด็กนั่นทำตัวน่ารัก นี่กูเป็นอะไรเนี่ย !วันเวลาผันผ่าน การใช้ชีวิตในวัยเรียนของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินไปจนเข้าสู่ช
บ้านของพยัคฆ์ที่แม่ฮ่องสอนทำธุรกิจส่งออกผลไม้ แต่เหมราชเองก็มีธุรกิจในเครือที่ต้องดูแลอีกมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาจึงไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องไปดูแลธุรกิจที่ต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศหลายวัน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพยัคฆ์ตั้งแต่เล็ก ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยได้อยู่กับลูก แต่เขาก็ให้แม่บ้านหรือป้าพรคอยดูแลอยู่ตลอด ส่วนสวนผลไม้หรือธุรกิจในบ้านจะมีลุงชัชซึ่งเป็นน้องชายช่วยดูแลด้วยอีกแรงเหมราชหวังให้พยัคฆ์เรียนจบแล้วมาช่วยเขาดูแลธุรกิจที่บ้านต่อจากเขา เพราะเขาเองก็อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นทุกเสาร์-อาทิตย์เหมราชจะให้พยัคฆ์มาเรียนรู้งานในสวนอยู่เป็นประจำ ส่วนเจ้าขาเองก็จะติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเสมอ ทั้งคู่ตัวติดกันจนคนงานในสวนเห็นจนชินตาไปแล้ว “ตกปลาอีกแล้วเหรอคะ…พี่ยักไปเถอะ หนูไม่ไปหรอก สงสารน้องปลา” เด็กน้อยหน้ามุ่ย พร้อมกับสะบัดหน้าหนี อีกครั้งแล้วที่พี่ยักของเธอชวนไปตกปลา เธอไม่ชอบเลยจริง ๆ การที่เอาตะขอไปเกี่ยวปากปลา ดึงขึ้นมา แล้วก็ปล่อยลงไป ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย ดูน่าสงสารออก แต่พี่ยักกลับบอกว่ามันเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่เธอไม่เห็นด้วยเลย ทุกครั้งที
วันปิดภาคเรียน“วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”“หนูอยากกินไอศกรีมสเวนเซ่นส์ค่ะ”“ได้คร้าบบบ คุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มโค้งคำนับให้เธอประหนึ่งเธอเป็นเจ้าหญิง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงตัวน้อยที่เดินข้าง ๆ คนนี้ วันพรุ่งนี้เธอจะต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้ว หลายปีเลยจนกว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเดินจูงมือเธอมาถึงร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ จังหวะที่กำลังเดินเข้าไปในร้าน สายตาของเด็กสาวในร้านอายุน่าจะประมาณ 15-16 ปี จับจ้องมาที่เขา “แกดูนั่น ใช่พี่พยัคฆ์ ม.6/5 หรือเปล่าวะแก”“ไหน ๆ”“นั่นไง เดินมากับน้องสาวเขาน่ะ”“เออ ใช่พี่พยัคฆ์จริง ๆ ด้วย เสียดาย ฉันจะไม่ได้เจอหน้าหล่อ ๆ ของพี่เขาแล้วอะ ไปขอเฟซบุ๊กพี่เขากันไหมแก เอาไว้ส่องเวลาคิดถึง”“เออ ๆ ดี ๆ”“พี่ยัก…พี่สาวตรงนั้นเขามองพี่กันทำไมเหรอคะ ?” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย พี่ ๆ พวกนั้นมองพี่ยักของเธอแล้วหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่าง “ไม่รู้สิ” เขาไม่สนใจอาการระริกระรี้ของสาว ๆ พวกนั้น ทำเพียงเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วยื่นเมนูให้เธอ“แต่พี่เขาชี้มาทางพี่ด้วยนะคะ แปลกจัง ทำไมพี่ ๆ เขาแก้มแดงแจ๋เลย อากาศก็ไม่ร้อนนะคะ”“ช่า
“ไอ้ฉิบหาย ! ไอ้ลูกเวร ! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาน้องไปเล่นแถวนั้น…” เสียงก่นด่าของเหมราชดังไปทั่วลานบ้าน คนงานในสวนต่างพากันมามุงดูประหนึ่งล้อมวงดูคอนเสิร์ต“ผมขอโทษป๋า...” คราวนี้พยัคฆ์ไม่ได้เถียงผู้เป็นพ่อเหมือนที่เคยทำ เขาเองก็รู้สึกผิดมาก ๆ กับเจ้าขา วินาทีที่ไม่เห็นเธออยู่จุดที่เล่นน้ำ มันสามารถทำให้เขาหัวใจแทบหยุดเต้นได้เลย “เดี๋ยวพอน้องจบ ป.6 กูจะให้ไปเรียนกรุงเทพฯ ห่าง ๆ จากมึงซะบ้าง ไม่งั้นได้ตายก่อนเรียนจบพอดี”“ป๋าว่าไงนะ…ใครจะไปเรียนกรุงเทพฯ ?” เด็กหนุ่มพยายามถามซ้ำ หวังให้ตัวเองได้ยินผิดไป“กูจะให้เจ้าขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับลุงวิทย์ที่นั่น ลูกเขาก็เรียนด้วยจะได้มีเพื่อน…”“ไปไม่ได้นะป๋า !” เด็กหนุ่มพูดแย้งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพ่อจะให้น้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดต้องห่างตนไป“ไปได้ กูคุยกับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอน้องเรียนจบ ป.6 ก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียนเลย”“ไปไม่ได้ป๋า ผมไม่ให้ไป เรียนที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องไปกรุงเทพฯ แล้วน้องจะอยู่ยังไง น้องไม่รู้จักใครเลยนะป๋า” เด็กหนุ่มกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามจะหาเหตุผลร้อยแปดที่คิดได้ใน
บ้านของพยัคฆ์ที่แม่ฮ่องสอนทำธุรกิจส่งออกผลไม้ แต่เหมราชเองก็มีธุรกิจในเครือที่ต้องดูแลอีกมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาจึงไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องไปดูแลธุรกิจที่ต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศหลายวัน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพยัคฆ์ตั้งแต่เล็ก ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยได้อยู่กับลูก แต่เขาก็ให้แม่บ้านหรือป้าพรคอยดูแลอยู่ตลอด ส่วนสวนผลไม้หรือธุรกิจในบ้านจะมีลุงชัชซึ่งเป็นน้องชายช่วยดูแลด้วยอีกแรงเหมราชหวังให้พยัคฆ์เรียนจบแล้วมาช่วยเขาดูแลธุรกิจที่บ้านต่อจากเขา เพราะเขาเองก็อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดังนั้นทุกเสาร์-อาทิตย์เหมราชจะให้พยัคฆ์มาเรียนรู้งานในสวนอยู่เป็นประจำ ส่วนเจ้าขาเองก็จะติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเสมอ ทั้งคู่ตัวติดกันจนคนงานในสวนเห็นจนชินตาไปแล้ว “ตกปลาอีกแล้วเหรอคะ…พี่ยักไปเถอะ หนูไม่ไปหรอก สงสารน้องปลา” เด็กน้อยหน้ามุ่ย พร้อมกับสะบัดหน้าหนี อีกครั้งแล้วที่พี่ยักของเธอชวนไปตกปลา เธอไม่ชอบเลยจริง ๆ การที่เอาตะขอไปเกี่ยวปากปลา ดึงขึ้นมา แล้วก็ปล่อยลงไป ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย ดูน่าสงสารออก แต่พี่ยักกลับบอกว่ามันเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่เธอไม่เห็นด้วยเลย ทุกครั้งที
เช้าวันต่อมา…ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างห้อง“มีอะไร”“หนูเข้าไปได้ไหมคะ”“ไม่ได้ ฉันแก้ผ้าอยู่ มีอะไรก็พูดมา” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบกุญแจรถเตรียมตัวจะไปโรงเรียน“ขอบคุณนะคะ…ที่ช่วยซ่อมพี่ต่ายให้หนู”“ฉันไม่ได้ซ่อมให้ซะหน่อย…ป้าพรหรือเปล่า ใครจะไปกล้าจับก้อนเน่า ๆ นั่นกัน”“หนูถามป้าพรแล้วค่ะ ป้าพรบอกพี่ขอยืมเข็มกับด้ายไปเมื่อคืน ไม่ได้เอามาซ่อมพี่ต่ายให้หนูเหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากประตูเชื่อมห้องของทั้งคู่ เป็นเขานั่นแหละที่นั่งซ่อมตุ๊กตาให้เธอเมื่อคืน แถมยังโดนเข็มทิ่มไปตั้งหลายที ใครจะไปรู้ล่ะว่าเย็บผ้ามันยากเย็นขนาดนี้รู้อย่างนี้ไม่ทำให้เสียก็ดี หาเรื่องเจ็บตัวชะมัด !“มันคงกลับมารวมตัวกันเองละมั้ง….ฉันจะไปรอข้างล่าง มาช้า ฉันไม่รอนะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหลีกเลี่ยงคำตอบ เสียภาพพจน์หมดถ้ายายนั่นรู้ว่าเขานั่งเย็บตุ๊กตาให้ “ไปเดี๋ยวนี้แหละค่าพี่ย้ากกก”รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเผลอยิ้มแบบนี้ทุกครั้งที่ยายเด็กนั่นทำตัวน่ารัก นี่กูเป็นอะไรเนี่ย !วันเวลาผันผ่าน การใช้ชีวิตในวัยเรียนของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินไปจนเข้าสู่ช
หลายวันต่อมา...นับแต่วันนั้น “เจ้าขา” ก็ตกอยู่ในความดูแลของ “พยัคฆ์” เด็กหนุ่มที่หิ้วคอเสื้อเธอเมื่อหลายวันก่อน และตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนรถกระบะ 4 ประตูที่คนขับก็คือพี่ชายหมาด ๆ ของเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าไปโรงเรียนประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเหมราชไม่ค่อยมีเวลาไปรับ-ส่งพยัคฆ์ เขาจึงสอนลูกหัดขับรถตั้งแต่อายุ 12 “นี่ ! เลิกเอาไอ้ก้อนเน่า ๆ นั่นมากอดสักทีได้ไหม ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไง” พยัคฆ์พูดพลางเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้ารั้วโรงเรียน“นี่พี่ต่าย ไม่ใช่ก้อนเน่า ๆ นะคะ คุณแม่ซื้อให้วันเกิดหนู” เธอพูดแล้วทำปากยู่ กอดกระชับตุ๊กตากระต่ายตัวน้อยในอ้อมกอดด้วยความรัก“งั้นเหรอ ซักบ้างก็ดีนะ กลิ่นอย่างกับถังขยะเน่า !” “ฮึ ! พี่พยัคฆ์ใจร้าย !!!”@ห้องเรียน ป.4/8“นี่พวกเรา มาดูนี่เร็ว กระต่ายตัวนี้กำลังจะแยกร่างล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกางแขนกางขาตุ๊กตากระต่ายเล่นอย่างสนุกสนาน เขาถือวิ่งไปรอบ ๆ ห้องเพื่อยั่วเย้าเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งไล่กวดด้วยสีหน้าจริงจัง“เอามานี่นะ นั่นมันของฉัน” เจ้าขากระโดดยื้อแย่ง เพื่อหวังจะเอาตุ๊กตาของตัวเองคื
สาวน้อยผู้มาใหม่เดินชมห้องของตัวเองที่พึ่งจะย้ายเข้ามา ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูหวานแหวว มีตุ๊กตาตัวน้อยใหญ่วางเรียงรายเป็นแถวอยู่บนเตียงนอนลายคิตตี้สำหรับเด็กน้อย ซึ่งล้วนเป็นตุ๊กตาของเธอจากบ้านเก่า เหนือเตียงนอนจะเป็นมุ้งเจ้าหญิงสีชมพูแบบที่เธอชอบ ถัดจากเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือเล็ก ๆ ที่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างได้ ส่วนที่มุมห้องด้านในเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำตัว เธอเดินมาหยุดนั่งบนเตียง หยิบตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดที่แม่ซื้อให้เมื่อวันเกิดมาอุ้มไว้ในอ้อมกอด พลางคุยกับเจ้ากระต่าย“ห้องสวยดีนะพี่ต่าย แต่หนูอยากให้พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยจัง” สาวน้อยล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจนึกถึงวันนั้นที่พ่อกับแม่บอกว่าจะมารับเธอที่โรงเรียนตอนเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาและหลังจากนั้นเธอก็ไม่เจอท่านอีกเลย วันนั้นเธอกลับบ้านกับเหมราชซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ เหมราชบอกกับเด็กน้อยว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศด่วนมาก จึงต้องฝากเธอไว้กับเขา“พ่อกับแม่ไปนานไหม จะกลับมารับหนูหรือเปล่า พี่ต่าย หนูคิดถึงพ่อกับแม่จัง…” เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สะท้าน จมูกแดงก่ำราวกับลูกตำลึง เธอเป็นแค่เด็กน้อยวัยเพียง 10 ขวบเท่า