ม่านราตรีผ่านพ้น
ร่างของชิงหลินลอยมากับกระแสน้ำที่พัดพา รู้สึกได้ว่าลอยมาไกลแสนไกล สุดท้ายถูกค้นพบโดยชาวบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังดำน้ำจับปลาอยู่ในลำธารเพื่อทำอาหารประทังชีวิต
ทันทีที่รู้สึกตัว ชิงหลินกำลังนอนนิ่งอยู่ริมลำธาร เมื่อปรับสายตาพร่ามัวจนเข้าที่ก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ ท่าทีเกียจคร้าน ท่าทางน่ากลัว จึงผวาตกใจ แข็งทื่อไปทั้งร่าง
เขามีรูปร่างใหญ่โตประหนึ่งวัวตัวผู้ แลดูน่ากลัว ใบหน้าดำคล้ำมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดวาดผ่านเต็มไปหมด หนวดเคราเขียวครึ้มน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างมาก สายตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง คล้ายอำมหิตคิดฆ่าคนเช่นผักปลา
ถึงแม้ชิงหลินจะพอจำได้เลือนรางยามสติล่องลอย ว่าเขาคือผู้ช่วยนางจากม่านน้ำ ทว่าด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดของเขาต่อให้อยากขอบคุณแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ
ซ้ำยังคิดได้แต่แง่ร้าย...
เขาไม่น่าเข้าใกล้สักนิด ไม่น่าเสวนาด้วยเลย
ชิงหลินนอนนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก หวาดกลัวเป็นที่สุด ร่างบอบบางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากแต่กลับสั่นเทามากนักเพราะตื่นกลัวอย่างยิ่ง
เนิ่นนานผ่านพ้น กระทั่งอีกคนคล้ายกับรู้ตัวว่าถูกรังเกียจจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน
ชิงหลินเห็นเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พยายามลุกขึ้นนั่ง ชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างหวาดผวา
ไม่ช้า...ก็เริ่มออกแรงขยับตัวได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากมาเงียบเชียบ ไม่คิดเข้าไปขอบคุณผู้มีพระคุณแต่อย่างใด
เขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป...
หลังจากพลัดตกน้ำแล้วสลบไปหนึ่งคืนเต็ม ชิงหลินจึงพาร่างกายบอบบาง จิตใจบอบช้ำกลับเข้าบ้าน
นางรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ ทว่าเมื่อกลับมาถึงก็ได้เจอจางฉวนยืนอยู่กลางลานหน้าเรือนหลัก อาการเจ็บป่วยก็คล้ายกับจะหายเป็นปลิดทิ้ง
เขาสวมชุดสีครามแลดูสง่างามไม่แปรเปลี่ยน เขาคงมาขอพบนางแล้วยืนรออยู่ตรงนี้เหมือนเช่นเคย
หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เจอคู่หมั้นของตน ทั้งภาพบัดสีและเส้นเสียงรัญจวนเมื่อวานพลันอันตรธานหายไป
ในขณะกำลังเดินเข้าหาชายคนรัก กลับเห็นเขาแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดชายผ้าหมุนตัวเดินเข้าโถงเรือนไป ไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายสักคำ
ชิงหลินเบิกตาตกใจ รีบตามจางฉวนเข้าเรือนทันที
เมื่อพ้นขอบประตูก็ได้เห็นบิดามารดานั่งอยู่พร้อมหน้า อีกฝั่งยังมีอนุของบิดาและชิงลี่นั่งอยู่ด้วย
น้องชายคนสำคัญ คงออกไปวิ่งเล่นจึงมิได้อยู่ที่นี่
ส่วนจางฉวนนั่งทางฝั่งหนึ่งห่างออกไป สายตาของเขาคล้ายเหยียดหยัน
อีกฝั่งตรงข้ามมีชาวบ้านแปลกหน้าสองคน นั่งอยู่ด้วยท่าทางหลุกหลิก สีหน้าแปลกประหลาด
หญิงสาวมองอย่างไม่เข้าใจ
พวกเขาเป็นใครชิงหลินไม่รู้จัก หากแต่ไม่นานกลับประจักษ์แจ้งว่าพวกเขามาทำไม
“ข้าก็พูดไปตามที่เห็นทั้งหมดแล้ว เหตุใดต้องพาข้ามายืนยันถึงที่นี่ด้วยเล่า”
หนึ่งในชาวบ้านทั้งสองบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วน ท่าทางหงุดหงิดง่าย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นสายตากดดันของคนบ้านหาน ทำให้ผู้พูดต้องก้มหน้าลงต่ำ หุบปากทันที
หลังจากยืนโง่งมอยู่ครู่ใหญ่ ชิงหลินจึงเริ่มสังเกตเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาทางนาง เผยความเย็นเยียบผิดปกติ ยามนั้นพลันได้ยินเสียงชิงลี่เอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้ทำตัวเยี่ยงนี้ พี่มีคู่หมั้นแล้วนะ หายตัวไปกับชายอื่นทั้งคืนได้อย่างไร”
จบคำก็ทำสีหน้าหม่นคล้ำ สายตาเผยความผิดหวังสาหัส
ชิงหลินยิ่งไม่เข้าใจ น้องสาวพูดอะไร?
ระหว่างนั้นชายหญิงแปลกหน้าคู่นี้ก็กล่าวถ้อยวาจาออกมาว่าเป็นพยานเห็นชิงหลินอยู่กับชายผู้หนึ่งที่ริมลำธาร และเหตุที่นางหายตัวไปหนึ่งคืนเต็มๆ ล้วนเป็นเพราะนัดพบกับชายผู้นั้น
ชิงหลินได้ฟังพลันตัวชาวาบ สมองขาวโพลน สองหูอื้ออึง เริ่มเข้าใจขึ้นมาบางส่วน
“ผู้ใด?” หานอี้ซวนถามเสียงดัง สีหน้าเผยความโกรธกรุ่น
หญิงตัวอ้วนรีบตอบ “เป็นเจ้ากงหนิว[1]ท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ ข้าเห็นกับตา”
“ใครกันกงหนิว แค่ชื่อก็ไม่น่าคบหา”
ชายอีกคนช่วยอธิบายเสียงดัง “ชายอัปลักษณ์ประจำหมู่บ้านผิงเหยียนของเราอย่างไรเล่าขอรับ นายท่านอาจไม่รู้จัก แต่พวกยากจนท้ายหมู่บ้านล้วนรู้จัก ชายผู้นี้อาศัยอยู่ริมลำธาร ลักษณะตัวสูงใหญ่ หนวดเครารุงรัง ทั้งใบหน้ามีแต่รอยแผลเป็น น่าเกลียดมาก ที่สำคัญเป็นใบ้พูดไม่ได้ แผ่นหลังยังโค้งงอ แลดูน่ากลัว ลักษณะคล้ายวัวตัวผู้ในร่างมนุษย์ ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่ากงหนิวขอรับ”
ทุกคนบ้านหานได้ฟังก็ตกใจ
ชิงหลินยิ่งตื่นตระหนกกว่าผู้ใด
เมื่อร่ายวาจาครบถ้วนแล้ว พยานชายหญิงคู่นี้จึงถูกอนุของบิดาพาตัวออกจากห้อง มอบเงินให้แล้วเชิญกลับไป
พยานชายหญิงจากไปแล้ว ภายในห้องโถงยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศอึมครึมดำทะมึนและอึดอัดกดดันเต็มส่วน
ชิงหลินยามนี้เริ่มมีพิษไข้รุมเร้าอย่างรุนแรงเสียแล้ว จึงทำให้ไร้เรี่ยวแรง ทั้งสติยังเริ่มพร่าเลือน
นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีพยายามอธิบาย ทว่ากลับพูดจาติดขัดเปล่งเสียงไม่ออกสักคำ
“ขะ...ข้า...ข้าไม่ได้...”
[1] 公牛 กงหนิว แปลว่า วัวตัวผู้
หญิงสาวกำลังสับสน คิดการณ์ไม่ทันผู้ใดทั้งนั้น นางมักเป็นสตรีเช่นนี้ อึกอักอ้ำอึ้งไม่มีความมั่นใจ ทำผู้คนรอบข้างนึกรำคาญไม่น้อยชั่วขณะนั้นเสียงของจางฉวนก็ตวาดก้อง ไม่ปล่อยโอกาสให้ชิงหลินได้เอ่ยอันใด“อะไรกัน!? หลินเอ๋อร์!”ชิงหลินพลันผวาเฮือกเนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกต้องฝนนางมิใช่สตรีฉะฉานเหมือนใครเขา จึงทำได้แค่เม้มปากแน่น ก้มหน้ามิกล้าเงยจางฉวนโกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะออกมา“เจ้าทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เสียท่าให้กับชายอัปลักษณ์ที่พิการหลังค่อมเช่นนั้น นับว่าตัวข้าที่เป็นชายปกติได้รับความอัปยศอดสูอย่างที่สุด ข้าจะถอนหมั้นเดี๋ยวนี้”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หานอี้ซวนและเจียหรูพลันแตกตื่นเบิกตาโพลงเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ หมายถึงชื่อเสียงของตระกูลย่อมเสื่อมเสีย แค่ธิดาเสียบริสุทธิ์ให้ชายหยาบช้าก็ย่ำแย่มากแล้ว คู่หมั้นยังถอนสัญญาผูกสกุลยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าใบหน้าของหานอี้ซวนดำคล้ำ ถลึงตามองชิงหลินอย่างคาดโทษ เจี๋ยหรู๋ยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ กลัวแต่ว่าสามีจะพาลโกรธนางไปด้วยจึงไม่กล้าเอ่ยคำใดทั้งนั้น นางส่งสายตามองชิงหลินอย่างผิดหวังที่มีบุตรสาว
คืนวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานแต่งที่ถูกจัดอย่างเร่งรีบก็ใกล้ถึงเวลาเต็มทีจางฉวนโกรธชิงหลินย่อมสมควรแล้ว เพราะนางอยู่กับกงหนิวผู้นั้นทั้งคืนจริงๆ แต่จางฉวนก็ยังยอมแต่งงานเพื่อปกป้องชื่อเสียงของนางชิงหลินจึงคิดว่าเรื่องของเขากับน้องสาว นางพร้อมให้อภัยอีกฝ่ายเช่นกัน ทั้งยังคิดเอาไว้ว่าจะยินยอมให้เขาแต่งชิงลี่เป็นอนุอีกด้วย เพื่อความสุขของสามี นางต้องทนทุกข์ก็ไม่เป็นไรแค่เขาพึงพอใจไม่รังเกียจนาง...ชิงหลินคิดอย่างใจกว้าง เป็นสตรีจิตใจงดงาม มองทุกสิ่งในแง่ดี ไม่มีความคิดเป็นอื่นกับบิดามารดาและน้องสาวตลอดจนชายคนรักพิธีแต่งงานเกิดขึ้นไม่กี่วันถัดมา ชิงหลินในชุดเจ้าสาวคลุมหน้าด้วยผ้ามงคลปกปิดใบหน้าสีชาดอมยิ้มอย่างมีความสุขขบวนงานแต่งไม่ใหญ่มากนัก ผู้คนที่มาร่วมคือชาวบ้านที่พร้อมใจกันมาเป็นพยานชิงหลินมองเห็นรอบทิศไม่ชัดเจน เพราะมีผ้าคลุมหน้าบดบังสายตาตลอดเวลา อีกทั้งหลังจากจิบชาหอมไปหลายถ้วยเพื่อลดอาการตื่นเต้นก็รู้สึกมึนงงไม่น้อยพิธีการดำเนินไป เสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีดังระงมอยู่รอบกายไม่ขาดสาย ชิงหลินรู้สึกสองหูอื้ออึง สมองขาวโพลน รับรู้สิ่งใดไม่ชัดเจนสักเท่าใดกระทั่งถูกมารดาและน้องส
ยามสายวันต่อมาบนเตียงนอนสีแดงที่คลุมทับด้วยผ้าสีขาว มีร่างอรชรเปล่าเปลือยนอนอย่างเดียวดาย ไร้ร่างสามีเคียงข้าง ทั่วเรือนกายนางเต็มไปด้วยริ้วสีแดงเป็นจ้ำและรอยฟันขบกัดชิงหลินตื่นขึ้นมานานแล้วแต่ก็ยังร่ำไห้ไม่หยุด เรือนร่างสั่นสะท้านอย่างสิ้นหวัง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดในกายถูกน้ำวนในทะเลสาบน้ำแข็งดูดกลืนภาพของชายที่ครอบครองนางอย่างทารุณยังคงติดตา ความเดียดฉันท์ชิงชังยังคงติดตรึงฝังแน่นในจิตใจแทนที่จะได้เข้าหอกับบุรุษหล่อเหลาซึ่งเขาคือคนที่ชอบ แต่กลับต้องเข้าหอกับบุรุษน่าเกลียดปานนั้นนางรังเกียจกงหนิวยิ่งนักขยะแขยงสิ้นดีท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของตนเองย่ำแย่ยิ่งกว่าคือความจริงที่ครอบครัวและชายคนรักกระทำก่อนหน้านี้ทั้งบิดามารดารวมถึงน้องสาวล้วนบอกกล่าวแก่นางว่าให้รอเป็นเจ้าสาวของพี่จางฉวน เขามิได้คิดจะถอนหมั้นแต่อย่างใด ให้นางรออยู่ในเรือนอย่าออกไปไหนเดิมทีนางลองถามถึงความสัมพันธ์อันซ่อนร้อนของคู่หมั้นกับน้องสาวแล้ว ทว่าชิงลี่กลับตอบกลับว่า‘พี่สาวคงตาฝาดไปเองแล้วเจ้าค่ะ’แน่นอนว่านางไม่อาจเชื่อ ทว่าชิงลี่กลับร้องห่มร้องไห้จนเรื่องราวบานปลาย เรียกร้องสายตาตำหนิจากทุกคน
บัดนี้...สตรีท่าทางอ่อนแอ ใบหน้าอ่อนหวานแต่คล้ายกับอมโรคร้ายตลอดเวลาได้เปลี่ยนไปซานซานในร่างของชิงหลินกำลังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาทอประกายชั่วร้าย ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าของร่างจดจำได้อยู่เงียบๆก่อนหน้านั้นสตรีผู้ชั่วช้าอำมหิตอย่างนาง ถูกท่านอาจารย์ผู้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ลงทัณฑ์ด้วยวิชามารขั้นสูง ชดใช้ความผิดที่คิดแย่งชิงคนรักผู้อื่นหึ! ทั้งๆ ที่ยังทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ วิญญาณของนางก็หลุดจากร่างเดิมแล้วอาจารย์นะอาจารย์ ท่านช่างเห็นแก่วิถีเซียนเหลือเกิน…เรียวนิ้วขาวผ่องถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่เต็มสองข้างแก้มซึ่งยังไหลอาบไม่ทันเหือดหายเจ้าของร่างเดิมสิ้นใจตาย แล้วนางก็เข้าร่างมาบัดนี้ซานซานยังคงจดจำความรู้สึกทุกข์ระทมของเจ้าของร่างเดิมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเจ็บร้าวที่ถูกหญิงแพศยาแย่งชิงชายคนรัก ความรู้สึกเศร้าหนักที่ถูกกระทำอย่างย่ำแย่และความรู้สึกสิ้นหวังที่ถาโถม ทรมานยิ่ง!ซานซานได้รับรู้ความจริงถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของการถูกแย่งชิงก็ครานี้ ในใจได้รู้ซึ้งและสำนึกผิดทันทีนางในยามนี้ได้เห็นทุกความทรงจำตั้งแต่ชิงหลินยังเป
คืนนั้นชิงลี่แอบมาหาจางฉวนแล้วบอกกล่าวเรื่องราวทั้งสองจึงแอบตามหาชิงหลินอย่างเงียบเชียบ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็บังเอิญเห็นไกลๆ ว่าชิงหลินอยู่กับกงหนิวที่ริมธารคู่หมั้นบัดซบกับนังน้องสาวแพศยาจึงสบโอกาสเหมาะที่จะผลักไสชิงหลินให้พ้นตัวอย่างหมดจดงดงามพวกมันว่าจ้างพยานมาบีบคั้นชิงหลินเรื่องกงหนิววันนั้นจางฉวนทำทีเป็นโกรธกรุ่นหึงหวงไม่ฟังความ ทำให้ชิงหลินที่พูดช้าเสียงเบาไม่อาจทัดทาน เพื่อให้หานอี้ซวนเรียกคุย หมายยุติเรื่องราวมิให้ใหญ่โตบานปลายเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อเข้าห้องหนังสือกับหานอี้ซวน จางฉวนทำทียอมสงบสติอารมณ์เอ่ยปากยินยอมว่าไม่ถอนหมั้น เพื่อเป็นการปกป้องมิให้บ้านหานเสื่อมเกียรติก็ย่อมได้ หากแต่เจ้าสาวของเขาต้องมิใช่สตรีที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นอย่างชิงหลิน นั่นจึงทำให้บิดาลอบเปลี่ยนสถานะคู่หมั้นของคนพี่เป็นของคนน้องทันที เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อแวดวงการค้าของเขาส่วนมารดาผู้รักสามีเหลือเกินล้วนรู้เห็นเป็นใจมิกล้าขัดในขณะที่ชิงลี่ยังปลอบประโลมชิงหลินไม่ห่างกาย บอกอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไร้เดียงสาว่าเรื่องเลวร้ายจะผ่านไป จางฉวนย่อมให้อภัย และแต่งงานแน่นอนจากนั้
หลังพุ่มไม้ริมลำธาร ซึ่งห่างออกมาไกลพอควรจากตัวบ้านไม้ไผ่ที่มีรอยถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วนสายน้ำเย็นใสไหลเอื่อยเฉื่อยสะท้อนแสงตะวันแผดกล้า บุรุษหนุ่มหลังค่อมสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งเก่าทั้งขาด นั่งตกปลาอย่างเงียบงัน ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แผ่กลิ่นอายแห่งราชันย์ออกมาเยื้องไปทางข้างกายด้านซ้ายของเขา คือชายชุดดำกำลังค้อมศีรษะ ประสานมือ คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่อย่างเงียบเชียบภายใต้หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นอันปิดบังรูปโฉมหล่อเหลาจนเผยเพียงความน่าเกลียดน่ากลัวออกมา กำลังมีแววตาเย็นเยียบทวีความหงุดหงิดอย่างรุนแรง สืบเนื่องจากเรื่องราวอันแสนจะอัปยศเมื่อคืนวานถังจ้าวเหว่ย คือนามที่แท้จริงของเขาน้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแปล่งหูทว่ากลับแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ เริ่มเอ่ยคำออกมาจากริมฝีปากได้รูปที่ถูกหนวดสากระคายปกคลุมจนมิด“เมื่อคืนข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด หาไม่คงมิทำเรื่องหยาบช้าเช่นนั้นกับนางเป็นแน่!”บุรุษชุดดำสะดุ้งสุดตัว นึกตระหนกกับความผิดของตน ที่เจ้านายถูกวางยาแต่ไม่อาจช่วยเหลือ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า“เพื่อความแนบเนียนในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ กระหม่อมจึงไม่อาจขัดขวางแผนก
สตรีชุดครามค่อยๆ เดินก้าวขาอย่างยากลำบากร่างกายของชิงหลินเป็นสตรีนางน้อยที่แสนจะธรรมดา กำลังวังชาอันใดก็ไม่มี ถูกสามีเคี่ยวกรำเมื่อคืนจึงอ่อนปวกเปียกไปหมด ซานซานจึงเดินไปสูดปากไป เจ็บตรงหว่างขาไม่เบาหลังจากสำรวจภายในห้องและตัวเรือนจนทั่วก็ตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกบ้านหลังนี้ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ ตั้งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ด้านขวาของตัวบ้านติดกับลำธาร ด้านซ้ายติดชายป่า ด้านหน้าเป็นลานกว้าง เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกทึบ เว้นทางไว้เดินเล็กน้อยหญิงสาวออกมาที่ลานหน้าบ้าน เดินเยื้องไปทางขวาอีกหลายก้าว เห็นสามีหมาดๆ กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมลำธารนางหรี่ตามอง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาเมื่อซานซานเดินมาถึงร่างโค้งงอที่นั่งตกปลาเงียบเชียบ จึงได้สังเกตเขาชัดเจนประสบการณ์อันโชกโชนของนางก่อนตายด้วยฝีมือของอาจารย์ ทำให้สังเกตความผิดปกติบางประการจากสามีกระดูกที่ผิดรูปของเขา มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!การที่ซานซานสามารถฝึกวิชามารจนแตกฉานเมื่อชาติที่แล้วได้นั้น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทุกส่วนของร่างกายจึงไม่ด้อยถึงแม้นางจะมาเข้าสิงร่างของชิงหลินที่ไม่เคยฝึกวิชายุทธ์ใดๆ หากแต่สมองของนางล้วนจดจำเคล็ดวิชาได้ทั้งหมด ส
หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงเนิ่นนาน จ้าวเหว่ยจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่าแหบต่ำว่า“ข้าอาจจะเป็นแค่ตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่ในเมื่อแต่งเจ้าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้แล้ว ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม จะอย่างไรข้ายังเป็นบุรุษ เมื่อมีเนื้อเข้าปากย่อมต้องเคี้ยวแล้วกลืนให้อิ่มหนำ”ถึงแม้จะอยู่ในสภาพย่ำแย่ทว่าความหยิ่งยโสทะนงตนยังคงมีตามวิสัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ เพราะชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา มีสตรีนับร้อยที่อยากให้เขาครอบครองอีกอย่าง...ยามนี้พวกเขาทั้งสองคือสามีภรรยากันแล้ว การพูดจาเยี่ยงนี้ไม่นับเป็นอะไรซานซานได้ยินประโยคยาวเหยียดจากสามีถึงกับตกใจ“หา! ท่านพูดได้หรือ?”หากจำไม่ผิด ชาวบ้านต่างบอกว่าเขาเป็นใบ้นี่นา อืม...อีกคราที่ซานซานจ้องมองสามีอย่างพิจารณาจ้าวเหว่ยหรี่ตามองสตรีตรงหน้าอย่างตำหนิที่นางบังอาจจ้องเขาอย่างถือวิสาสะเช่นนั้น ทว่าอึดใจพลันตระหนักว่าสถานะของตนยามนี้มิใช่องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง จึงเอ่ยปากตามตรง“อันที่จริง ข้าต้องขอโทษเจ้า เมื่อคืนข้าถูกยามอมเมากระตุ้นเร้า จึงไม่อาจยั้งกาย...”เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสั่นพร่าหากแต่แววตากลับสงบนิ่งเผยความสุ
เพราะว่าวันนี้ทั้งวันยังมิได้ออกแรงทำอะไรเลย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงนอน และที่สำคัญครั้งก่อนคนที่เข้าหอกับสามี มิใช่นางที่เป็นซานซาน แต่เป็นชิงหลินก่อนตายต่างหาก“คิดอะไรอยู่?”เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับดังมาจากสวรรค์ ฟังแล้วให้รู้สึกทุ้มนุ่มน่าฟังอย่างประหลาดซานซานจึงตอบกลับอย่างเผลอไผล“ข้ากำลังคิดว่าอยากเข้าหอกับท่านอีกครั้งจะได้ไหม?”สิ้นคำถาม พลันได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะในลำคอ“ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้”ซานซานพยักหน้าถี่ๆ ดั่งนกกระสา ฉับพลันก็รู้สึกว่าเอวถูกรัดแน่น เห็นดวงตาของสามีชัดเจนนักแม้ว่าใบหน้าเขาจักอัปลักษณ์ ทว่าดวงตากลับเรียวคมทรงพลัง แฝงไปด้วยเสน่ห์มนต์มารอันร้อนแรงที่แสนจะเย้ายวน ยามมองสบสายตายิ่งชวนประหวั่นพรั่นพรึงและหลงใหลได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว กลีบปากนางพลันถูกแตะแต้มแผ่วเบา คล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาอ่อนนุ่ม ซานซานเผลอไผลกระทั่งถูกเรียวปากเขาขบเม้มเนิ่นนานก็ยังไม่รู้ตัวสายลมราตรีพัดผ่าน ฝากความเย็นเยียบเอาไว้รอบทิศ ทว่ากายสาวกลับรู้สึกร้อนผะผ่าวยากระงับริมฝีปากที่ขยับแนบชิดยิ่งนานยิ่งดุดันและร้อนกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจรินรดยิ่งร้อนระอุไม่ต่างจากห
หลังจากกินข้าวจนอิ่มหนำ ซานซานที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นตัวเต็มที่ ยิ่งดึกยิ่งสว่างกระจ่างตา ทำตัวราวกับค้างคาวออกหากินกลางคืนซานซานพาจ้าวเหว่ยมานั่งนับดาวอยู่ริมธาร บรรยากาศนับว่าดีไม่น้อย เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาให้พากันดื่มด่ำค่ำคืนแสนหวาน ร่วมชื่นชมจันทรางดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาล มีเพียงแสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์กระจ่างกลางนภากว้าง สีเงินยวงสาดแสงลงมากระทบเรือนร่างบุรุษและสตรีที่นั่งเคียงข้างกัน เกิดเป็นเงาสองสายทอดยาวไปตามพื้นหญ้าพวกเขาต่างก็มีความลับซ่อนเร้น หากแต่การแสดงออกซึ่งหน้ากลับไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทั้งกิริยาวาจาล้วนเปิดเผยและจริงใจ นับเป็นสัมพันธ์ที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่งซานซานนั่งมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย บนนั้นมีจันทร์เสี้ยวคล้ายดาบโค้ง หนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลานุภาพของนางในชาติที่แล้ว“เหย่หนิวรู้จักดาบแสงจันทร์หรือไม่?” หญิงสาวพึมพำ“ดาบแสงจันทร์หรือ?”“อืม...ยังมีดาบวงเดือน แส้หนังโลหิต กระบี่สุริยา กำไลเข็มพิษ วงแหวนพิฆาต ง้าวเหล็กจันทร์เสี้ยว กระบี่สายรัดเอว”อันที่จริงยังมีอีกมาก ชาติก่อนซานซานสามารถเปลี่ยนสิ่งของรอบกายให้กลายเป็นอาวุธร้ายได้ไม่ยากเย
เช้าวันต่อมาซานซานแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวาน เตรียมตัวออกนอกบ้านเพื่อไปตลาด เป้าหมายคือติดต่อช่างไม้ ให้ประกอบเครื่องเรือนตามต้องการ เงินที่ได้มาเมื่อวานยังเหลือไว้ซื้อเครื่องเงินบางอย่าง ที่มิใช่เครื่องประดับ แต่กลับนำมาทำเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังยามครุ่นคิด ดวงตาหญิงสาวทอประกายชั่วร้ายแวบหนึ่งชั่วจังหวะนั้น พลันถูกนิ้วดีดหน้าผาก “อ่ะ!”“คิดจะทำอะไรอีก?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ ลดมือตนที่เคาะหน้าผากมนของซานซานเมื่อครู่ลงมาบีบแก้มอีกหนึ่งที“อ๊ะ!” เจ้าของแก้มอุทานเล็กน้อย เอ่ยตอบอู้อี้ “ข้าจะไปสั่งทำเตียงอรหันต์ กับฉากไม้กั้นลม แล้วก็เดินซื้อของหลายอย่าง”ชายหนุ่มเลิกคิ้วหรี่ตามอง “เจ้าควรเว้นระยะสักหลายวัน ให้เรื่องหมอหญิงปริศนาซาลงก่อน แล้วค่อยไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย น่าจะปลอดภัยมากกว่า”เขาปล่อยนิ้วจากแก้มนวลแล้วสั่งเสียงเย็น“ระหว่างนี้ควรละลายยาแก้พิษทั้งหมดใส่ต้นน้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเกิดโดนพิษขึ้นมาอีก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังถึงกับเบิกตาส่งยิ้มแห้ง “อ้อ...ข้าลืมไป”จ้าวเหว่ยทำเสียงดุ “นึกได้แล้วก็ไปจัดการเสียเดี๋ยวนี้”“รู้แล้ว...”ชายหนุ่มยังสั่ง “เสร็จแล้วก็มากิน
ยามสายของวันต่อมา เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้ แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หา
ยิ่งดึกลมราตรียิ่งพัดพลิ้ว ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำเนื่องจากวุ่นวายทั้งวัน ตกเย็นยังกินเนื้อเสียจนแน่นท้อง พอพลบค่ำมาหนังตาจึงหนักอึ้ง ซานซานยามนี้จึงหลับใหลประดุจตายไปแล้วบนเตียงเย็นเยียบที่มีผ้าห่มเพียงหนึ่งผืน กำลังมีสตรีนอนพริ้มตาคล้ายสิ้นสติ โดยมีบุรุษนอนขมวดคิ้วจ้องมอง“เจ้าตัวยุ่ง!”จ้าวเหว่ยบ่นออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปรกเนินอกของซานซาน ปล่อยนางได้หนุนท่อนแขน ซุกซบอกอุ่นของเขาไปเช่นนั้นบนเตียงไม่เล็กไม่ใหญ่จึงมีภรรยากำลังนอนกอดก่ายสามีแล้วหลับฝันดีที่สุดในใต้หล้า หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า แววตาที่มองนาง กำลังเต็มไปด้วยรอยยิ้มชายผู้หนึ่งซึ่งสูงส่งตั้งแต่เกิด เป็นโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังมีรูปโฉมที่ล้ำเลิศงดงามเป็นเอก แต่ไหนแต่ไรมา มีสตรีนับไม่ถ้วนอยากชิดใกล้ อยากสนิทสนม อยากแม้กระทั่งถูกครอบครองทว่าเมื่อต้องปลอมตัวซ่อนกาย แปลงโฉมเป็นชายอัปลักษณ์ อย่าว่าแต่ตีสนิทเพื่อแนบชิดเลย แม้แต่หางตาพวกนางยังไม่เหลียวมอง สำหรับคู่ชีวิตที่สามารถยืนหยัดประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งกระทั่งแก่เฒ่า พวกเขาล้วนต้องยอมรับกันและกันได้หมดทุกสิ่ง ไม่ว่าด้านดีห
ซานซานกลับเข้าบ้านมาพร้อมม้วนกระดาษหมึกพู่กันครบครันก็ลงมือวาดภาพร่ายอักษรทันทีภายในห้องหับอันคับแคบของเรือนไม้ไผ่ที่ทรุดโทรม มีสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นปล่อยผมดำขลับแผ่สยายเคลียไหล่ กำลังนั่งเขียนอักษรด้วยท่าทางขึงขัง เรียวนิ้วจับพู่กันอย่างมั่นคง ท่วงท่าทรงพลัง ทว่ายามสะบัดพู่กันกลับพลิ้วสบายคล้ายริ้วคลื่นของสายน้ำที่รินไหล ดวงตาที่หลุบลงเห็นเพียงแพขนตางามงอนบนดวงหน้าอ่อนหวาน แต่กระนั้นกลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวเฉียบคมเด่นชัด กลีบปากสีแดงเรื่อที่เม้มแน่นบ่งบอกได้ว่านางจริงจังปานใดมุมห้องห่างออกมาเล็กน้อยมีบุรุษร่างใหญ่ยืนมองนางอย่างเย็นชา สายตาคล้ายจับผิดตลอดเวลา ใบหน้าไร้อารมณ์จ้าวเหว่ยกอดอกมองซานซานอย่างเยือกเย็น สังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งใจเขียนอักษรประหนึ่งจะไปสอบจอหงวน จึงอดใจมิได้ สุดท้ายก็ถามเสียงต่ำ“เจ้าเป็นใครกันแน่?”“หืม...”ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายกดดัน แววตาทอประกายคมกริบ เอ่ยถามอีกครา“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามิใช่ชิงหลิน” เขาหรี่ตา “ใครส่งเจ้ามา?”“หา”“ที่แท้มีเจตนาอะไร?”“...”ซานซานได้ยินก็ชะงักนิ่ง กะพริบตาปริบๆ อึ้งงันครู่ใหญ่จ้าวเหว่ยจับสังเกตนางทุกกิริยาเนิ่นนานทีเดียวกว่
ชั่วจังหวะที่จางฉวนกำลังตกอยู่ในภวังค์อันเนิ่นนาน เสียงของชิงลี่ก็ดังแทรก“ข้าเข้าใจแล้ว พี่หลินกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่ใช่หรือไม่ เพราะได้แต่งงานกับสามียาจกอัปลักษณ์ พี่จึงต้องพัฒนาตนเองเพื่อสามี ผู้อื่นจะได้ไม่ดูถูกไปมากกว่านี้ ช่างดียิ่ง พี่หลิน ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวพี่มากเลย พี่คงรักกงหนิวมากสินะ”กล่าวจบยังยกยิ้มน่ารัก ตอกย้ำเด่นชัดว่าชิงหลินตกต่ำ มีสามีต่ำตม ต้องเร่งพัฒนาตนเองให้ผุดขึ้นจากดินโคลนซานซานตอบรับเสียงเย็น “เรื่องของข้ากับสามีไม่ต้องให้ใครมาบอก ข้าย่อมรักและถนอมเขายิ่งกว่าผู้ใดอยู่แล้ว”เรียวคิ้วคมจึงขมวดวูบ จางฉวนพลันรู้สึกไม่ชอบใจแต่ชิงลี่ได้ฟังยิ่งแช่มชื่น นางหันไปส่งยิ้มให้จางฉวนอย่างไร้เดียงสา เพื่อเป็นการดึงสติชายข้างกายกลับมา ก่อนหันไปมองชิงหลินอีกครั้ง ส่งเสียงสดใสอย่างต่อเนื่องอีกว่า“พี่หลินทำเช่นนี้นับว่าดีแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าเองก็เป็นห่วงพี่อยู่มาก ก่อนหน้านี้พี่ทำผิดกับพี่ฉวนเอาไว้ ต่อไปพี่ต้องทำดีกับกงหนิวให้มาก จะได้เป็นการชดเชย”กล่าวจบก็ส่งยิ้มสว่างไสว ดวงหน้าเรียวเล็กมีแต่ความจริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แต่ความหมายล้วนชัดเจน ว่าชิงหลินทำผิดก
ภายในตลาดกลางหมู่บ้านผิงเหยียนซานซานนำสัตว์ป่ามาขายกับเถ้าแก่ขายเนื้อรายหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อยแค่พอซื้อกระดาษไม่กี่แผ่น กับหมึกและพู่กันเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างยิ่งหญิงสาวจึงเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดตลอดทาง ในใจยังคิดว่าควรหาวิธีชั่วๆ ทำเงินดีกว่า น่าจะได้มากกว่านี้ระหว่างทางกลับบ้านไม้ไผ่ริมธารซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนอื่นๆ สองข้างถนนยามนี้คือชายป่า มีดอกไม้ประดับประดากับต้นไม้ต้นหญ้าทั้งสองฝั่ง เบื้องหลังของซานซานพลันมีเสียงเรียกขาน“พี่ใหญ่”เสียงนั้นฟังดูสดใสร่าเริง นางคือชิงลี่ซานซานในร่างชิงหลินเพียงหันมองอย่างเฉยชานางเห็นน้องสาวผู้น่ารักของชิงหลินกำลังเดินเคียงข้างมากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ผิวพรรณดั่งหยก สวมชุดสีขาวสะอาดราวกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ องคาพยพทั้งห้ารวมกันอย่างลงตัว ดวงตาดอกท้อสะกดใจสตรีเขาคืออดีตคู่หมั้นของชิงหลิน และปัจจุบันก็คือคู่หมั้นของน้องสาวจางฉวน...ทั้งสองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยโดยไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้วว่าสถานะของทั้งคู่คืออะไรในเมื่อพี่สาวเป็นฝ่ายออกเรือนไปก่อนกับชายอื่นเช่นนั้น อดีตคู่หมั้นกับน้องสาวจะ
ยามถูกเรียกขาน จ้าวเหว่ยมิได้เข้าเรือนในทันทีเขาพาร่างเปียกชื้นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทางฝั่งหนึ่งซึ่งห่างจากห้องนอนเล็กน้อย ท่าทางของเขาเฉยชา ไม่สนใจภรรยาผู้เรียกหา ไม่นานก็พาร่างสูงใหญ่ในชุดที่แห้งสนิทแต่เก่าคร่ำเช่นเดิมเข้ามาในห้อง เห็นอีกฝ่ายมิได้มองเขาเลยแม้แต่น้อยเรียวคิ้วบุรุษพลันขมวดวูบ ใบหน้าบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัวทางด้านซานซาน นางมิได้สนใจจ้าวเหว่ย แต่กำลังใช้ถ่านไม้สีดำนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้หน้ากว้าง ขยุกขยิกไม่หยุด ท่าทางลำบากไม่เบาชายหนุ่มยิ่งขมวดคิ้วมุ่น หรี่ตาจ้องมองโดยที่ไม่รู้ตัว จ้าวเหว่ยกำลังคิดว่า เขาควรหากระดาษกับพู่กันมาติดบ้านหลังนี้สักหน่อยหมู่บ้านผิงเหยียนแห่งนี้หากเป็นชาวบ้านชั้นต่ำ ย่อมไม่รู้หนังสือ และเพื่อความแนบเนียน จ้าวเหว่ยจึงมิได้สรรหามาไว้ แม้แต่ม้วนไม้ไผ่ก็ยังไม่มีจึงนับว่าไม่แปลกหากจะหากระดาษหมึกพู่กันในบ้านหลังนี้ไม่ได้แต่ถ้าจะมีก็ถือว่าไม่แปลกอยู่ดีเพราะยามนี้กงหนิวผู้ทึ่มทื่อได้แต่งภรรยาที่รู้หนังสือแล้ว เพียงแต่ราคาของมันค่อนข้างแพงไปสักหน่อย สำหรับชายพิการที่ไม่มีงานทำ วันๆ เอาแต่หากินกับอาหารป่าเช่นนี้ จะเอาเงินที่ใดไปซื้อหาร่า