หลังจากตกอยู่ในภาวะตะลึงเนิ่นนาน จ้าวเหว่ยจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่าแหบต่ำว่า
“ข้าอาจจะเป็นแค่ตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่ในเมื่อแต่งเจ้าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้แล้ว ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม จะอย่างไรข้ายังเป็นบุรุษ เมื่อมีเนื้อเข้าปากย่อมต้องเคี้ยวแล้วกลืนให้อิ่มหนำ”
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพย่ำแย่ทว่าความหยิ่งยโสทะนงตนยังคงมีตามวิสัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ เพราะชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา มีสตรีนับร้อยที่อยากให้เขาครอบครอง
อีกอย่าง...ยามนี้พวกเขาทั้งสองคือสามีภรรยากันแล้ว การพูดจาเยี่ยงนี้ไม่นับเป็นอะไร
ซานซานได้ยินประโยคยาวเหยียดจากสามีถึงกับตกใจ
“หา! ท่านพูดได้หรือ?”
หากจำไม่ผิด ชาวบ้านต่างบอกว่าเขาเป็นใบ้นี่นา อืม...
อีกคราที่ซานซานจ้องมองสามีอย่างพิจารณา
จ้าวเหว่ยหรี่ตามองสตรีตรงหน้าอย่างตำหนิที่นางบังอาจจ้องเขาอย่างถือวิสาสะเช่นนั้น ทว่าอึดใจพลันตระหนักว่าสถานะของตนยามนี้มิใช่องค์รัชทายาทผู้สูงส่ง จึงเอ่ยปากตามตรง
“อันที่จริง ข้าต้องขอโทษเจ้า เมื่อคืนข้าถูกยามอมเมากระตุ้นเร้า จึงไม่อาจยั้งกาย...”
เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้งสั่นพร่าหากแต่แววตากลับสงบนิ่งเผยความสุขุมออกมา
“ถึงแม้จะฟังดูเป็นคำแก้ตัวที่ใช้ไม่ได้ แต่ตัวข้าจักรับผิดชอบเจ้าตลอดไป”
ครานี้เป็นซานซานบ้างที่กะพริบตาปริบๆ พลางพึมพำ
“ควรเป็นข้า ที่ต้องรับผิดชอบท่านถึงจะถูก”
จ้าวเหว่ยได้ฟังยิ่งมองนางตรงหน้าฉงน โทสะสายหนึ่งที่มีก่อนหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง พลางเอ่ยเสียงเบา
“ย่อมเป็นข้าที่ต้องรับผิดชอบ ข้าเป็นบุรุษ เจ้าเป็นสตรี”
ซานซานส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่! ย่อมเป็นข้า”
เรียวคิ้วคมขมวดวูบ ถามเสียงเครียด “อะไรของเจ้า?”
หญิงสาวเลิกคิ้วสูง เอ่ยอย่างไม่ยินยอมว่า “ท่านฟังข้านะ ท่านคือผู้มีพระคุณแต่กลับถูกครอบครัวของข้าใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดข้า และตอนนี้ก็เป็นสามีของข้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ สองสิ่งนี้ก็มากพอแล้วที่ท่านต้องยินยอมให้ข้าได้ดูแลท่าน”
ถึงแม้จะแปลกใจที่สตรีตรงหน้ากล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ หากแต่จ้าวเหว่ยก็ทำเพียงมองอย่างเย็นชา ส่ายหน้าเอือมระอา ไม่ปรารถนาต่อคำใดอีก จึงปฏิเสธด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ใช้ความเงียบสยบนางแทน
ซานซานเห็นเขาเงียบไป จึงคิดว่าสามีเต็มใจยินยอมเป็นคนของนางแล้ว จึงกระหยิ่มยิ้มย่อง ลำพองใจยิ่ง นางกล่าวอีกว่า
“ชาวบ้านเรียกท่านว่ากงหนิว เพราะเห็นว่าท่านทึ่มทื่อไม่ต่างจากวัวตัวผู้ หากแต่ข้ากลับเห็นต่าง”
จ้าวเหว่ยเพียงตกปลาในลำธารอย่างเฉยชา แท้จริงกลับนิ่งฟังฝีปากอันจัดจ้านของใครบางคน
ใครคนนั้นทำท่าขบคิดอย่างลึกซึ้งแล้วเอ่ยอีกว่า “แต่ว่าเมื่อคืนท่านร้อนแรงนัก ข้าว่านามกงหนิวไม่เหมาะกับท่านหรอก”
ผู้ถูกวิจารณ์ว่าร้อนแรงถึงกับสำลักลมหายใจอีกครั้ง ปรายตามองอย่างตำหนิ
นางช่างกล้า!
ซานซานหาได้นำพาสายตาตำหนิจากสามีไม่ แต่กลับตบมือเสียงดังหนึ่งครั้งคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอาอย่างนี้ ต่อไปข้าเรียกท่านว่า เหย่หนิว[1] ดีหรือไม่?”
จ้าวเหว่ยได้ฟังหางตาพลันกระตุก
ซานซานหัวเราะเสียงกังวานแล้วกล่าวอีกครั้ง “ส่วนท่านก็เรียกข้าว่าซานซานนะ เรียกกันแค่สองเรา ตกลงไหม?”
ชายหนุ่มหรี่ตามองไม่ตอบรับใดๆ
หญิงสาวลุกขึ้นยืนกอดอก ทำท่าใหญ่โตโอ้อวดพร้อมแนะนำตัวว่า “ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ปานภูเขา สูงส่งเฉียดน่านฟ้า”
“...”
จ้าวเหว่ยเลิกคิ้ววูบ
นี่เขาแต่งงานกับสตรีแบบใด?
ท่ามกลางแสงแดดยามสาย สตรีชุดครามยืนตระหง่านแผ่นหลังตั้งตรงสะท้อนเงาทอดยาวไปตามยอดหญ้าแลดูงามตาจนน่าแปลกใจ
จ้าวเหว่ยจำได้ ครั้งแรกที่เจอสตรีนางนี้แล้วได้ช่วยเหลือที่ริมน้ำ นางฟื้นขึ้นมาก็ทำได้แค่นอนกะพริบตาเนื้อตัวสั่นเทา ท่าทางตื่นกลัวจนน่าสมเพชตลอดเวลา ไม่พูดไม่จาไม่ขอบคุณแม้ครึ่งคำ
กระทั่งเขาตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินจากมา นางยังตระหนกลนลานรีบร้อนจากไปประหนึ่งเสียขวัญ ราวกับเห็นเขาเป็นภูตผี นางในยามนั้นช่างไร้เสน่ห์ เป็นสตรีที่ไม่น่าเสวนา
แล้วเหตุใดยามนี้...
บุรุษหนุ่มต้องหรี่ตามองพินิจสตรีชุดครามเงียบงัน
เนื่องจากได้รับความชุ่มชื่นจากสามีเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา สตรีนางน้อยจึงมีน้ำมีนวลขึ้นมาก ความเอิบอิ่มที่เพิ่มขึ้นมานี้ ฝ่ายสตรีมิได้รู้สึกตัวสักเท่าใด มีเพียงฝ่ายบุรุษที่สังเกตเห็นได้ กอปรกับท่าทางองอาจผึ่งผายเกินสตรีชาวบ้านธรรมดาและกิริยาเปิดเผยจริงใจ ผิดจากครั้งแรกที่ได้เจอกัน
ยิ่งผิดแผกแปลกตายิ่งเสริมความงดงามแต่เดิมให้เพิ่มเสน่ห์ลึกล้ำอีกมากโข ดวงหน้าอ่อนหวาน แววตากระจ่างใส รอยยิ้มจริงใจ ตรงไปตรงมา สง่าผ่าเผย
จ้าวเหว่ยถึงกับพลั้งเผลอพิศมองซานซานนิ่งนาน ในใจบังเกิดคำถามมากมาย หนึ่งในนั้นคือ
เขาแต่งงานกับสตรีแบบใด?
ส่วนซานซานยังคงยืนนิ่งยกยิ้มมุมปากอย่างสาสมใจ
ในที่สุดข้าก็มีสามีเป็นของตัวเอง ไม่ต้องแย่งใคร หึหึ!
**********[1] 野牛 เหย่หนิว หมายถึง วัวกระทิง
อาหารเช้านี้คือปลาที่สามีกำลังนั่งตกอย่างเฉยชาซานซานมิได้ถือสาท่าทีเย็นชานั่น มีอะไรให้กินก็กินได้ทั้งนั้น ระหว่างรออาหารนางก็เดินสำรวจรอบบ้านอย่างใจเย็น เห็นเรือนเป็นไม้ไผ่ทั้งหลังก็ชั่งใจว่าควรต่อเติมเพิ่มความเข็งแรงอย่างไรดี เผื่อว่าสามีบังเกิดความรักใคร่ภรรยาร้อนแรงยิ่งกว่านี้บ้านอาจจะพังเอาได้ในจังหวะที่เดินวนกลับมาที่หน้าเรือนอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง ซานซานหันหน้าไปมอง ก็เห็นเป็นเจียหรู๋กับอนุจูและชิงลี่ ยังมีเพื่อนบ้านที่เป็นสตรีอีกสี่คนติดตามมาด้วย พวกเขาเดินตรงเข้ามาที่ลานกว้างหน้าเรือนชาวบ้านผิงเหยียนปลูกเรือนตามฐานะ หากยากจนย่อมไม่มีกำแพง บางบ้านกระทั่งรั้วไม้เตี้ยๆ ก็ไม่มีที่นี่ก็เช่นกัน หากมีแขกมาย่อมเข้ามาหาได้โดยสะดวก ทั้งนี้เรือนไม้ไผ่อยู่ห่างไกลอย่างโดดเดี่ยวและกงหนิวก็ไม่เคยมีใครมาหามาก่อน หากนับครั้งแรกที่ผู้คนพากันมาเผาบ้าน ครั้งนี้ก็คือครั้งสองที่มีคนพากันมาเป็นกลุ่มจ้าวเหว่ยกำลังเดินมาทางเรือน หิ้วปลามาด้วยหลายตัวเขาเพียงยืนนิ่งหรี่ตามองอย่างเย็นชา ปกปิดกลิ่นอายสูงศักดิ์อันน่าเกรงขามและตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์และเรือน
แน่นอนว่าคนที่วางแผนบีบคั้นกงหนิวให้รับผิดชอบแต่งงานกับชิงหลิน ย่อมต้องเป็นจางฉวนกับชิงลี่รวมหัวกันหมายกำจัดชิงหลินออกจากชีวิต โดยที่พวกเขาไม่ต้องแบกรับความผิดอันต่ำทรามที่ร่วมกันหักหลังอีกฝ่ายเพียงแต่การแต่งงานครั้งนี้ ยังคงมีคำครหาที่เสื่อมเสียต่อคนบ้านหานตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ว่านางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วหรือไม่ ในคืนที่หายตัวไปเจียหรู๋จึงไม่อาจนิ่งดูดาย กระทั่งออกโรงปกป้องชิงหลินด้วยตนเองเช่นนี้เมื่อซานซานคิดให้ดีอีกทีก็นับว่าสมควรแล้ว ถือเสียว่าช่วยล้างมลทินให้เจ้าของร่างก็แล้วกัน นางกระซิบตอบชิงลี่ทันที“ในเมื่อคำว่าร้ายทั้งหลายต้นสายปลายเหตุล้วนเป็นเพราะเจ้า ก็สมควรแล้วที่เจ้าจะต้องแก้ไข ข้าต้องขอบคุณด้วยรึ?” ประโยคนี้ทำรอยยิ้มชิงลี่แข็งค้างทันใด แววตายังวูบวาบสั่นไหวคล้ายไม่แน่ใจกับคนตรงหน้าซานซานจึงกระตุกมุมปากแสยะยิ้มแลดูเยือกเย็นเพิ่มความสับสนให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องครานี้ชิงลี่พลันผวาเฮือก จ้องมองพี่สาวอย่างตื่นตะลึง เห็นรอยยิ้มชวนสะพรึงก็นึกแปลกใจ นางส่ายหน้าเล็กน้อย ท่าทางไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น พลางเอ่ยพึมพำ “ข้าหวังดีและนับว่ามีบุญคุณกับพี่นะ เหตุใดมองกันเช่นนี้”ชิ
ท่ามกลางเหล่าสตรีที่ลานบ้าน จ้าวเหว่ยเห็นว่าฉากงิ้วตรงหน้าช่างไร้สาระ จึงก้มลงหยิบปลาแล้วเดินตัดผ่านลานบ้านเข้าเรือนด้วยท่าทางเรียบเฉย ใบหน้านิ่งสงบ ทุกกิริยาล้วนไร้อารมณ์ คล้ายว่าทุกคนไม่มีตัวตนและไม่มีค่าพอให้ใส่ใจชิงลี่ลอบมองพี่สาวหลายครา นัยน์ตาคล้ายสับสนระคนไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง นางถามเสียงเบาอย่างเอื้ออาทร“พี่หลินเป็นอะไรหรือ? ไม่สบายหรือเปล่า? พี่ดูผิดปกติไปนะ ข้ารู้สึกเป็นห่วง...”น้องสาวช่างแสดงออกอย่างมีน้ำใจได้อย่างล้นเหลือ คำพูดคำจาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหลือเฟือ ทั้งยังมีเมตตาปรานีต่อพี่สาวเต็มที่แต่ซานซานกลับตอบเสียงเย็น “มารยาสาไถยยิ่ง!”“...!?”อีกครั้งที่ชิงลี่ต้องผงะซานซานหรี่ตากระซิบตอกหน้าน้องสาวอีกว่า “เสแสร้งให้น้อยลงหน่อยเถิด ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าแค่มองยังเหนื่อยแทน”“พะ...พี่หลิน!” ชิงลี่รู้สึกเหมือนเจอผี นางถึงกับพูดจาติดขัดไม่ชัดถ้อยชัดคำ “พี่เป็นอะไรไป? ไยพูดจาเยี่ยงนี้ เมื่อก่อนพี่ไม่เคย...”ซานซานเลิกคิ้วกระตุกมุมปากยกยิ้มยียวนพลางปรายหางตามองไปทางพวกฮูหยินที่กำลังส่งเสียงคุยกัน เห็นไม่มีใครสนใจพวกนางสองพี่น้องทั้งนั้น จึงลอบเอื้อมมือไปหยิ
หลังจากนั้น เจียหรู๋ก็พูดคุยกับบุตรสาวอีกหลายประโยค สอนสั่งเรื่องการครองเรือน ปิดท้ายด้วยการกำชับว่า ต้องกลับไปยกน้ำชาตามประเพณี แสดงความกตัญญู อย่าได้ละเลยไม่นาน...เจียหรู๋ก็พาฮูหยินผู้เป็นพยานทั้งสี่จากไปซานซานยืนมองทุกคนอย่างเย็นชา ในใจให้รู้สึกหงุดหงิดไม่เบาที่ไม่อาจฆ่าใครได้ง่ายดายเหมือนกาลก่อน พวกมันถึงได้เข้ามายุ่มย่ามน่ารำคาญเช่นนี้ชั่วขณะที่กำลังโกรธกรุ่น ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกหนึ่งซานซานรับรู้ได้ว่าร่างนี้ยังคงมีความเจ็บปวดฝังแน่นชิงหลินคนเก่ารักคู่หมั้นนามจางฉวนมาก นางเสียใจมากที่ถูกชายคนรักหักหลัง และที่ตัดสินใจปลิดชีพตนก็เพราะระลึกได้ว่าทุกสิ่งที่ถูกกระทำล้วนเป็นเพราะคนในครอบครัวรวมหัวกันฝ่ามือเรียวเล็กยกขึ้นมากอบกุมที่หน้าอกด้านซ้าย เรียวคิ้วงามขมวดมุ่น หัวใจของซานซานกำลังปวดแปลบยากระงับวิญญาณของนางเข้าร่างชิงหลิน แม้ความคิดสติปัญญาจะเป็นของนาง หากแต่ความรู้สึกแท้จริงของชิงหลินยังคงไหลวนซานซานในยามนี้เป็นชิงหลินอย่างไม่อาจปฏิเสธได้กาลก่อนเรื่องราวเลวร้ายอันใดล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาของซานซาน หากแต่ยามนี้เรื่องยิบย่อยเท่าฝุ่นผงกลับสะกิดบาดแผลในใจของชิงหลินได้อย่า
ถึงแม้ไม่มีวรยุทธ์หรือวิชามารอันใดเหมือนร่างเดิมหากแต่ซานซานในร่างชิงหลินยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับเคล็ดวิชามารทุกอย่างกระทั่งการจัดทำค่ายกลทุกค่าย ยามนี้ค่ายกลแบบง่าย นางจึงสร้างขึ้นมาได้ไม่ยากชาติที่แล้ว ซานซานคือจอมยุทธ์หญิงที่มีฝีมือร้ายกาจ ได้รับฉายาว่านางมารอย่างช่วยไม่ได้พอมาชาตินี้ถึงแม้จะอ่อนแอไปหน่อย หากแต่ออกแรงมากๆ ก็เท่ากับได้ฝึกฝน มือเท้าของร่างกายนี้ยังมีครบ ไม่มีอะไรต้องกังวล ทั้งนี้การสร้างค่ายกลยังนับเป็นการฝึกวิชาเบื้องต้น ซานซานที่ชอบฝึกยุทธ์เป็นทุนเดิมจึงแช่มชื่นในการทำเรื่องเหล่านี้หญิงสาวมีความคิดที่จะเริ่มต้นฝึกยุทธใหม่อีกครั้ง ทำเหมือนเมื่อก่อนที่เริ่มจับกระบี่ฟันดาบตั้งแต่จำความได้เพียงแต่แรกเริ่มที่พยายามออกแรงทำงาน ซานซานถึงกับหมดพลังล้มลง หลังจากพักจนหายเหนื่อย ก็เริ่มทำใหม่ เมื่อไม่ไหวก็หยุดก่อน พอมีแรงขึ้นมาก็ทำใหม่ วนเวียนไปเช่นนั้นยามนี้นางกำลังเดินไปเดินมาระหว่างบ้านกับริมลำธาร ทั้งยังเดินขึ้นลงระหว่างลานหน้าบ้านกับเชิงเขาไม่หยุดหย่อน จากเช้าจรดเย็น เย็นจรดค่ำ กระทั่งทำค่ายกลพื้นฐานเสร็จในหลายวันต่อมา จนร่างกายที่เคยอ่อนแอเริ่มแข็งแรงทีละน้อย กำ
แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่อง ส่งความสว่างลอดผ่านลำไม้ไผ่ ทะลุทะลวงไปทั่วห้องนอนเรือนร่างสูงใหญ่ของจ้าวเหว่ยนอนคว่ำหน้ายาวเหยียดอยู่บนเตียงนอนราวกับปลาตาย ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ความปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างหนา ความระบมแทรกซึมลึกล้ำถึงไขกระดูก ทรมานเจียนตายทว่าจากที่ต้องนอนงอตัวเพราะกระดูกผิดรูปมาเนิ่นนาน บัดนี้ชายหนุ่มกลับนอนได้ตัวตรงนัก เห็นได้ชัดว่ากระดูกของเขาเริ่มจะเข้าที่ดีแล้ว รอเพียงฟื้นตัวเท่านั้นอันที่จริง ตัวเขาสามารถหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาให้ได้ ทว่ากลับมิอาจทำ เพราะมันเสี่ยงเกินไป หากมีข่าวเล็ดลอดออกไปเกี่ยวกับการพาท่านหมอฝีมือสูงส่งมารักษาชายหลังค่อมที่ผิงเหยียน คนอื่นย่อมล่วงรู้ที่ซ่อนตัวของเขา อาจนำมาซึ่งอันตราย มิสู้รอจนเรื่องวุ่นวายเงียบสงบ ตัวเขาค่อยกลับไปรักษาที่วังหลวงก็ยังไม่สายแต่ใครจักคาดคิดว่าเขาจะได้แต่งงานกับสตรีประหลาดยามนี้สตรีประหลาดของจ้าวเหว่ยมิได้อยู่ในห้อง นางออกจากเรือนเพื่อเดินทางขึ้นเขาไปตั้งนานแล้วซานซานเคยฝึกวิชาหมื่นพิษ รู้จักสมุนไพรหลายชนิด ทั้งที่มีคุณและโทษนางล้วนจำได้ จึงคิดจะนำมาเคี่ยวทำยารักษาสามีอย่างต่อเนื่องอุตส่าห์ได้สามีเป็นข
สามีภรรยาย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข มอบให้โดยไม่คำนึงถึงถูกผิด ยิ่งไม่หวังผลตอบแทนกลับมาประโยคนี้ไม่ผิดแต่ประการใด ซานซานจึงดูแลป้อนยาให้สามีเป็นอย่างดี ทั้งดัดกระดูก ยืดเส้นเอ็น กดจุดชีพจร และเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ทำเอาจ้าวเหว่ยต้องอับอายใบหูแดงก่ำ เพราะซานซานเน้นทำความสะอาดบริเวณนั้นมากเป็นพิเศษ จนมันร้อนผะผ่าวแข็งขึงตั้งผงาดมิอาจควบคุมเอาไว้ได้และที่สำคัญ นางยังนั่งจ้องมองเขม็งประหนึ่งเจอสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจทราบ ที่รัชทายาทหนุ่มต้องร่ำร้องหาสวรรค์อยู่ในใจ นึกอับอายที่สุดนับแต่เกิดมานอกจากดูแลอย่างใกล้ชิดสนิทสนมโดยไม่สนใจอาการไม่สมยอมของชายหนุ่ม หญิงสาวยังเดินทางขึ้นลงหุบเขาเพื่อออกหาสมุนไพรมาต้มยาติดต่อกันนานถึงเจ็ดวัน นางทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอเช่นนั้น โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของสามีแน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะทั้งตัวแทบแหลกเหลวด้วยน้ำมือนาง จึงทำได้เพียงนอนนิ่งไร้หนทางขยับคืนนี้คือยาหม้อสุดท้ายสำหรับด่านแรกในการรักษา ซานซานจึงค่อยๆ บรรจงป้อนจ้าวเหว่ยอย่างใจเย็นทีละถ้วยชายหนุ่มกินยารสขมจนแสบคอไปหมด ทรมานสิ้นดี เพราะว่าหญิงผู้นี้
ริมลำธารข้างเรือนไม้ไผ่ในวันนี้อากาศเย็นสบาย ยอดหญ้าพลิ้วไหวโอนเอียงตามลมจ้าวเหว่ยยังคงนั่งตกปลาอย่างเย็นชา ทำตัวธรรมดาเหมือนเช่นเคย ชุดของเขายังคงเป็นผ้าเนื้อหยาบสีหม่น เส้นเสียงยังคงแหบพร่าน่าเกลียด ใบหน้ายังคงมีริ้วรอยแผลเป็นเช่นเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือแผ่นหลังที่เคยงอไหล่งุ้มกลับตั้งตรงงามสง่า พาให้ผู้แอบมองต้องขยี้เบ้าตาอย่างไม่อาจเชื่อชายชุดดำผู้เป็นองครักษ์ลับของรัชทายาทหนุ่มลอบมองแล้วมองอีกอยู่เป็นนาน ก่อนตัดสินใจส่งสัญญาณบางประการจากริมลำธารอีกฝั่งเพราะว่าอู๋เจี๋ยยังไม่สามารถข้ามค่ายกลมรณะเข้าไปได้ถึงแม้ร่างกายก่อนหน้านี้ที่ถูกไม้แหลมของกับดักทิ่มแทงจะรักษาจนหายดีแล้วก็ตามจ้าวเหว่ยเห็นธนูดอกเล็กสีแดงสดถูกยิงมาตกที่ปลายเท้า ก็เข้าใจได้ทันที เขาจึงหรี่ตาเพ่งมองไปยังต้นทางของลูกธนู เห็นอู๋เจี๋ยอยู่ไกลๆ ในทิศตรงกันข้าม กำลังยืนโบกมือประหนึ่งเห็นสวรรค์ อ้าปากพะงาบๆ อ่านได้ว่า‘ช่วยด้วย! กระหม่อมเข้าไปมิได้’ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ก็เข้าใจได้ในเวลาต่อมาเขาปรายสายตามองไปรอบบ้าน เห็นมีลำไผ่ไขว้กันในแนวราบ ท่อนไม้ตั้งชันเรียงราย เถาวัลย์พันเกี่ยวยุ่งเหยิง ยังมีแท่นหินคมกริบ แ
เพราะว่าวันนี้ทั้งวันยังมิได้ออกแรงทำอะไรเลย ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงนอน และที่สำคัญครั้งก่อนคนที่เข้าหอกับสามี มิใช่นางที่เป็นซานซาน แต่เป็นชิงหลินก่อนตายต่างหาก“คิดอะไรอยู่?”เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกับดังมาจากสวรรค์ ฟังแล้วให้รู้สึกทุ้มนุ่มน่าฟังอย่างประหลาดซานซานจึงตอบกลับอย่างเผลอไผล“ข้ากำลังคิดว่าอยากเข้าหอกับท่านอีกครั้งจะได้ไหม?”สิ้นคำถาม พลันได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะในลำคอ“ที่แท้เจ้าก็คิดเช่นนี้”ซานซานพยักหน้าถี่ๆ ดั่งนกกระสา ฉับพลันก็รู้สึกว่าเอวถูกรัดแน่น เห็นดวงตาของสามีชัดเจนนักแม้ว่าใบหน้าเขาจักอัปลักษณ์ ทว่าดวงตากลับเรียวคมทรงพลัง แฝงไปด้วยเสน่ห์มนต์มารอันร้อนแรงที่แสนจะเย้ายวน ยามมองสบสายตายิ่งชวนประหวั่นพรั่นพรึงและหลงใหลได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว กลีบปากนางพลันถูกแตะแต้มแผ่วเบา คล้ายภมรหยอกเย้ากลีบบุปผาอ่อนนุ่ม ซานซานเผลอไผลกระทั่งถูกเรียวปากเขาขบเม้มเนิ่นนานก็ยังไม่รู้ตัวสายลมราตรีพัดผ่าน ฝากความเย็นเยียบเอาไว้รอบทิศ ทว่ากายสาวกลับรู้สึกร้อนผะผ่าวยากระงับริมฝีปากที่ขยับแนบชิดยิ่งนานยิ่งดุดันและร้อนกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจรินรดยิ่งร้อนระอุไม่ต่างจากห
หลังจากกินข้าวจนอิ่มหนำ ซานซานที่นอนมาทั้งวันก็ตื่นตัวเต็มที่ ยิ่งดึกยิ่งสว่างกระจ่างตา ทำตัวราวกับค้างคาวออกหากินกลางคืนซานซานพาจ้าวเหว่ยมานั่งนับดาวอยู่ริมธาร บรรยากาศนับว่าดีไม่น้อย เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาให้พากันดื่มด่ำค่ำคืนแสนหวาน ร่วมชื่นชมจันทรางดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีกาล มีเพียงแสงดาวพร่างพราว ดวงจันทร์กระจ่างกลางนภากว้าง สีเงินยวงสาดแสงลงมากระทบเรือนร่างบุรุษและสตรีที่นั่งเคียงข้างกัน เกิดเป็นเงาสองสายทอดยาวไปตามพื้นหญ้าพวกเขาต่างก็มีความลับซ่อนเร้น หากแต่การแสดงออกซึ่งหน้ากลับไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทั้งกิริยาวาจาล้วนเปิดเผยและจริงใจ นับเป็นสัมพันธ์ที่ดีที่สุดอีกรูปแบบหนึ่งซานซานนั่งมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย บนนั้นมีจันทร์เสี้ยวคล้ายดาบโค้ง หนึ่งในศาสตราวุธที่ทรงพลานุภาพของนางในชาติที่แล้ว“เหย่หนิวรู้จักดาบแสงจันทร์หรือไม่?” หญิงสาวพึมพำ“ดาบแสงจันทร์หรือ?”“อืม...ยังมีดาบวงเดือน แส้หนังโลหิต กระบี่สุริยา กำไลเข็มพิษ วงแหวนพิฆาต ง้าวเหล็กจันทร์เสี้ยว กระบี่สายรัดเอว”อันที่จริงยังมีอีกมาก ชาติก่อนซานซานสามารถเปลี่ยนสิ่งของรอบกายให้กลายเป็นอาวุธร้ายได้ไม่ยากเย
เช้าวันต่อมาซานซานแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนหวาน เตรียมตัวออกนอกบ้านเพื่อไปตลาด เป้าหมายคือติดต่อช่างไม้ ให้ประกอบเครื่องเรือนตามต้องการ เงินที่ได้มาเมื่อวานยังเหลือไว้ซื้อเครื่องเงินบางอย่าง ที่มิใช่เครื่องประดับ แต่กลับนำมาทำเป็นอาวุธลับที่ทรงพลังยามครุ่นคิด ดวงตาหญิงสาวทอประกายชั่วร้ายแวบหนึ่งชั่วจังหวะนั้น พลันถูกนิ้วดีดหน้าผาก “อ่ะ!”“คิดจะทำอะไรอีก?” จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ ลดมือตนที่เคาะหน้าผากมนของซานซานเมื่อครู่ลงมาบีบแก้มอีกหนึ่งที“อ๊ะ!” เจ้าของแก้มอุทานเล็กน้อย เอ่ยตอบอู้อี้ “ข้าจะไปสั่งทำเตียงอรหันต์ กับฉากไม้กั้นลม แล้วก็เดินซื้อของหลายอย่าง”ชายหนุ่มเลิกคิ้วหรี่ตามอง “เจ้าควรเว้นระยะสักหลายวัน ให้เรื่องหมอหญิงปริศนาซาลงก่อน แล้วค่อยไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย น่าจะปลอดภัยมากกว่า”เขาปล่อยนิ้วจากแก้มนวลแล้วสั่งเสียงเย็น“ระหว่างนี้ควรละลายยาแก้พิษทั้งหมดใส่ต้นน้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเกิดโดนพิษขึ้นมาอีก เข้าใจหรือไม่?”ซานซานได้ฟังถึงกับเบิกตาส่งยิ้มแห้ง “อ้อ...ข้าลืมไป”จ้าวเหว่ยทำเสียงดุ “นึกได้แล้วก็ไปจัดการเสียเดี๋ยวนี้”“รู้แล้ว...”ชายหนุ่มยังสั่ง “เสร็จแล้วก็มากิน
ยามสายของวันต่อมา เริ่มมีชาวบ้านเจ็บป่วยเฉียบพลัน อีกหนึ่งวันต่อมาพบว่าหลายคนเริ่มมีอาการเดียวกันจนน่าตกใจ สามวันให้หลังชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันไปหาหมอประจำหมู่บ้านอย่างคับคั่งหนาตา ท่านหมอสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดโรคระบาดชนิดเฉียบพลัน ทว่าไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ล่วงเข้าวันที่สี่ ไม่ว่าท่านหมอจะจัดยาเทียบใดให้คนป่วย ก็ล้วนไร้ผล พวกเขาไม่ดีขึ้นเลย เป็นเช่นนั้นกระทั่งล่วงเข้าวันที่เจ็ด พลันปรากฏว่ามีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกาย นางสวมชุดสีขาวราวเทพเซียน สวมหมวกไผ่สานที่มีผ้าโปร่งคลุมทั้งศีรษะ ใบหน้าคาดผ้าขาวปกปิดเอาไว้มิดชิด เผยเพียงดวงตาดำสนิทที่แสนจะเย็นชา มองไม่ออกว่างดงามปานใด ท่วงท่ายามก้าวเดินพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาจำแลง นางเดินทางมาจากทิศใดมิอาจทราบ ทว่ากลับเสนอตัวว่าสามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้ แรกเริ่มชาวบ้านผิงเหยียนไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จึงมีผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากว่าหากไม่หายก็ขอตายดีกว่า ถ้ารักษาได้ เขาพร้อมมอบเงินให้อย่างงาม คนผู้นั้นเสนอตัวออกมารับเม็ดยาจากสตรีปริศนา กลืนกินเข้าไปเพียงเม็ดเดียว แค่ครึ่งก้านธูปก็หา
ยิ่งดึกลมราตรียิ่งพัดพลิ้ว ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำเนื่องจากวุ่นวายทั้งวัน ตกเย็นยังกินเนื้อเสียจนแน่นท้อง พอพลบค่ำมาหนังตาจึงหนักอึ้ง ซานซานยามนี้จึงหลับใหลประดุจตายไปแล้วบนเตียงเย็นเยียบที่มีผ้าห่มเพียงหนึ่งผืน กำลังมีสตรีนอนพริ้มตาคล้ายสิ้นสติ โดยมีบุรุษนอนขมวดคิ้วจ้องมอง“เจ้าตัวยุ่ง!”จ้าวเหว่ยบ่นออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาปรกเนินอกของซานซาน ปล่อยนางได้หนุนท่อนแขน ซุกซบอกอุ่นของเขาไปเช่นนั้นบนเตียงไม่เล็กไม่ใหญ่จึงมีภรรยากำลังนอนกอดก่ายสามีแล้วหลับฝันดีที่สุดในใต้หล้า หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า แววตาที่มองนาง กำลังเต็มไปด้วยรอยยิ้มชายผู้หนึ่งซึ่งสูงส่งตั้งแต่เกิด เป็นโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังมีรูปโฉมที่ล้ำเลิศงดงามเป็นเอก แต่ไหนแต่ไรมา มีสตรีนับไม่ถ้วนอยากชิดใกล้ อยากสนิทสนม อยากแม้กระทั่งถูกครอบครองทว่าเมื่อต้องปลอมตัวซ่อนกาย แปลงโฉมเป็นชายอัปลักษณ์ อย่าว่าแต่ตีสนิทเพื่อแนบชิดเลย แม้แต่หางตาพวกนางยังไม่เหลียวมอง สำหรับคู่ชีวิตที่สามารถยืนหยัดประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่งกระทั่งแก่เฒ่า พวกเขาล้วนต้องยอมรับกันและกันได้หมดทุกสิ่ง ไม่ว่าด้านดีห
ซานซานกลับเข้าบ้านมาพร้อมม้วนกระดาษหมึกพู่กันครบครันก็ลงมือวาดภาพร่ายอักษรทันทีภายในห้องหับอันคับแคบของเรือนไม้ไผ่ที่ทรุดโทรม มีสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นปล่อยผมดำขลับแผ่สยายเคลียไหล่ กำลังนั่งเขียนอักษรด้วยท่าทางขึงขัง เรียวนิ้วจับพู่กันอย่างมั่นคง ท่วงท่าทรงพลัง ทว่ายามสะบัดพู่กันกลับพลิ้วสบายคล้ายริ้วคลื่นของสายน้ำที่รินไหล ดวงตาที่หลุบลงเห็นเพียงแพขนตางามงอนบนดวงหน้าอ่อนหวาน แต่กระนั้นกลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวเฉียบคมเด่นชัด กลีบปากสีแดงเรื่อที่เม้มแน่นบ่งบอกได้ว่านางจริงจังปานใดมุมห้องห่างออกมาเล็กน้อยมีบุรุษร่างใหญ่ยืนมองนางอย่างเย็นชา สายตาคล้ายจับผิดตลอดเวลา ใบหน้าไร้อารมณ์จ้าวเหว่ยกอดอกมองซานซานอย่างเยือกเย็น สังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งใจเขียนอักษรประหนึ่งจะไปสอบจอหงวน จึงอดใจมิได้ สุดท้ายก็ถามเสียงต่ำ“เจ้าเป็นใครกันแน่?”“หืม...”ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายกดดัน แววตาทอประกายคมกริบ เอ่ยถามอีกครา“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามิใช่ชิงหลิน” เขาหรี่ตา “ใครส่งเจ้ามา?”“หา”“ที่แท้มีเจตนาอะไร?”“...”ซานซานได้ยินก็ชะงักนิ่ง กะพริบตาปริบๆ อึ้งงันครู่ใหญ่จ้าวเหว่ยจับสังเกตนางทุกกิริยาเนิ่นนานทีเดียวกว่
ชั่วจังหวะที่จางฉวนกำลังตกอยู่ในภวังค์อันเนิ่นนาน เสียงของชิงลี่ก็ดังแทรก“ข้าเข้าใจแล้ว พี่หลินกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่ใช่หรือไม่ เพราะได้แต่งงานกับสามียาจกอัปลักษณ์ พี่จึงต้องพัฒนาตนเองเพื่อสามี ผู้อื่นจะได้ไม่ดูถูกไปมากกว่านี้ ช่างดียิ่ง พี่หลิน ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวพี่มากเลย พี่คงรักกงหนิวมากสินะ”กล่าวจบยังยกยิ้มน่ารัก ตอกย้ำเด่นชัดว่าชิงหลินตกต่ำ มีสามีต่ำตม ต้องเร่งพัฒนาตนเองให้ผุดขึ้นจากดินโคลนซานซานตอบรับเสียงเย็น “เรื่องของข้ากับสามีไม่ต้องให้ใครมาบอก ข้าย่อมรักและถนอมเขายิ่งกว่าผู้ใดอยู่แล้ว”เรียวคิ้วคมจึงขมวดวูบ จางฉวนพลันรู้สึกไม่ชอบใจแต่ชิงลี่ได้ฟังยิ่งแช่มชื่น นางหันไปส่งยิ้มให้จางฉวนอย่างไร้เดียงสา เพื่อเป็นการดึงสติชายข้างกายกลับมา ก่อนหันไปมองชิงหลินอีกครั้ง ส่งเสียงสดใสอย่างต่อเนื่องอีกว่า“พี่หลินทำเช่นนี้นับว่าดีแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าเองก็เป็นห่วงพี่อยู่มาก ก่อนหน้านี้พี่ทำผิดกับพี่ฉวนเอาไว้ ต่อไปพี่ต้องทำดีกับกงหนิวให้มาก จะได้เป็นการชดเชย”กล่าวจบก็ส่งยิ้มสว่างไสว ดวงหน้าเรียวเล็กมีแต่ความจริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แต่ความหมายล้วนชัดเจน ว่าชิงหลินทำผิดก
ภายในตลาดกลางหมู่บ้านผิงเหยียนซานซานนำสัตว์ป่ามาขายกับเถ้าแก่ขายเนื้อรายหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อยแค่พอซื้อกระดาษไม่กี่แผ่น กับหมึกและพู่กันเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างยิ่งหญิงสาวจึงเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดตลอดทาง ในใจยังคิดว่าควรหาวิธีชั่วๆ ทำเงินดีกว่า น่าจะได้มากกว่านี้ระหว่างทางกลับบ้านไม้ไผ่ริมธารซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนอื่นๆ สองข้างถนนยามนี้คือชายป่า มีดอกไม้ประดับประดากับต้นไม้ต้นหญ้าทั้งสองฝั่ง เบื้องหลังของซานซานพลันมีเสียงเรียกขาน“พี่ใหญ่”เสียงนั้นฟังดูสดใสร่าเริง นางคือชิงลี่ซานซานในร่างชิงหลินเพียงหันมองอย่างเฉยชานางเห็นน้องสาวผู้น่ารักของชิงหลินกำลังเดินเคียงข้างมากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ผิวพรรณดั่งหยก สวมชุดสีขาวสะอาดราวกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ องคาพยพทั้งห้ารวมกันอย่างลงตัว ดวงตาดอกท้อสะกดใจสตรีเขาคืออดีตคู่หมั้นของชิงหลิน และปัจจุบันก็คือคู่หมั้นของน้องสาวจางฉวน...ทั้งสองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยโดยไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้วว่าสถานะของทั้งคู่คืออะไรในเมื่อพี่สาวเป็นฝ่ายออกเรือนไปก่อนกับชายอื่นเช่นนั้น อดีตคู่หมั้นกับน้องสาวจะ
ยามถูกเรียกขาน จ้าวเหว่ยมิได้เข้าเรือนในทันทีเขาพาร่างเปียกชื้นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทางฝั่งหนึ่งซึ่งห่างจากห้องนอนเล็กน้อย ท่าทางของเขาเฉยชา ไม่สนใจภรรยาผู้เรียกหา ไม่นานก็พาร่างสูงใหญ่ในชุดที่แห้งสนิทแต่เก่าคร่ำเช่นเดิมเข้ามาในห้อง เห็นอีกฝ่ายมิได้มองเขาเลยแม้แต่น้อยเรียวคิ้วบุรุษพลันขมวดวูบ ใบหน้าบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัวทางด้านซานซาน นางมิได้สนใจจ้าวเหว่ย แต่กำลังใช้ถ่านไม้สีดำนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้หน้ากว้าง ขยุกขยิกไม่หยุด ท่าทางลำบากไม่เบาชายหนุ่มยิ่งขมวดคิ้วมุ่น หรี่ตาจ้องมองโดยที่ไม่รู้ตัว จ้าวเหว่ยกำลังคิดว่า เขาควรหากระดาษกับพู่กันมาติดบ้านหลังนี้สักหน่อยหมู่บ้านผิงเหยียนแห่งนี้หากเป็นชาวบ้านชั้นต่ำ ย่อมไม่รู้หนังสือ และเพื่อความแนบเนียน จ้าวเหว่ยจึงมิได้สรรหามาไว้ แม้แต่ม้วนไม้ไผ่ก็ยังไม่มีจึงนับว่าไม่แปลกหากจะหากระดาษหมึกพู่กันในบ้านหลังนี้ไม่ได้แต่ถ้าจะมีก็ถือว่าไม่แปลกอยู่ดีเพราะยามนี้กงหนิวผู้ทึ่มทื่อได้แต่งภรรยาที่รู้หนังสือแล้ว เพียงแต่ราคาของมันค่อนข้างแพงไปสักหน่อย สำหรับชายพิการที่ไม่มีงานทำ วันๆ เอาแต่หากินกับอาหารป่าเช่นนี้ จะเอาเงินที่ใดไปซื้อหาร่า