สองฝั่งข้างทางบริเวณชานเมืองอันรุ่งเรืองมีเพียงต้นไม้และบ้านเรือนประปราย ไม่มีผู้คนพลุ่งพล่านวุ่นวาย เหมาะแก่การวิ่งเล่นไม่อันตรายต่อเด็กเล็ก
หญิงสาวจึงปล่อยเจ้าตัวนุ่มนิ่มน้อยที่ปากบอกว่าเดินแต่กลับไม่เคยเดิน วิ่งเป็นอย่างเดียว ให้กางแขนร่าเริงไปตามทาง นางเพียงเดินตามหลังอย่างใจเย็น
สายตาพลันเหลือบไปเห็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่มีรั้ว ตัวเรือนไม่น่าสนใจ เพียงแต่สิ่งของที่วางระเกะระกะอยู่ที่ลานโล่งหน้าบ้านกลับปลุกปั่นความคิดของซานซานให้ตื่นตัว
ลานนี้มีโรงไม้ฝั่งซ้าย โรงเหล็กฝั่งขวา มีเตาหลอมเก่าคร่ำ ทั้งสองโรงมีขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสมสำหรับคนเดียวเข้าไปทำงาน รอบด้านมีเหล็กวางอยู่เล็กน้อย คล้ายถูกตีขึ้นรูปเอาไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ไม่เคยถูกจับขึ้นมาทำต่อเป็นนาน
ทุกสิ่งที่เห็นบ่งบอกได้ว่าเจ้าของบ้านเคยเป็นช่างตีเหล็ก ขึ้นรูปมีดดาบ แต่กลับมีเหตุให้เลิกล้มกิจการกลางคัน
ช่างน่าสนใจ...
ซานซานเรียกลู่หลิ่งให้หยุดวิ่งทันที “หลิ่งเอ๋อร์ มาหาแม่”
เด็กน้อยแม้ซุกซนเหลือเกิน แต่ไม่เคยดื้อดึงกับมารดา นางหมุนตัวตีโค้งวิ่งวนกลับมาหา พวงแก้มแดงปลั่ง ยกยิ้มน่ารัก
ซานซานคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับ กล่าวเสียงนุ่ม
“แม่แค่อยากหาเงินเพิ่มสักหน่อย”
ลู่หลิ่งพยักหน้าหนักๆ หนึ่งครา ทำท่าเข้าใจทะลุปรุโปร่ง เบิกตากลมโตบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจ้องมองมารดา พลางกางแขนสองข้างออก รอจนถูกอุ้มขึ้นจึงโอบแขนเล็กรอบคอมารดา ซุกซบอกอุ่นอย่างเชื่อฟัง
“มาเถอะ”
ซานซานอุ้มลูกน้อยแนบอกแล้วเดินเข้าบ้านตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ
เมื่อเดินผ่านลานหน้าบ้านเข้ามาก็เจอประตูบ้านที่ปิดสนิท ลักษณะไม่รับแขก จึงคิดถึงมารยาทขั้นพื้นฐานขึ้นมาได้ นางเคาะประตูส่งเสียงเรียก
“มีคนอยู่หรือไม่?”
รออยู่เป็นนานก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ทว่ากลับได้ยินเสียงไอโคลกหลายครั้งจากด้านใน
ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่สะดวกเอ่ยคำเชื้อเชิญ ซานซานที่คิดว่าได้ทำตามมารยาทอันดับแรกไปแล้วโดยสมบูรณ์ ขั้นต่อมาจึงผลักบานประตูเข้าไปเสียเลย
บ้านหลังนี้มิได้มีห้องซับซ้อนอะไร ผนังมีมีดดาบธรรมดาแต่ฝีมือประณีตแขวนอยู่ เข้ามาก็เจอโถงเล็ก มีโต๊ะเก้าอี้ ปีกซ้ายเป็นครัว ปีกขวาเป็นห้องนอนเล็กๆ สองห้อง มองตรงไปคือระเบียงด้านหลัง ลักษณะบางส่วนคล้ายเรือนไม้ไผ่ริมลำธาร
ซานซานสลัดความคิดถึงเรื่องเก่าก่อน แล้วเดินเลี้ยวไปทางขวามือ เปิดประตูห้องทันที ห้องนี้มีชั้นหนังสือตั้งเรียงราย ข้างๆ ยังมีโต๊ะ หมึกพู่กันและกระดาษที่ฝุ่นจับหนาเตอะ
ดวงตาคู่หวานกวาดมองรอบห้องโดยละเอียดก่อนหยุดที่เตียงนอนกลางห้อง ซึ่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่
เจ้าของบ้านผู้ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำใด ทำได้เพียงนอนชะงักเบิกตาโพลงอย่างตกใจอยู่บนเตียง
ซานซานยืนตระหง่านมองเขานิ่งๆ เห็นสภาพชายบนเตียงแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าป่วยเรื้อรังเพราะไม่มีเงินรักษา
แน่นอนว่าหญิงสาวมิใช่หมอเทวดาที่ตกลงมาจากฟ้า เพียงแต่นางมีวิชาหมื่นพิษที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้
แต่กระนั้นทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ ปลิดชีพได้ก็ยื้อเอาไว้ได้เช่นกัน สมุนไพรต่างๆ หากผสมกันดีๆ แล้วปรุงออกมา แทนที่จะฆ่าคนได้อย่างเดียว ยังช่วยเหลือคนได้ถูกโรคอีกด้วย
เมื่อใคร่ครวญเสร็จ ซานซานก็อุ้มลูกน้อยไปวางลงที่โต๊ะมุมหนึ่งซึ่งตั้งอยู่มุมห้องห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว
“หลิ่งเอ๋อร์นั่งนิ่งๆ ห้ามซุกซน”
แม่นางน้อยพยักหน้าหงึกหงักรับคำแววตาจริงจังแน่วแน่ นั่งเป็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งอยู่บนโต๊ะอย่างเชื่อฟัง
ซานซานเดินเข้ามาใกล้ชายบนเตียงนอน พิจารณาใบหน้าซีดขาวราวกระดาษอย่างจาบจ้วงโดยละเอียด ชั่วครู่ต่อมายังนั่งลงบนขอบเตียง เอื้อมเรียวนิ้วลงจับชีพจรให้เขา ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจึงเอ่ยพึมพำ
“ไร้ปราณ ปราศจากวรยุทธ ผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก บาดเจ็บสาหัสภายใน บอบช้ำสะสม เลือดลมติดขัด”
นางสรุปอาการผู้ป่วยอย่างรวดเร็วรวบรัด โดยไม่สนใจสายตาเจ้าของร่างที่เหลือกถลนแทบออกมานอกเบ้า
ซานซานถามเสียงเรียบ “เจ้าเคยเป็นทหารรึ?”โดยไม่รอคำตอบ นางกวาดสายตามองไปทั่วร่างของชายบนเตียงนอน เปิดแขนเสื้อของเขาขึ้น เห็นแขนท่อนบนไร้มัดกล้าม ออกจะเหี่ยวแห้งไปบ้าง ความตึงแน่นก็ไม่เข้ากับอายุไปสักหน่อย จึงเอ่ยต่อ“บอบบางเยี่ยงบัณฑิตแต่เลือกเป็นทหาร แล้วก็ซมซานกลับบ้านสินะ” ประหนึ่งนักพรตผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ซานซานล้วนคาดเดาได้ถูกต้องทุกสิ่งแท้จริงชายผู้นี้อายุเพียงสิบแปดปี ด้วยความทะนงตนว่าฉลาดเลิศล้ำ จึงเลือกเส้นทางบัณฑิต เดิมทีควรมีชีวิตอันรุ่งโรจน์ แต่สอบไม่ติดขุนนาง จึงเคยฆ่าตัวตาย ทว่าไม่เป็นผล กระทั่งบิดาที่เป็นช่างตีเหล็กอยากให้เป็นทหาร เขาจึงเปลี่ยนไปสมัครทหารตามใจบิดา ออกรบร่วมศึกกับกองทัพอยู่สองปีก็บาดเจ็บสาหัสจนตาบอดหนึ่งข้าง ถูกหามกลับบ้านมาแต่ใครจะคาดคิดว่ายามนั้นเขาที่พาร่างอ่อนแอซมซานกลับมาก็ได้เจอบิดาเสียชีวิตทั้งๆ ที่ยังนั่งตีเหล็กอยู่หน้าเตาไฟ ท่วงท่าคล้ายคนเป็นลม แม้สิ้นใจแล้วแต่ร่างกายของบิดายังคงอบอุ่น มิได้เย็นชืด เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายไม่นานก่อนเขากลับมาเขาจึงตรอมใจนับแต่นั้น เงินที่มีก็นำมาทำศพบิดาจนสิ้น จากนั้นก็นอนป่วยอย่างเดียวดาย หมดเรี่ยวหมดแรงไปหาหมอ
ซานซานพับเก็บเรื่องของสามีเอาไว้ก่อน นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จากนั้นยังพำนักอยู่ที่บ้านของเสี่ยเฟิงประหนึ่งเป็นบ้านของตนเองเมื่อพาลู่หลิ่งไปเที่ยวตลาดซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่และอาหารมากมายก็กลับเข้าบ้านหลังนี้แล้วเข้าครัวเพื่อทำอาหารเสี่ยเฟิงนั่งมองซานซานกับลู่หลิ่งเงียบๆ สีหน้าไม่เคยคลายทุกข์โศกเลยสักวัน ยิ่งได้เห็นสองแม่ลูกอยู่ด้วยกันก็ยิ่งคิดถึงบิดาตัวเขายามเป็นเด็กก็อยู่กับบิดาเช่นนี้ อยู่กันแบบสองคนพ่อลูกตลอดมาหากเขาไม่เอาแต่เสียใจเรื่องผลการสอบขุนนาง บิดาก็คงไม่คิดหาทางแก้ไขโดยส่งเสริมเขาไปเป็นทหาร และยิ่งไม่ต้องแยกจากกันกระทั่งปล่อยบิดาให้ตายไปเช่นนั้น“เจ้าไม่ควรยึดติดกับอดีตที่ผิดพลาด แค่จำไว้เป็นบทเรียน แล้วพากเพียรลุกขึ้นมา”ซานซานเอ่ยกับเสี่ยเฟิงยามป้อนข้าวให้ลู่หลิ่ง ทว่าต่อมาเด็กน้อยก็อาศัยจังหวะยามมารดาเผลอคุยติดพัน ลอบเอื้อมมือเล็กๆ หยิบอาหารกินเอง เขี่ยผักให้เสี่ยเฟิงแล้วกินแต่เนื้อเป็ดย่าง เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจนแก้มป่องเสี่ยเฟิงมองผักในถ้วยข้าวตนเองพลางถอนหายใจ ดวงตาข้างที่ใช้การได้เหลือบขึ้นมองเนื้อเป็ดย่างชิ้นสุดท้ายอย่างอาลัยอาวรณ์ ลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเอ่ย
เสี่ยเฟิงเป็นบัณฑิตที่มีสติปัญญาเป็นเลิศอย่างหาตัวจับได้ยากทั้งยังได้รับความสามารถด้านการตีเหล็กจากบิดาผู้ล่วงลับ ซานซานให้รู้สึกเสมือนค้นพบแร่ทองคำอย่างไรอย่างนั้น เพราะเสี่ยเฟิงมีสมองอันปราดเปรื่องกว่าที่นางคิดเอาไว้มากนัก เขาสามารถหลอมเหล็กแล้วตีจนขึ้นรูปทรงตรงตามภาพของนางทุกประการ ยังไม่ลืมแยกแยะจนแตกฉานและใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งได้อาวุธอันสมบูรณ์แบบหน้าตาประหลาดหลากหลายมากมาย วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้กลางลานบ้าน แยกออกเป็นสองฝั่ง คือเอาไว้ขายกับใช้เองอาวุธแต่ละแบบ ทั้งบางเฉียบ ทั้งคมกริบ ทว่าบางอันกลับกลมเกลี้ยงงดงาม บางอันยังแหลมเล็กคล้ายไร้พิษสง สรุปแล้วทั้งหมดไม่มีชนิดใดใหญ่โตพกพาลำบากเลย ทั้งยังติดกายได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ไม่ต้องเสี่ยงว่าเวลาเดินทางจักถูกคนของทางการเรียกตรวจค้นนอกจากเหล็กยังมีวัตถุดิบที่เป็นเครื่องเงิน เสี่ยเฟิงใช้ความรู้ความสามารถที่มี ดัดแปลงหล่อหลอมพวกมันอย่างลงตัว ซานซานล้วนออกค่าใช้จ่ายซื้อหาให้ก่อน เมื่อขายได้กำไรค่อยจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยเสี่ยเฟิงที่ไม่คิดจะกู้หนี้ยืมสินใคร ยามนี้จึงมีหนี้สินติดตัวมากมาย และเจ้าหนี้ยั
เนื่องจากอาวุธมิได้จัดเป็นสินค้าที่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจ โดยเฉพาะสตรีเพศ กระทั่งบุรุษยังมิใคร่จะไยดี หากมิใช่พวกทหาร มือปราบ นักฆ่าหรือผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าสักชิ้นก็คงจะขายได้ยากยิ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้ว จำพวกบุรุษที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องมาเดินซื้อหาอาวุธในตลาดด้วยซ้ำเพราะพวกทหารและมือปราบย่อมได้รับสวัสดิการจากกรมในสังกัด นักฆ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง คนประเภทนี้ไม่ซื้อหาอาวุธโจ่งแจ้งอยู่แล้ว ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ให้ความสำคัญกับอาวุธประจำกาย พวกเขาชอบทำขึ้นเองเสียส่วนใหญ่เมื่อเป็นเช่นนั้น กลุ่มเป้าหมายย่อมเป็นชาวบ้านธรรมดาซานซานจึงแปลงโฉมให้เสี่ยเฟิงเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามน่าคบค้า และอาวุธล้วนสะดุดตาน่าซื้อหาเมื่อเสี่ยเฟิงจัดร้านเสร็จ ซานซานก็พาลู่หลิ่งไปวางเอาไว้ที่ตั่งด้านหลัง สั่งเสียงนุ่ม “หลิ่งเอ๋อร์ นั่งรอนิ่งๆ ตรงนี้ ห้ามลงมา เมื่อได้เงินแล้ว แม่จะพาเจ้าไปเที่ยว ซื้อเสื้อผ้า ซื้อของเล่น”แม่นางน้อยย่อมเชื่อฟัง เพราะมือข้างหนึ่งมีพุทราเชื่อม มืออีกข้างยังมีน้ำตาลปั้นรูปสัตว์ต่างๆ หลายอัน กินจนแก้มป่อง ยุ่งจนมือเป็นระวิง นางไม่ว่างไปซนที่ใดจริงๆซานซานวันนี้สวมชุดสีแดงโด
ยามนี้เสี่ยเฟิงและซานซานประหนึ่งกำลังเล่นงิ้วฉากใหญ่ พวกเขาวิ่งไล่วิ่งหนีอยู่ในวงล้อมของผู้คนเสี่ยเฟิงไล่ต้อนซานซานอย่างหื่นกระหาย อีกฝ่ายทำท่าหนีตายระส่ำระส่ายเนื้อตัวสั่นเทา น่าสงสารเหลือเกินเมื่อสบจังหวะ หญิงสาวผู้ถูกรุกรานก็ดึงปิ่นออกมาจากมวยผม ปิ่นเงินอันเล็กเมื่อถูกดึงกระชากพลันยาวยื่นสะท้อนแสงวูบวาบ พร้อมจ้วงแทงให้ทะลุเนื้อหนัง ยังมีกำไลที่ข้อแขนเมื่อดึงสลักยังกลายเป็นมีดสั้นเหมาะมือยิ่งสร้อยคอเมื่อถูกกระชากยังกลายร่างเป็นเชือกมีหนาม ทั้งเหนียวทั้งแข็ง สะบัดส่งไปไม่ต่างจากแส้พิฆาตฟาดกระหน่ำสายรัดเอวเมื่อถูกกระตุกจนหลุดออก ยังกลายเป็นดาบอ่อนซ่อนความคมกริบ ทั้งพลิ้วทั้งสะดวกใช้งานกระพรวนตรงข้อเท้าเมื่อซานซานเตะส่งออกไป พลันมีลูกกระพรวนอันเล็กๆ นับสิบหลุดจากกระพรวนอันใหญ่พุ่งทะลักสาดกระจายใส่เบ้าตาในถุงหอมยังมีสมุนไพรเม็ดละเอียด เมื่อเปิดปากถุงผ้าแล้วสะบัดออกให้สัมผัสกับอากาศภายนอกก็พลันเกิดระเบิดไฟเสี่ยเฟิงหลบหลีกทุกอาวุธลับด้วยกระบวนท่าที่ได้ฝึกฝน แต่กระนั้นเพื่อความสมจริงยังต้องยอมให้เกิดบาดแผลมีเลือดไหลรินออกมาบ้าง แล้วค่อยกลับไปรักษาทายาที่บ้านยามนี้รอบด้านของซานซานแล
เวลาผ่านไปช้าๆ ผู้คนยิ่งนานยิ่งหนาตา เบียดเสียดหนาแน่นวุ่นวายในที่สุด ...ขบวนเสด็จที่รอคอยก็ปรากฏ เสียงแซ่ซ้องดังกระหึ่มกึกก้อง ชาวเมืองหมิงเวยพากันคุกเข่าลง ร้องสรรเสริญองค์รัชทาทยาทต้าถัง ผู้เปรียบประดุจเทพบนฟากฟ้าแต่เลือกย่ำพสุธาบนแดนมนุษย์ เพื่อบรรเทาทุกข์ทั่วสารทิศหากกล่าวตามจริง การที่ชาวประชาราษฎร์ต่างชื่นชมเพียงจ้าวเหว่ย ทั้งยังกล่าวถึงความเปี่ยมบารมีแผ่ไพศาลของเขายิ่งกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเช่นนี้ นับว่าไม่เหมาะสมอยู่มาก บุตรไม่อาจเหนือกว่าบิดาจ้าวเหว่ยย่อมรู้ดีว่าการใดควรไม่ควร คำสั่งเคลื่อนทัพแม้เป็นเขาเสนอตัว ทว่าความจริงย่อมเป็นเพราะอำนาจแห่งพระราชดํารัสของพระบิดา เขาจึงให้หัวหน้าขบวนกล่าวคำนำแซ่ซ้องต่อพระองค์ไปจนสุดทาง ความหมายว่าอำนาจบารมีของจักรพรรดิอยู่สูงที่สุด แผ่ไพศาลยิ่งกว่าใคร ชาวบ้านจึงพร้อมใจเปลี่ยนมากล่าวคำสรรเสริญดังกึกก้องว่า ‘ต้าถังจงเจริญ ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี ขอบุญบารมีแห่งพระองค์ส่งให้จอมทัพชนะศึกครานี้’การกระทำของจ้าวเหว่ยล้วนอยู่ในพระเนตรของฮ่องเต้ทั้งสิ้น และพระองค์ก็ทรงเห็นชอบอย่างยิ่ง ทั้งยังมีพระประสงค์สละบั
จากที่ได้ฟังเรื่องราวที่กล่าวถึงวีรกรรมความกล้าหาญและการเสียสละความสุขส่วนตัว แล้วเลือกเดินทางออกมาดูแลชาวประชาด้วยตนเองเสมอมา ทำให้ซานซานปลื้มรัชทายาทหนุ่มผู้นี้เหลือเกิน ในใจนางคิดว่า บุรุษผู้นี้ช่างเหมาะสมยิ่งนักที่จักเป็นโอรสสวรรค์ เป็นองค์จักรพรรดิผู้ปกปักษ์พิทักษ์แคว้น ไม่อาจมีใครอื่นแทนที่เขาได้ ราชันแห่งต้าถังต้องเป็นคนผู้นี้เท่านั้นส่วนลู่หลิ่งมองตามมารดาด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสา ทว่าสุกสกาวพราวระยับยากสงบ ผ่านไปซักพักสองมือเล็กก็ยกขึ้น แขนกางออก สาวน้อยร้องไห้กระซิกเบาๆ ร้องว่าจะเอาๆ ไม่หยุด ทว่ารอบด้านยามนี้ เสียงของชาวบ้านดังเกินไปจึงไม่มีใครได้ยิน แม้แต่ซานซานรัชทายาทหนุ่มรูปงามสูงศักดิ์ เป็นที่หมายปองของอิสตรี ทั้งสูงส่งและห่างไกลปานนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้คิดฝันที่จะได้เฉียดใกล้ขบวนเสด็จอันเกรียงไกรค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านหน้าไป ซานซานอุ้มลูกน้อยเอาไว้แนบอกอุ่น พวกนางแม่ลูกคุกเข่าปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจนแทบจะถูกกลืนหายจ้าวเหว่ยบนหลังม้ารู้สึกชาวาบในอกอย่างประหลาดเบื้องล่างของชายหนุ่มบนหลังม้าเต็มไปด้วยฝูงชนที่คุกเข่าคลาคล่ำเบียดเสียดแน่นขนัด มองไม่ออกว่าใครเป็นใครภายใต้ใบห
ซานซานจึงหลุดหัวเราะออกมาสตรีที่ชวนนางคุยยังคงเอ่ยต่อ “องค์รัชทายาทยังไม่แต่งพระชายา ไม่แปลกที่ผู้คนจะพากันหลงใหลถึงขั้นใฝ่ฝันหาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ บุตรสาวของข้าก็ชอบเช่นกัน เพียงแต่วันนี้นางหลับกลางวันอยู่กับแม่นม จึงมิได้พามาชมด้วยกัน”ซานซานเลิกคิ้วเล็กน้อย สนทนาด้วยดี “เกรงว่าบุตรสาวของท่านคงอายุใกล้เคียงบุตรสาวของข้ากระมัง”“ไม่ผิดๆ เห็นเป็นเด็กเล็กก็อย่าได้ดูเบาเชียว อายุแค่นี้ก็รู้จักชมชอบบุรุษแล้ว”ทั้งสองพากันหัวเราะชอบใจ คุยกันถูกคอไม่น้อยภายหลังซานซานจึงได้รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นเจ้าของเหลาอาหารหาวชืออยู่อีกตรอกถนน นางจึงพาลู่หลิ่งมาอุดหนุนกินอาหารเสียเลย“ข้ามีนามว่าจางเหริน เรียกอาเหรินได้เลย” จางเหรินเอ่ยกับซานซานอย่างเป็นกันเองพลางดูแลอาหารจนเต็มโต๊ะหญิงสาวยิ้มรับไมตรีไม่มีปฏิเสธ “เรียกข้าว่าซานซาน ส่วนลูกข้า ลู่หลิ่ง นี่น้องชายข้า เสี่ยเฟิง” นางแนะนำจนไปถึงสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย หัวคิ้วจึงเลิกขึ้น นึกแปลกใจนักเสี่ยเฟิงรีบแนะนำต่อทันที “นางมีนามว่าเว่ยลี่ขอรับ เรียกลี่เอ๋อร์ก็ได้” จบคำก็ยกยิ้มเก้อเขิน แม่นางเว่ยลี่ก็ก้มหน้าเอียงอายซานซานจึงเข้าใจได้
ถึงแม้ว่าผิวเนื้อกระดาษจะต่างกัน เพราะแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษตำหนักใน แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษส่งสาร หากแต่ลายมือเหมือนกันยิ่ง “ไม่ผิด! ลายมือเดียวกัน”หลี่กุ้ยเฟยกับยี่ซินเอ่ยปากพร้อมเพรียง ยามนี้ไม่มีใครสนใจคำรายงานบนกระดาษเรื่องรัชทายาทเลยซานซานเอ่ยพึมพำ แววตาคมกริบ สาดประกายข่มขวัญ “ที่แท้ เหย่หนิวของข้า ก็คือองครักษ์ของรัชทายาทรึ?” “เขาคงปลอมตัวไปทำภารกิจลับกระมัง” ยี่ซินช่วยพินิจ“เป็นไปได้...” หลี่กุ้ยเฟยยังร่วมวิเคราะห์ซานซานได้ข้อสรุปทันที“เป็นถึงคนสนิทของรัชทายาท สกุลย่อมใหญ่โตไม่ธรรมดา เบี้ยหวัดยิ่งได้มากโข จะเลี้ยงดูภรรยาสักคนมิได้เชียวรึ? จำต้องทิ้งลูกเลยหรือไร? ข้าขอไปดูหน้าสักหน่อยเถิด”จบคำก็ลุกขึ้นทันใด ยังไม่ลืมทำความเคารพหลี่กุ้ยเฟย แล้วเดินออกจากห้องไปเลยเพราะที่ผิงเหยียน สามีใช้วิชาแปลงโฉม ซานซานจึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ครานี้นับเป็นโอกาสอันดีได้เห็นหน้าชายชั่วเต็มสองตา!ท่าทางตรงไปตรงมาและไร้จริตมารยาของซานซาน แม้จะแตกต่างจากมารยาทอันพึงปฏิบัติของข้าหลวงในวังไปบ้าง ทว่าหลี่กุ้ยเฟยไม่เคยถือสา ทั้งยังชมชอบที่นางเป็นเช่นนี้หากเปรียบเทียบระหว่างสนมของฮ่อง
ภายในห้องพักผ่อนของหลี่กุ้ยเฟย ซานซานตั้งใจจัดดอกไม้ใส่แจกันหยกอย่างสวยงามที่สุดเพื่อมอบให้หลี่กุ้ยเฟย หวังประจบเอาใจ หมายมาดขึ้นแสดงเพลงพิณในงานเลี้ยงวันนี้“เจ้าดีดพิณเป็นด้วยหรือ?”หลี่กุ้ยเฟยถามเสียงเบามาก เพราะนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงเตี้ยริมหน้าต่าง โดยมีเด็กน้อยลู่หลิ่งเล่นจนเหนื่อยฟุบหลับเป็นก้อนกลมอยู่ข้างๆ ใบหน้านุ่มนิ่มแดงเรื่อมีดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม ปากจิ้มลิ้มสีชมพูคล้ายเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อยู่ในฝันอย่างมีความสุข พระนางจึงไม่ประสงค์พูดคุยเสียงดังซานซานตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน “หม่อมฉันพอมีฝีมืออยู่บ้างเพคะ” นางนั่งปักดอกไม้ใส่แจกันอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของหลี่กุ้ยเฟยยี่ซินที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลี่กุ้ยเฟยอยู่อีกฝั่งถามอย่างตรงไปตรงมา “สตรีที่ขึ้นแสดงล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน ตัวเจ้ามีลูกแล้ว ผ่านการมีสามีแล้ว จักขึ้นแสดงทำไม?”ซานซานตอบกลับเสียงนุ่ม ซ่อนแววเจ้าเล่ห์มิดชิด“ใบหน้าของข้าอาจไม่งามเท่าใครเขา ไม่สูงส่ง ไม่ยั่วยวน แต่ขอแค่ได้ขึ้นแสดงเถิด เงินรางวัลย่อมไม่พลาด ข้าจะนำมาแบ่งปันให้พี่ซินด้วย”ยี่ซินขมวดคิ้วมุ่น “มั่นใจปานนั้น”“แน่นอน”หลี่กุ้ยเฟยอดมิได้ต้องคลี่ยิ้ม
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ