ม่านราตรีผ่านพ้น
ร่างของชิงหลินลอยมากับกระแสน้ำที่พัดพา รู้สึกได้ว่าลอยมาไกลแสนไกล สุดท้ายถูกค้นพบโดยชาวบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังดำน้ำจับปลาอยู่ในลำธารเพื่อทำอาหารประทังชีวิต
ทันทีที่รู้สึกตัว ชิงหลินกำลังนอนนิ่งอยู่ริมลำธาร เมื่อปรับสายตาพร่ามัวจนเข้าที่ก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ ท่าทีเกียจคร้าน ท่าทางน่ากลัว จึงผวาตกใจ แข็งทื่อไปทั้งร่าง
เขามีรูปร่างใหญ่โตประหนึ่งวัวตัวผู้ แลดูน่ากลัว ใบหน้าดำคล้ำมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดวาดผ่านเต็มไปหมด หนวดเคราเขียวครึ้มน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างมาก สายตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง คล้ายอำมหิตคิดฆ่าคนเช่นผักปลา
ถึงแม้ชิงหลินจะพอจำได้เลือนรางยามสติล่องลอย ว่าเขาคือผู้ช่วยนางจากม่านน้ำ ทว่าด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดของเขาต่อให้อยากขอบคุณแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ
ซ้ำยังคิดได้แต่แง่ร้าย...
เขาไม่น่าเข้าใกล้สักนิด ไม่น่าเสวนาด้วยเลย
ชิงหลินนอนนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก หวาดกลัวเป็นที่สุด ร่างบอบบางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากแต่กลับสั่นเทามากนักเพราะตื่นกลัวอย่างยิ่ง
เนิ่นนานผ่านพ้น กระทั่งอีกคนคล้ายกับรู้ตัวว่าถูกรังเกียจจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน
ชิงหลินเห็นเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พยายามลุกขึ้นนั่ง ชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างหวาดผวา
ไม่ช้า...ก็เริ่มออกแรงขยับตัวได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากมาเงียบเชียบ ไม่คิดเข้าไปขอบคุณผู้มีพระคุณแต่อย่างใด
เขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป...
หลังจากพลัดตกน้ำแล้วสลบไปหนึ่งคืนเต็ม ชิงหลินจึงพาร่างกายบอบบาง จิตใจบอบช้ำกลับเข้าบ้าน
นางรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ ทว่าเมื่อกลับมาถึงก็ได้เจอจางฉวนยืนอยู่กลางลานหน้าเรือนหลัก อาการเจ็บป่วยก็คล้ายกับจะหายเป็นปลิดทิ้ง
เขาสวมชุดสีครามแลดูสง่างามไม่แปรเปลี่ยน เขาคงมาขอพบนางแล้วยืนรออยู่ตรงนี้เหมือนเช่นเคย
หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เจอคู่หมั้นของตน ทั้งภาพบัดสีและเส้นเสียงรัญจวนเมื่อวานพลันอันตรธานหายไป
ในขณะกำลังเดินเข้าหาชายคนรัก กลับเห็นเขาแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดชายผ้าหมุนตัวเดินเข้าโถงเรือนไป ไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายสักคำ
ชิงหลินเบิกตาตกใจ รีบตามจางฉวนเข้าเรือนทันที
เมื่อพ้นขอบประตูก็ได้เห็นบิดามารดานั่งอยู่พร้อมหน้า อีกฝั่งยังมีอนุของบิดาและชิงลี่นั่งอยู่ด้วย
น้องชายคนสำคัญ คงออกไปวิ่งเล่นจึงมิได้อยู่ที่นี่
ส่วนจางฉวนนั่งทางฝั่งหนึ่งห่างออกไป สายตาของเขาคล้ายเหยียดหยัน
อีกฝั่งตรงข้ามมีชาวบ้านแปลกหน้าสองคน นั่งอยู่ด้วยท่าทางหลุกหลิก สีหน้าแปลกประหลาด
หญิงสาวมองอย่างไม่เข้าใจ
พวกเขาเป็นใครชิงหลินไม่รู้จัก หากแต่ไม่นานกลับประจักษ์แจ้งว่าพวกเขามาทำไม
“ข้าก็พูดไปตามที่เห็นทั้งหมดแล้ว เหตุใดต้องพาข้ามายืนยันถึงที่นี่ด้วยเล่า”
หนึ่งในชาวบ้านทั้งสองบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วน ท่าทางหงุดหงิดง่าย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นสายตากดดันของคนบ้านหาน ทำให้ผู้พูดต้องก้มหน้าลงต่ำ หุบปากทันที
หลังจากยืนโง่งมอยู่ครู่ใหญ่ ชิงหลินจึงเริ่มสังเกตเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาทางนาง เผยความเย็นเยียบผิดปกติ ยามนั้นพลันได้ยินเสียงชิงลี่เอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้ทำตัวเยี่ยงนี้ พี่มีคู่หมั้นแล้วนะ หายตัวไปกับชายอื่นทั้งคืนได้อย่างไร”
จบคำก็ทำสีหน้าหม่นคล้ำ สายตาเผยความผิดหวังสาหัส
ชิงหลินยิ่งไม่เข้าใจ น้องสาวพูดอะไร?
ระหว่างนั้นชายหญิงแปลกหน้าคู่นี้ก็กล่าวถ้อยวาจาออกมาว่าเป็นพยานเห็นชิงหลินอยู่กับชายผู้หนึ่งที่ริมลำธาร และเหตุที่นางหายตัวไปหนึ่งคืนเต็มๆ ล้วนเป็นเพราะนัดพบกับชายผู้นั้น
ชิงหลินได้ฟังพลันตัวชาวาบ สมองขาวโพลน สองหูอื้ออึง เริ่มเข้าใจขึ้นมาบางส่วน
“ผู้ใด?” หานอี้ซวนถามเสียงดัง สีหน้าเผยความโกรธกรุ่น
หญิงตัวอ้วนรีบตอบ “เป็นเจ้ากงหนิว[1]ท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ ข้าเห็นกับตา”
“ใครกันกงหนิว แค่ชื่อก็ไม่น่าคบหา”
ชายอีกคนช่วยอธิบายเสียงดัง “ชายอัปลักษณ์ประจำหมู่บ้านผิงเหยียนของเราอย่างไรเล่าขอรับ นายท่านอาจไม่รู้จัก แต่พวกยากจนท้ายหมู่บ้านล้วนรู้จัก ชายผู้นี้อาศัยอยู่ริมลำธาร ลักษณะตัวสูงใหญ่ หนวดเครารุงรัง ทั้งใบหน้ามีแต่รอยแผลเป็น น่าเกลียดมาก ที่สำคัญเป็นใบ้พูดไม่ได้ แผ่นหลังยังโค้งงอ แลดูน่ากลัว ลักษณะคล้ายวัวตัวผู้ในร่างมนุษย์ ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่ากงหนิวขอรับ”
ทุกคนบ้านหานได้ฟังก็ตกใจ
ชิงหลินยิ่งตื่นตระหนกกว่าผู้ใด
เมื่อร่ายวาจาครบถ้วนแล้ว พยานชายหญิงคู่นี้จึงถูกอนุของบิดาพาตัวออกจากห้อง มอบเงินให้แล้วเชิญกลับไป
พยานชายหญิงจากไปแล้ว ภายในห้องโถงยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศอึมครึมดำทะมึนและอึดอัดกดดันเต็มส่วน
ชิงหลินยามนี้เริ่มมีพิษไข้รุมเร้าอย่างรุนแรงเสียแล้ว จึงทำให้ไร้เรี่ยวแรง ทั้งสติยังเริ่มพร่าเลือน
นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีพยายามอธิบาย ทว่ากลับพูดจาติดขัดเปล่งเสียงไม่ออกสักคำ
“ขะ...ข้า...ข้าไม่ได้...”
[1] 公牛 กงหนิว แปลว่า วัวตัวผู้
หญิงสาวกำลังสับสน คิดการณ์ไม่ทันผู้ใดทั้งนั้น นางมักเป็นสตรีเช่นนี้ อึกอักอ้ำอึ้งไม่มีความมั่นใจ ทำผู้คนรอบข้างนึกรำคาญไม่น้อยชั่วขณะนั้นเสียงของจางฉวนก็ตวาดก้อง ไม่ปล่อยโอกาสให้ชิงหลินได้เอ่ยอันใด“อะไรกัน!? หลินเอ๋อร์!”ชิงหลินพลันผวาเฮือกเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกต้องฝนนางมิใช่สตรีฉะฉานเหมือนใครเขา จึงทำได้แค่เม้มปากแน่น ก้มหน้ามิกล้าเงยจางฉวนโกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะออกมา“เจ้าทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เสียท่าให้กับชายอัปลักษณ์ที่พิการหลังค่อมเช่นนั้น นับว่าตัวข้าที่เป็นชายปกติได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ข้าจะถอนหมั้นเดี๋ยวนี้”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หานอี้ซวนและเจียหรูพลันแตกตื่นเบิกตาโพลงเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ หมายถึงชื่อเสียงของตระกูลย่อมเสื่อมเสีย แค่ธิดาเสียบริสุทธิ์ให้ชายหยาบช้าก็ย่ำแย่มากแล้ว คู่หมั้นยังถอนสัญญาผูกสกุลยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าใบหน้าของหานอี้ซวนดำคล้ำ ถลึงตามองชิงหลินอย่างคาดโทษ เจี๋ยหรู๋ยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ กลัวแต่ว่าสามีจะพาลโกรธนางไปด้วยจึงไม่กล้าเอ่ยคำใดทั้งนั้น นางส่งสายตามองชิงหลินอย่างผิดหวังที่มีบุตรสาว
คืนวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานแต่งที่ถูกจัดอย่างเร่งรีบก็ใกล้ถึงเวลาเต็มทีจางฉวนโกรธชิงหลินย่อมสมควรแล้ว เพราะนางอยู่กับกงหนิวผู้นั้นทั้งคืนจริงๆ แต่จางฉวนก็ยังยอมแต่งงานเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนางชิงหลินจึงคิดว่าเรื่องของเขากับน้องสาว นางพร้อมให้อภัยอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งยังคิดเอาไว้ว่าจะยินยอมให้เขาแต่งชิงลี่เป็นอนุอีกด้วย เพื่อความสุขของสามี นางต้องทนทุกข์ก็ไม่เป็นไรแค่เขาพึงพอใจไม่รังเกียจนาง...ชิงหลินคิดอย่างใจกว้าง เป็นสตรีจิตใจงดงาม มองทุกสิ่งในแง่ดี ไม่มีความคิดเป็นอื่นกับบิดามารดาและน้องสาวตลอดจนชายคนรักพิธีแต่งงานเกิดขึ้นไม่กี่วันถัดมา ชิงหลินในชุดเจ้าสาวคลุมหน้าด้วยผ้ามงคลปกปิดใบหน้าสีชาดอมยิ้มอย่างมีความสุขขบวนงานแต่งไม่ใหญ่มากนัก ผู้คนที่มาร่วมคือชาวบ้านที่พร้อมใจกันมาเป็นพยานชิงหลินมองเห็นรอบทิศไม่ชัดเจน เพราะมีผ้าคลุมหน้าบดบังสายตาตลอดเวลา อีกทั้งหลังจากจิบชาหอมไปหลายถ้วยเพื่อลดอาการตื่นเต้นก็รู้สึกมึนงงไม่น้อยพิธีการดำเนินไป เสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีดังระงมอยู่รอบกายไม่ขาดสาย ชิงหลินรู้สึกสองหูอื้ออึง สมองขาวโพลน รับรู้สิ่งใดไม่ชัดเจนสักเท่าใดกระทั่งถูกมารดาและน้องส
ยามสายวันต่อมาบนเตียงนอนสีแดงที่คลุมทับด้วยผ้าสีขาว มีร่างอรชรเปล่าเปลือยนอนอย่างเดียวดาย ไร้ร่างสามีเคียงข้าง ทั่วเรือนกายนางเต็มไปด้วยริ้วสีแดงเป็นจ้ำและรอยฟันขบกัดชิงหลินตื่นขึ้นมานานแล้วแต่ก็ยังร่ำไห้ไม่หยุด เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดในกายถูกน้ำวนในทะเลสาบน้ำแข็งดูดกลืนภาพของชายที่ครอบครองนางอย่างทารุณยังคงติดตา ความเดียดฉันท์ชิงชังยังคงติดตรึงฝังแน่นในจิตใจแทนที่จะได้เข้าหอกับบุรุษหล่อเหลาซึ่งเขาคือคนที่ชอบ แต่กลับต้องเข้าหอกับบุรุษน่าเกลียดปานนั้นนางรังเกียจกงหนิวยิ่งนักขยะแขยงสิ้นดีท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของตนเองย่ำแย่ยิ่งกว่าคือความจริงที่ครอบครัวและชายคนรักกระทำก่อนหน้านี้ทั้งบิดามารดารวมถึงน้องสาวล้วนบอกกล่าวแก่นางว่าให้รอเป็นเจ้าสาวของพี่จางฉวน เขามิได้คิดจะถอนหมั้นแต่อย่างใด ให้นางรออยู่ในเรือนอย่าออกไปไหนเดิมทีนางลองถามถึงความสัมพันธ์อันซ่อนร้อนของคู่หมั้นกับน้องสาวแล้ว ทว่าชิงลี่กลับตอบกลับว่า‘พี่สาวคงตาฝาดไปเองแล้วเจ้าค่ะ’แน่นอนว่านางไม่อาจเชื่อ ทว่าชิงลี่กลับร้องห่มร้องไห้จนเรื่องราวบานปลาย เรียกร้องสายตาตำหนิจากทุกคน
บัดนี้...สตรีท่าทางอ่อนแอ ใบหน้าอ่อนหวานแต่คล้ายกับอมโรคร้ายตลอดเวลาได้เปลี่ยนไปซานซานในร่างของชิงหลินกำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาทอประกายชั่วร้าย ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าของร่างจดจำได้อยู่เงียบๆก่อนหน้านั้นสตรีผู้ชั่วช้าอำมหิตอย่างนาง ถูกท่านอาจารย์ผู้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ลงทัณฑ์ด้วยวิชามารขั้นสูง ชดใช้ความผิดที่คิดแย่งชิงคนรักผู้อื่นหึ! ทั้งๆ ที่ยังทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ วิญญาณของนางก็หลุดจากร่างเดิมแล้วอาจารย์นะอาจารย์ ท่านช่างเห็นแก่วิถีเซียนเหลือเกิน…เรียวนิ้วขาวผ่องถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่เต็มสองข้างแก้มซึ่งยังไหลอาบไม่ทันเหือดหายเจ้าของร่างเดิมสิ้นใจตาย แล้วนางก็เข้าร่างมาบัดนี้ซานซานยังคงจดจำความรู้สึกทุกข์ระทมของเจ้าของร่างเดิมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเจ็บร้าวที่ถูกหญิงแพศยาแย่งชิงชายคนรัก ความรู้สึกเศร้าหนักที่ถูกกระทำอย่างย่ำแย่และความรู้สึกสิ้นหวังที่ถาโถม ทรมานยิ่ง!ซานซานได้รับรู้ความจริงถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของการถูกแย่งชิงก็ครานี้ ในใจได้รู้ซึ้งและสำนึกผิดทันทีนางในยามนี้ได้เห็นทุกความทรงจำตั้งแต่ชิงหลินยังเป
คืนนั้นชิงลี่แอบมาหาจางฉวนแล้วบอกกล่าวเรื่องราวทั้งสองจึงแอบตามหาชิงหลินอย่างเงียบเชียบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็บังเอิญเห็นไกลๆ ว่าชิงหลินอยู่กับกงหนิวที่ริมธารคู่หมั้นบัดซบกับนังน้องสาวแพศยาจึงสบโอกาสเหมาะที่จะผลักไสชิงหลินให้พ้นตัวอย่างหมดจดงดงามพวกมันว่าจ้างพยานมาบีบคั้นชิงหลินเรื่องกงหนิววันนั้นจางฉวนทำทีเป็นโกรธกรุ่นหึงหวงไม่ฟังความ ทำให้ชิงหลินที่พูดช้าเสียงเบาไม่อาจทัดทาน เพื่อให้หานอี้ซวนเรียกคุย หมายยุติเรื่องราวมิให้ใหญ่โตบานปลายเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อเข้าห้องหนังสือกับหานอี้ซวน จางฉวนทำทียอมสงบสติอารมณ์เอ่ยปากยินยอมว่าไม่ถอนหมั้น เพื่อเป็นการปกป้องมิให้บ้านหานเสื่อมเกียรติก็ย่อมได้ หากแต่เจ้าสาวของเขาต้องมิใช่สตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นอย่างชิงหลิน นั่นจึงทำให้บิดาลอบเปลี่ยนสถานะคู่หมั้นของคนพี่เป็นของคนน้องทันที เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อแวดวงการค้าของเขาส่วนมารดาผู้รักสามีเหลือเกินล้วนรู้เห็นเป็นใจมิกล้าขัดในขณะที่ชิงลี่ยังปลอบประโลมชิงหลินไม่ห่างกาย บอกอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไร้เดียงสาว่าเรื่องเลวร้ายจะผ่านไป จางฉวนย่อมให้อภัย และแต่งงานแน่นอนจากนั้
หลังพุ่มไม้ริมลำธาร ซึ่งห่างออกมาไกลพอควรจากตัวบ้านไม้ไผ่ที่มีรอยถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วนสายน้ำเย็นใสไหลเอื่อยเฉื่อยสะท้อนแสงตะวันแผดกล้า บุรุษหนุ่มหลังค่อมสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งเก่าทั้งขาด นั่งตกปลาอย่างเงียบงัน ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แผ่กลิ่นอายแห่งราชันย์ออกมาเยื้องไปทางข้างกายด้านซ้ายของเขา คือชายชุดดำกำลังค้อมศีรษะ ประสานมือ คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่อย่างเงียบเชียบภายใต้หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นอันปิดบังรูปโฉมหล่อเหลาจนเผยเพียงความน่าเกลียดน่ากลัวออกมา กำลังมีแววตาเย็นเยียบทวีความหงุดหงิดอย่างรุนแรง สืบเนื่องจากเรื่องราวอันแสนจะอัปยศเมื่อคืนวานถังจ้าวเหว่ย คือนามที่แท้จริงของเขาน้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแปล่งหูทว่ากลับแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ เริ่มเอ่ยคำออกมาจากริมฝีปากได้รูปที่ถูกหนวดสากระคายปกคลุมจนมิด“เมื่อคืนข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด หาไม่คงมิทำเรื่องหยาบช้าเช่นนั้นกับนางเป็นแน่!”บุรุษชุดดำสะดุ้งสุดตัว นึกตระหนกกับความผิดของตน ที่เจ้านายถูกวางยาแต่ไม่อาจช่วยเหลือ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า“เพื่อความแนบเนียนในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ กระหม่อมจึงไม่อาจขัดขวางแผนก
สตรีชุดครามค่อยๆ เดินก้าวขาอย่างยากลำบากร่างกายของชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยที่แสนจะธรรมดา กำลังวังชาอันใดก็ไม่มี ถูกสามีเคี่ยวกรำเมื่อคืนจึงอ่อนปวกเปียกไปหมด ซานซานจึงเดินไปสูดปากไป เจ็บตรงหว่างขาไม่เบาหลังจากสำรวจภายในห้องและตัวเรือนจนทั่วก็ตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกบ้านหลังนี้ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ ตั้งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ด้านขวาของตัวบ้านติดกับลำธาร ด้านซ้ายติดชายป่า ด้านหน้าเป็นลานกว้าง เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกทึบ เว้นทางไว้เดินเล็กน้อยหญิงสาวออกมาที่ลานหน้าบ้าน เดินเยื้องไปทางขวาอีกหลายก้าว เห็นสามีหมาดๆ กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมลำธารนางหรี่ตามอง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาเมื่อซานซานเดินมาถึงร่างโค้งงอที่นั่งตกปลาเงียบเชียบ จึงได้สังเกตเขาชัดเจนประสบการณ์อันโชกโชนของนางก่อนตายด้วยฝีมือของอาจารย์ ทำให้สังเกตความผิดปกติบางประการจากสามีกระดูกที่ผิดรูปของเขา มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!การที่ซานซานสามารถฝึกวิชามารจนแตกฉานเมื่อชาติที่แล้วได้นั้น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทุกส่วนของร่างกายจึงไม่ด้อยถึงแม้นางจะมาเข้าสิงร่างของชิงหลินที่ไม่เคยฝึกวิชายุทธ์ใดๆ หากแต่สมองของนางล้วนจดจำเคล็ดวิชาได้ทั้งหมด ส
หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงเนิ่นนาน จ้าวเหว่ยจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่าแหบต่ำว่า“ข้าอาจจะเป็นแค่ตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่ในเมื่อแต่งเจ้าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้แล้ว ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม จะอย่างไรข้ายังเป็นบุรุษ เมื่อมีเนื้อเข้าปากย่อมต้องเคี้ยวแล้วกลืนให้อิ่มหนำ”ถึงแม้จะอยู่ในสภาพย่ำแย่ทว่าความหยิ่งยโสทะนงตนยังคงมีตามวิสัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ เพราะชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา มีสตรีนับร้อยที่อยากให้เขาครอบครองอีกอย่าง...ยามนี้พวกเขาทั้งสองคือสามีภรรยากันแล้ว การพูดจาเยี่ยงนี้ไม่นับเป็นอะไรซานซานได้ยินประโยคยาวเหยียดจากสามีถึงกับตกใจ“หา! ท่านพูดได้หรือ?”หากจำไม่ผิด ชาวบ้านต่างบอกว่าเขาเป็นใบ้นี่นา อืม...อีกคราที่ซานซานจ้องมองสามีอย่างพิจารณาจ้าวเหว่ยหรี่ตามองสตรีตรงหน้าอย่างตำหนิที่นางบังอาจจ้องเขาอย่างถือวิสาสะเช่นนั้น ทว่าอึดใจพลันตระหนักว่าสถานะของตนยามนี้มิใช่องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง จึงเอ่ยปากตามตรง“อันที่จริง ข้าต้องขอโทษเจ้า เมื่อคืนข้าถูกยามอมเมากระตุ้นเร้า จึงไม่อาจยั้งกาย...”เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสั่นพร่าหากแต่แววตากลับสงบนิ่งเผยความสุ
ฤดูร้อนผ่านพ้นจนล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกไม่นานย่อมเยียบย่างฤดูใบไม้ผลิหลายเดือนมาแล้วที่ซานซานตัดสินใจพาลู่หลิ่งออกจากถ้ำแล้วติดตามหลี่กุ้ยเฟยโดยเลือกเป็นเพียงนางกำนัลคนสนิทนางปล่อยอาหู่อยู่ในถ้ำ ไม่คิดพรากสัตว์ร้ายจากป่าใหญ่ ข่าวที่พระสนมคนโปรดถูกลอบทำร้าย ได้รับการสืบสาวไปตามขั้นตอนของวังหลวง ความจริงเป็นเช่นใดซานซานไม่รู้แม้แต่น้อยนางรู้แค่ว่าลู่หลิ่งเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้เร็ว คุ้นชินกับชีวิตพระราชวัง ในเวลาอันสั้นก็พูดจากับคนชั้นสูงได้คล่องแคล่วน่าฟัง ได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาของพระราชวัง ได้กินอิ่มนอนหลับ ได้รับของมีค่า มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ได้เล่นสนุกซุกซนสมวัยและที่สำคัญ ตัวนางมียังเบี้ยหวัดเอาไว้ใช้จ่าย ชีวิตดูมีความหมายไม่น้อยซานซานในชาตินี้ทำตัวดีมีคุณค่ายิ่งนัก เพราะมีลูกแล้ว จะกระทำการใด ย่อมต้องคิดให้มาก รอบคอบเข้าไว้หากมารดาทำตัวไม่ดี ชีวิตบุตรสาวย่อมยากจะสงบสุขอีกอย่าง ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้นับว่าดีมาก หลี่กุ้ยเฟยเอ็นดูลู่หลิ่งไม่น้อย ตัวนางเองก็มีสหายหลายคนที่พูดจาถูกคอ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่ง นามว่าซูเหยา อายุราวสิบเก้าปี นิสัยสัตย์ซื่อ วาจานุ่มละมุน รับหน้าที่
เจ้าของวาจาน่าฟังนี้ทำท่าทางเอียงอาย “ขอพระองค์ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ เพราะนี่คือครั้งแรก”ยิ่งเอ่ยใบหน้างดงามนวลผ่องยิ่งแดงปลั่งดั่งผลอิงเถา“เจ้าเป็นใคร?”จ้าวเหว่ยถามเสียงขรึม หรี่ตาลงมองฝ่ามือที่บังอาจมาแตะต้องตัวเขาเจ้าของฝ่ามือเห็นสายตาปานมีดคมจับจ้องประหนึ่งกำลังกรีดเฉือนข้อมือตน จึงชะงักค้างนิ่งงัน ค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วถอยหลังมายืนสำรวมอยู่ห่างจากเตียงนอนราวห้าก้าว กล่าวพึมพำว่า “หม่อมฉันจิ่วเมย บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองจิ่ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลองค์รัชทายาทจนกว่าจะหายดีเพคะ”จ้าวเหว่ยโบกมือให้อีกฝ่ายหยุดพล่าม พลางเอ่ยเสียงต่ำ“ข้าหายดีแล้ว กลับไปเรียนบิดาเจ้าตามนั้น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”แม่นางจิ่วเมยได้ฟังพลันแข็งค้างไปทั้งร่าง ความหวังที่จะได้ติดตามเข้าวังพังทลายไปสิ้น“แต่...แต่ท่านพ่อบอกว่า หากหม่อมฉันดูแลพระองค์จนหายดี หม่อมฉันจะได้...” นางละล่ำละลักทวงความดีความชอบจ้าวเหว่ยลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง เขาตัวโตมากกว่าเมื่อห้าปีก่อนยิ่งนัก เส้นเสียงที่เคยแหบพร่าเพราะลำคอถูกทำลายก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเปล่งวาจายามอารมณ์ดีจึงทุ้มต่ำน่าฟัง ทว่าหากอารมณ์ไม่ดีกลับทรงอำ
ยี่ซินคลี่ยิ้มเต็มวงหน้า เย้าอีกประโยคว่า “เจ้าช่างไร้ใจ”ซานซานตอบรับอย่างอารมณ์ดี “ผิดแล้วๆ ข้ามีหลายใจต่างหากเล่า สามีเก่าไม่ดี ข้าก็กำลังจะหาสามีใหม่ เพียงแต่ยังหาที่ถูกใจไม่เจอเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทเลย เกรงว่าชายใดก็คงไม่คิดเข้าใกล้ข้าให้ต้องแปดเปื้อนแล้ว”ถ้อยวาจานี้เรียกเสียงหัวเราะให้บังเกิดได้ไม่ยาก ทั้งยี่ซินและซานซานสนทนาต่อคำกันได้ถูกคอยิ่งและนี่คือการผ่านบททดสอบขั้นพื้นฐานอย่างเรียบร้อย…เมื่อได้เห็นท่าทางเปิดเผยจริงใจ มิได้เสแสร้งแม้เพียงนิด ไม่ปรากฏความมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดให้เห็น ทั้งแววตายังปราศจากความหลงใหลได้ปลื้มเช่นชู้สาวต่อบุตรชายของตน หลี่กุ้ยเฟยจึงรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดพระนางก็เอ่ยเสียงนุ่มน่าฟังว่า“หากเจ้าไม่รังเกียจ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกัน ข้าต้องการตอบแทนเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”เสียงนี้ทำเอาซานซานกับยี่ซินต้องหยุดหัวเราะเพื่อรับฟังหลี่กุ้ยเฟยนิ่งเงียบชั่วครู่ ปรายตามองไปทางลู่หลิ่งแม่นางน้อยปล่อยผมสยายยามหลับฝัน พวงแก้มที่เคยนวลเนียนอมชมพูระเรื่อบัดนี้มีรอยแดงเพราะถูกคนร้ายตีหลายที ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดที่ยกยิ้มได
ซานซานได้ฟังวาจาเชิญชวนยาวเหยียด เพียงเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ“แม้ว่าข้าจะเป็นชาวยุทธ ทว่าระบบเมืองหลวงมิใช่ไม่รู้ การเข้าเป็นองครักษ์หญิงในวังหลวง เงินเบี้ยหวัดได้มากกว่านางกำนัลเล็กๆ ก็จริง แต่ต้องผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง”ซึ่งการทดสอบหาใช่ปัญหาสำหรับนางไม่ ที่เป็นปัญหาคือประวัติความเป็นมาต่างหาก นางมิใคร่ให้ใครล่วงรู้ตัวตนว่ามาจากไหนลูกใครสกุลใด เพราะนั่นอาจนำอันตรายที่มองไม่เห็นไปสู่ครอบครัวหาน ทั้งอาจมีปัญหายิบย่อยอันน่ารำคาญใจเพราะที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ท่องยุทธ์ไปทั่ว นางบังเอิญได้ 'ฆ่าคน' ปะไร!หลังจากใคร่ครวญลึกซึ้งจึงโบกมือปฏิเสธ “ช่างเถิด...พวกท่านจ่ายเงินรางวัลที่ช่วยเหลือกันก็พอ ข้าไม่เข้าวังหรอก”ยี่ซินจับกระแสความคิดที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ชอบเรื่องยิบย่อยอันน่ารำคาญ จึงรีบกล่าวอย่างเอาใจ หวังหยั่งเชิง“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? เจ้าช่วยเหลือพระสนมซึ่งเป็นถึงพระมารดาขององค์รัชทายาท สามารถใช้เส้นสายตรงนี้โดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบ เพราะอำนาจรับคนเป็นสิทธิ์ของพระองค์อยู่แล้ว แค่เจ้าเข้าหาองค์รัชทายาทเท่านั้น”ยี่ซินขยับเข้าใกล้ซานซานเล็กน้อย พลางกระซิบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่
ในถ้ำใต้แท่นหินได้ยินเสียงน้ำตกดังซู่ เย็นฉ่ำไปทั่วลู่หลิ่งถูกผลัดผ้าทายาป้อนเนื้อย่างจนอิ่มหนำแล้วปล่อยให้หลับใหลบนผ้าป่านไปนานแล้ว โดยมีอาหู่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเลียแก้มเลียมือกล่อมนอนไม่ห่างไฟกองหนึ่งกำลังลุกโชนมอบความอบอุ่นให้ทุกคนในถ้ำ แสงเพลิงสีทองสาดส่องเสี้ยวใบหน้าของสตรีทั้งสามยามสนทนา เผยให้เห็นความจริงใจไร้กังขา ปราศจากการเสแสร้งใด“ที่แท้ท่านก็คือพระสนมหลี่กุ้ยเฟย”ซานซานอุทานอย่างตกใจไปทางสตรีงดงามตรงหน้านางจำได้ที่จางเหริน เสี่ยเฟิง และเว่ยลี่เคยเล่าเรื่องราวให้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแคว้นหรือเรื่องในรั้วในวังทุกเรื่องที่ทั้งสามคนนั้นเล่าให้ฟังนั้น พวกเขายังทำท่าทางประกอบประหนึ่งเล่นงิ้ว เสมือนเป็นผู้ร่วมทุกเหตุการณ์ที่เล่ามา สมจริงยิ่ง เชื่อถือได้มารดาขององค์รัชทายาทแห่งต้าถังมีนามหลี่ฮุ่ยเยี่ยน หรือก็คือหลี่กุ้ยเฟยแน่นอนว่าสามัญชนไม่อาจเอ่ยพระนามของราชนิกุล ซานซานเพียงคิดในใจอย่างรู้กาลเทศะ นางเอ่ยต่อ“ในขณะที่รัชทายาททรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ทรงตรากตรำทำเพื่อบ้านเมือง แต่คนชั่วกลับลอบแทงข้างหลัง บั่นทอนกำลังด้วยการลอบทำร้ายพระมารดากระนั้นหรือ?”เรื่องราว
“ท่านแม่”ลู่หลิ่งเห็นคนชั่วตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ จึงลุกวิ่งตึกๆ โผหามารดา อ้าแขนออก กระโดดโถมทั้งตัวใส่ แล้วร้องไห้จ้าหญิงสาวเห็นลูกบาดเจ็บมีบาดแผลมีเลือดออก สองแก้มบวมแดง ร่ำไห้ฮักๆ จนตัวสั่น จึงใจอ่อนยวบ ความคิดจะตำหนิความซุกซนของลูกก่อนหน้าจึงตกไป นางดุไม่ออกแม้ครึ่งคำ“หลิ่งเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว”ซานซานเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน กอดลูกแนบอก ลูบหลังปลอบประโลมด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ ภาพของสตรีอำมหิตโหดร้ายที่ฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเดิมทีสตรีสองคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากลู่หลิ่งยังคงรู้สึกหวาดเกรงต่อซานซานอยู่มาก ความอำมหิตชนิดดาบเดียวปลิดชีพนับสิบชีวิต ทำพวกนางผวาเยือกไม่กล้ากระทั่งร้องอุทาน ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอบลูกอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ความหวาดหวั่นพลันตกไปสิ้น พวกนางค่อยๆ พยุงตัวกันยืนขึ้น แล้วเดินเข้ามาร่วมปลอบเด็กน้อยลู่หลิ่งด้วยมีเพียงอาหู่ที่หมอบอยู่ไม่ยอมขยับเพราะเจ็บแผลมากหนึ่งในสองสตรีแย้มยิ้มแล้วเอ่ยกับซานซาน “แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงนัก”ซานซานเหลือบตามองสตรีทั้งสอง เห็นคนหนึ่งใส่อาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหมดจดงดงาม กิริยา
ชั่วอึดใจซานซานพลันดีดตัวขึ้นสูง ดึงร่มคันเล็กจากเอวด้านหลัง แล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มของบุตรสาวร่มคันนี้คือหนึ่งในอาวุธสังหารที่ซานซานออกแบบคร่าวๆ แล้วให้เสี่ยเฟิงเค้นสมองปรับเปลี่ยนเพิ่มประโยชน์จากกันแดดฝนร่มกางออกแล้วหมุนอยู่กลางอากาศ สาดกระจายเข็มพิษออกรอบทิศเป็นวงกว้าง เพื่อปกป้องสตรีสามคนและเสือดาว มิให้ใครย่างเท้าเข้ากล้ำกรายคนชุดดำที่ไม่ทันตั้งตัวย่อมหลบไม่ทัน ถูกพิษจากร่มไปอย่างช่วยไม่ได้ส่วนพวกที่เหลือ ซานซานเพียงพุ่งตัวอ้อมมาตลบหลังรอบในมีเข็มพิษพุ่งกระจายปลิดชีพผู้คนในพริบตา รอบนอกของเหล่าชายชุดดำมีซานซานลอบสังหารครอบคลุม เรียกได้ว่าหนึ่งล้อมสิบ นางพลิกกายปราดเปรียว สองแขนไขว้กัน สองมือกำดาบเสี้ยวจันทร์ดาบโค้งสองอันประกบเข้าด้วยกันกลับผสานเป็นหนึ่ง ร่างระหงหมุนตัวด้วยกระบวนท่าวายุคลั่ง แล้วสะบัดออกสุดแขน ตวัดดาบอย่างแรง ใบไม้แห้งรอบด้านยังกลายเป็นใบมีดคมกริบปลิวว่อน สังหารผู้คนจนทั่ว ดาบแยก กายแยก เลือดสาดกระจายซ่านเซ็นหญิงสาวทำเช่นนั้นฝ่ากลุ่มคนชุดดำตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย คนร้ายทั้งหลายออกกระบวนท่าแรกยังไม่ทันครบถ้วนก็ถูกกระบวนท่าเดียวของซานซานกลืนกินไปสิ้นร่มยังไ
ลู่หลิ่งถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรง มิอาจหลบได้ทัน ทั้งตกใจและเจ็บแปลบ จึงร้องไห้จ้าทว่าพริบตาตรงคอเสื้อของเด็กน้อยคงเหลือแต่ฝ่ามือหยาบหนากับเลือดกระฉูดแดงฉานติดเสื้อ ส่วนลำตัวกลับหายไปเจ้าของฝ่ามือผู้นี้ถูกดึงกระชากขึ้นไปบนต้นไม้ ดิ้นพล่านขลุกขลักค้างเติ่งอยู่บนนั้น ที่ลำคอมันมีเชือกเถาวัลย์รั้งเอาไว้จนลิ้นจุกปากตาเหลือกแทบถลนออกนอกเบ้า รอความตายกลืนกินอย่างทรมานไม่นานก็ได้ยินเสียงลำคอของมันหักดังกร๊อบ เพราะขยับเหวี่ยงแขนที่ถูกตัดขาดด้วยความเจ็บปวดรุนแรงเกินไป ยังผลให้ตายเร็วอย่างที่สุดชายอีกสองคนยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระชากจากฝ่ามือปริศนาจนกระเด็นออกห่างจากลู่หลิ่งไปไกลหลายจั้ง ประหนึ่งถูกปีศาจรั้งกระตุกตรงจุดที่มันทั้งสองตกกระแทกพื้นดิน มีร่างระหงของซานซานรอรับอยู่แล้ว ด้วยดาบโค้งเงาจันทร์ที่เสี่ยเฟิงตีขึ้นมานางสะบัดดาบในมือทั้งสองข้างเพียงพรึบเดียว หัวของชายชุดดำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาพลันสะบั้นในพริบตา พวกมันยังไม่ทันได้อ้าปากร้องด้วยซ้ำ“ท่านแม่!”ลู่หลิ่งร้องเรียกมารดา น้ำตาไหลนองเต็มสองแก้มอาหู่ที่ติดตามซานซานมารีบกระโจนเข้าหาเด็กน้อยทันทีคนชุดดำที่เหลืออีกห้าคนเบิกตาโพลงอย
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในถ้ำพร้อมอาหารเต็มอ้อมแขนซานซานพลันขมวดคิ้วแน่น มองกวาดจนทั่วบริเวณถ้ำอยู่สองรอบก็ยังไม่พบตัวบุตรสาว กระทั่งเสือดาวหิมะก็ยังหายตัวไปแม้นางจะคิดว่าลู่หลิ่งคงให้อาหู่พาไปเที่ยวเล่นซุกซนด้านนอกไม่ไกล แต่สัญชาตญาณแห่งมารดาไม่เคยธรรมดา พริบตาต่อมาซานซานก็พลิกกายพุ่งทะยานด้วยหัวใจที่เต้นระรัววิชาตัวเบาเลิศล้ำทำให้ใช้เวลาแค่หนึ่งเค่อ หญิงสาวก็พบร่องรอยอันน่าสงสัย เบื้องหน้าในระยะสายตามีซากศพคนตาย ทั้งทหารอาภรณ์แดงและคนชุดดำนอนสิ้นชีพกระจายเกลื่อนไม่ไกลกันจึงได้เห็นขลุ่ยหยกหักสองท่อน ยังมีมีดสั้นของลู่หลิ่งตกอยู่ทั้งสองเล่ม และเสือดาวนอนจมกองเลือดสีแดงฉาน“อาหู่!”ซานซานตระหนกวูบ คล้ายหัวใจดิ่งลงเหวทันใดเสือดาวหิมะเห็นเจ้านายมาแล้วก็ส่งเสียงครางอย่างยินดี“หลิ่งเอ๋อร์เล่า?” ซานซานถามพลางโรยยาห้ามเลือดสมานแผลให้อาหู่กำลังวังชาของอาหู่คล้ายถูกเพิ่มฉับพลัน มันลุกขึ้นยืน ฝืนความเจ็บจนขาสั่น ก่อนจะพยายามกระโจนตัวตามกลิ่นไป ...กลางป่าอีกฝั่งหนึ่งห่างจากจุดเข่นฆ่าออกมาราวครึ่งลี้นักฆ่าเหลือพวกพ้องทั้งสิ้นแปดคน สี่คนถูกพิษจนไม่อาจเดินทางต่อแม้ครึ่งก้าว ได้แต่นอนครวญครา