ท่ามกลางเหล่าสตรีที่ลานบ้าน จ้าวเหว่ยเห็นว่าฉากงิ้วตรงหน้าช่างไร้สาระ จึงก้มลงหยิบปลาแล้วเดินตัดผ่านลานบ้านเข้าเรือนด้วยท่าทางเรียบเฉย ใบหน้านิ่งสงบ ทุกกิริยาล้วนไร้อารมณ์ คล้ายว่าทุกคนไม่มีตัวตนและไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ
ชิงลี่ลอบมองพี่สาวหลายครา นัยน์ตาคล้ายสับสนระคนไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง นางถามเสียงเบาอย่างเอื้ออาทร
“พี่หลินเป็นอะไรหรือ? ไม่สบายหรือเปล่า? พี่ดูผิดปกติไปนะ ข้ารู้สึกเป็นห่วง...”
น้องสาวช่างแสดงออกอย่างมีน้ำใจได้อย่างล้นเหลือ คำพูดคำจาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเหลือเฟือ ทั้งยังมีเมตตาปรานีต่อพี่สาวเต็มที่
แต่ซานซานกลับตอบเสียงเย็น “มารยาสาไถยยิ่ง!”
“...!?”
อีกครั้งที่ชิงลี่ต้องผงะ
ซานซานหรี่ตากระซิบตอกหน้าน้องสาวอีกว่า “เสแสร้งให้น้อยลงหน่อยเถิด ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าแค่มองยังเหนื่อยแทน”
“พะ...พี่หลิน!” ชิงลี่รู้สึกเหมือนเจอผี นางถึงกับพูดจาติดขัดไม่ชัดถ้อยชัดคำ “พี่เป็นอะไรไป? ไยพูดจาเยี่ยงนี้ เมื่อก่อนพี่ไม่เคย...”
ซานซานเลิกคิ้วกระตุกมุมปากยกยิ้มยียวนพลางปรายหางตามองไปทางพวกฮูหยินที่กำลังส่งเสียงคุยกัน เห็นไม่มีใครสนใจพวกนางสองพี่น้องทั้งนั้น จึงลอบเอื้อมมือไปหยิกชิงลี่หนึ่งที
“โอ๊ย! พี่หลินทำอะไร?”
“หยิกเจ้าอย่างไรเล่า นังโง่!”
ซานซานตอบเสียงลอดไรฟันแล้วหยิกแรงๆ อีกหนึ่งที ครานี้ชิงลี่กรีดร้องสุดเสียง เรียกร้องความสนใจจากทุกคน
“กรี๊ด!”
และมันก็ได้ผล ทั้งเจียหรู๋ อนุจูและฮูหยินทุกคนพากันหันหน้ามาทางสองพี่น้องทันที
ชิงลี่รีบเปิดแขนเสื้อให้เจียหรู๋ดู พร้อมร้องไห้โวยวายว่า
“แม่ใหญ่ ท่านแม่ พี่หลินหยิกข้าเจ้าค่ะ”
ท่าทางของนางน่าสงสารมาก ที่แขนมีรอยแดงช้ำ ใบหน้าก็แดงก่ำ น้ำตาไหลนอง
ทำเอาเจียหรู๋ อนุจูและบรรดาฮูหยินต่างพากันมองต้นเหตุอย่างพร้อมเพรียง สายตาตำหนิรุนแรง
ซานซานจึงทำตัวเป็นชิงหลินคนเก่า ลำตัวสั่นเทา กัดกลีบปากแน่น ก่อนเผยอออกแล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า
“ท่านแม่...ข้าไหนเลยจักกล้าทำเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อครู่ข้าเห็นน้องลี่มีริ้วรอยแดงช้ำ ข้าตกใจมากก็เลยดึงแขนนางมาดู ตรงไหล่ก็มี ที่หน้าอกก็มี รอยแดงเป็นจ้ำๆ แปลกมาก แปลกที่สุด”
สีหน้าคนพูดตื่นตระหนกลนลานมาก ทุกคนพร้อมเชื่อ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาชิงหลินทั้งอ่อนแอและโง่เขลา โกหกไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายผู้อื่น แม้แต่มดนางยังไม่เคยตีกระมัง
ทุกคนจึงมองชิงลี่อย่างสงสัยว่าเป็นอันใดถึงมีริ้วรอย
อนุจูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบเปิดเสื้อชิงลี่อย่างลืมตัวหมายดูรอยที่ว่านั่นอย่างเป็นห่วง
ชิงลี่ได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
กระทั่งสาบเสื้อถูกเปิดออก เกือบเห็นริ้วรอยฝากรักจากจางฉวนเมื่อวันก่อน จึงได้สติกลับคืน รีบแก้ตัวว่า
“ท่านแม่ ข้ามิได้เป็นไรเจ้าค่ะ”
“หืม...อะไรกัน?” อนุจูมองชิงลี่อย่างงุนงง “เจ้าเจ็บตรงไหน มีรอยแดงช้ำอะไร เผื่อว่าเจ็บป่วยจะได้แก้ไขทัน”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าแค่ล้อพี่หลินเล่นเท่านั้น”
ซานซานรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “เจ้าล้อพี่เล่นเยี่ยงนี้มิได้นะ ท่านแม่รองรีบดูแลน้องลี่เถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงน้องเหลือเกิน เผื่อนางเป็นโรคร้าย จะได้ไม่แพร่กระจาย”
โดยที่ไม่มีใครสังเกต เจียหรู๋และฮูหยินทั้งสี่พลันตื่นตะลึงถลึงตามองชิงลี่ เผยสีหน้ารังเกียจทันใดเพราะกลัวจะติดโรคร้าย
ส่วนอนุจูยิ่งเร่งมือพยายามเปิดเสื้อของชิงลี่เพื่อมองหารอยแดงอย่างเป็นกังวล
“อื้อ...ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีๆ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”
ชิงลี่รีบดึงเสื้อปิดอย่างรีบร้อนก่อนวิ่งหนีทันที ท่าทางตระหนกคล้ายเจอผี ทำเอาทุกคนได้แต่มองตามอย่างงุนงง บางคนลอบถอยห่างจากอนุจูอย่างระแวง มองด้วยสายตาเดียดฉันท์ สงสัยว่าอาจมีเชื้อโรคลอยวนอยู่ในอากาศ
อนุจูหันมามองบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววโกรธกรุ่นมากนัก ไร้ท่าทางสงบเสงี่ยมเช่นคราแรก ก่อนจะสะบัดชายผ้าวิ่งตามบุตรสาวของตนไป
หลังจากนั้น เจียหรู๋ก็พูดคุยกับบุตรสาวอีกหลายประโยค สอนสั่งเรื่องการครองเรือน ปิดท้ายด้วยการกำชับว่า ต้องกลับไปยกน้ำชาตามประเพณี แสดงความกตัญญู อย่าได้ละเลยไม่นาน...เจียหรู๋ก็พาฮูหยินผู้เป็นพยานทั้งสี่จากไปซานซานยืนมองทุกคนอย่างเย็นชา ในใจให้รู้สึกหงุดหงิดไม่เบาที่ไม่อาจฆ่าใครได้ง่ายดายเหมือนกาลก่อน พวกมันถึงได้เข้ามายุ่มย่ามน่ารำคาญเช่นนี้ชั่วขณะที่กำลังโกรธกรุ่น ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกหนึ่งซานซานรับรู้ได้ว่าร่างนี้ยังคงมีความเจ็บปวดฝังแน่นชิงหลินคนเก่ารักคู่หมั้นนามจางฉวนมาก นางเสียใจมากที่ถูกชายคนรักหักหลัง และที่ตัดสินใจปลิดชีพตนก็เพราะระลึกได้ว่าทุกสิ่งที่ถูกกระทำล้วนเป็นเพราะคนในครอบครัวรวมหัวกันฝ่ามือเรียวเล็กยกขึ้นมากอบกุมที่หน้าอกด้านซ้าย เรียวคิ้วงามขมวดมุ่น หัวใจของซานซานกำลังปวดแปลบยากระงับวิญญาณของนางเข้าร่างชิงหลิน แม้ความคิดสติปัญญาจะเป็นของนาง หากแต่ความรู้สึกแท้จริงของชิงหลินยังคงไหลวนซานซานในยามนี้เป็นชิงหลินอย่างไม่อาจปฏิเสธได้กาลก่อนเรื่องราวเลวร้ายอันใดล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาของซานซาน หากแต่ยามนี้เรื่องยิบย่อยเท่าฝุ่นผงกลับสะกิดบาดแผลในใจของชิงหลินได้อย่า
ถึงแม้ไม่มีวรยุทธ์หรือวิชามารอันใดเหมือนร่างเดิมหากแต่ซานซานในร่างชิงหลินยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับเคล็ดวิชามารทุกอย่างกระทั่งการจัดทำค่ายกลทุกค่าย ยามนี้ค่ายกลแบบง่าย นางจึงสร้างขึ้นมาได้ไม่ยากชาติที่แล้ว ซานซานคือจอมยุทธ์หญิงที่มีฝีมือร้ายกาจ ได้รับฉายาว่านางมารอย่างช่วยไม่ได้พอมาชาตินี้ถึงแม้จะอ่อนแอไปหน่อย หากแต่ออกแรงมากๆ ก็เท่ากับได้ฝึกฝน มือเท้าของร่างกายนี้ยังมีครบ ไม่มีอะไรต้องกังวล ทั้งนี้การสร้างค่ายกลยังนับเป็นการฝึกวิชาเบื้องต้น ซานซานที่ชอบฝึกยุทธ์เป็นทุนเดิมจึงแช่มชื่นในการทำเรื่องเหล่านี้หญิงสาวมีความคิดที่จะเริ่มต้นฝึกยุทธใหม่อีกครั้ง ทำเหมือนเมื่อก่อนที่เริ่มจับกระบี่ฟันดาบตั้งแต่จำความได้เพียงแต่แรกเริ่มที่พยายามออกแรงทำงาน ซานซานถึงกับหมดพลังล้มลง หลังจากพักจนหายเหนื่อย ก็เริ่มทำใหม่ เมื่อไม่ไหวก็หยุดก่อน พอมีแรงขึ้นมาก็ทำใหม่ วนเวียนไปเช่นนั้นยามนี้นางกำลังเดินไปเดินมาระหว่างบ้านกับริมลำธาร ทั้งยังเดินขึ้นลงระหว่างลานหน้าบ้านกับเชิงเขาไม่หยุดหย่อน จากเช้าจรดเย็น เย็นจรดค่ำ กระทั่งทำค่ายกลพื้นฐานเสร็จในหลายวันต่อมา จนร่างกายที่เคยอ่อนแอเริ่มแข็งแรงทีละน้อย กำ
แสงแดดรุ่งอรุณสาดส่อง ส่งความสว่างลอดผ่านลำไม้ไผ่ ทะลุทะลวงไปทั่วห้องนอนเรือนร่างสูงใหญ่ของจ้าวเหว่ยนอนคว่ำหน้ายาวเหยียดอยู่บนเตียงนอนราวกับปลาตาย ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ความปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วร่างหนา ความระบมแทรกซึมลึกล้ำถึงไขกระดูก ทรมานเจียนตายทว่าจากที่ต้องนอนงอตัวเพราะกระดูกผิดรูปมาเนิ่นนาน บัดนี้ชายหนุ่มกลับนอนได้ตัวตรงนัก เห็นได้ชัดว่ากระดูกของเขาเริ่มจะเข้าที่ดีแล้ว รอเพียงฟื้นตัวเท่านั้นอันที่จริง ตัวเขาสามารถหาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาให้ได้ ทว่ากลับมิอาจทำ เพราะมันเสี่ยงเกินไป หากมีข่าวเล็ดลอดออกไปเกี่ยวกับการพาท่านหมอฝีมือสูงส่งมารักษาชายหลังค่อมที่ผิงเหยียน คนอื่นย่อมล่วงรู้ที่ซ่อนตัวของเขา อาจนำมาซึ่งอันตราย มิสู้รอจนเรื่องวุ่นวายเงียบสงบ ตัวเขาค่อยกลับไปรักษาที่วังหลวงก็ยังไม่สายแต่ใครจักคาดคิดว่าเขาจะได้แต่งงานกับสตรีประหลาดยามนี้สตรีประหลาดของจ้าวเหว่ยมิได้อยู่ในห้อง นางออกจากเรือนเพื่อเดินทางขึ้นเขาไปตั้งนานแล้วซานซานเคยฝึกวิชาหมื่นพิษ รู้จักสมุนไพรหลายชนิด ทั้งที่มีคุณและโทษนางล้วนจำได้ จึงคิดจะนำมาเคี่ยวทำยารักษาสามีอย่างต่อเนื่องอุตส่าห์ได้สามีเป็นข
สามีภรรยาย่อมช่วยเหลือกันโดยไร้เงื่อนไข มอบให้โดยไม่คำนึงถึงถูกผิด ยิ่งไม่หวังผลตอบแทนกลับมาประโยคนี้ไม่ผิดแต่ประการใด ซานซานจึงดูแลป้อนยาให้สามีเป็นอย่างดี ทั้งดัดกระดูก ยืดเส้นเอ็น กดจุดชีพจร และเช็ดทำความสะอาดร่างกาย ทำเอาจ้าวเหว่ยต้องอับอายใบหูแดงก่ำ เพราะซานซานเน้นทำความสะอาดบริเวณนั้นมากเป็นพิเศษ จนมันร้อนผะผ่าวแข็งขึงตั้งผงาดมิอาจควบคุมเอาไว้ได้และที่สำคัญ นางยังนั่งจ้องมองเขม็งประหนึ่งเจอสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจทราบ ที่รัชทายาทหนุ่มต้องร่ำร้องหาสวรรค์อยู่ในใจ นึกอับอายที่สุดนับแต่เกิดมานอกจากดูแลอย่างใกล้ชิดสนิทสนมโดยไม่สนใจอาการไม่สมยอมของชายหนุ่ม หญิงสาวยังเดินทางขึ้นลงหุบเขาเพื่อออกหาสมุนไพรมาต้มยาติดต่อกันนานถึงเจ็ดวัน นางทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอเช่นนั้น โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของสามีแน่นอนว่าจ้าวเหว่ยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะทั้งตัวแทบแหลกเหลวด้วยน้ำมือนาง จึงทำได้เพียงนอนนิ่งไร้หนทางขยับคืนนี้คือยาหม้อสุดท้ายสำหรับด่านแรกในการรักษา ซานซานจึงค่อยๆ บรรจงป้อนจ้าวเหว่ยอย่างใจเย็นทีละถ้วยชายหนุ่มกินยารสขมจนแสบคอไปหมด ทรมานสิ้นดี เพราะว่าหญิงผู้นี้
ริมลำธารข้างเรือนไม้ไผ่ในวันนี้อากาศเย็นสบาย ยอดหญ้าพลิ้วไหวโอนเอียงตามลมจ้าวเหว่ยยังคงนั่งตกปลาอย่างเย็นชา ทำตัวธรรมดาเหมือนเช่นเคย ชุดของเขายังคงเป็นผ้าเนื้อหยาบสีหม่น เส้นเสียงยังคงแหบพร่าน่าเกลียด ใบหน้ายังคงมีริ้วรอยแผลเป็นเช่นเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือแผ่นหลังที่เคยงอไหล่งุ้มกลับตั้งตรงงามสง่า พาให้ผู้แอบมองต้องขยี้เบ้าตาอย่างไม่อาจเชื่อชายชุดดำผู้เป็นองครักษ์ลับของรัชทายาทหนุ่มลอบมองแล้วมองอีกอยู่เป็นนาน ก่อนตัดสินใจส่งสัญญาณบางประการจากริมลำธารอีกฝั่งเพราะว่าอู๋เจี๋ยยังไม่สามารถข้ามค่ายกลมรณะเข้าไปได้ถึงแม้ร่างกายก่อนหน้านี้ที่ถูกไม้แหลมของกับดักทิ่มแทงจะรักษาจนหายดีแล้วก็ตามจ้าวเหว่ยเห็นธนูดอกเล็กสีแดงสดถูกยิงมาตกที่ปลายเท้า ก็เข้าใจได้ทันที เขาจึงหรี่ตาเพ่งมองไปยังต้นทางของลูกธนู เห็นอู๋เจี๋ยอยู่ไกลๆ ในทิศตรงกันข้าม กำลังยืนโบกมือประหนึ่งเห็นสวรรค์ อ้าปากพะงาบๆ อ่านได้ว่า‘ช่วยด้วย! กระหม่อมเข้าไปมิได้’ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ก็เข้าใจได้ในเวลาต่อมาเขาปรายสายตามองไปรอบบ้าน เห็นมีลำไผ่ไขว้กันในแนวราบ ท่อนไม้ตั้งชันเรียงราย เถาวัลย์พันเกี่ยวยุ่งเหยิง ยังมีแท่นหินคมกริบ แ
ทางด้านอีกฝั่งหนึ่งของริมลำธาร หญิงสาวที่กำลังถูกกล่าวถึงยามนี้นั่งนิ่งอยู่ภายในเรือนไม้ไผ่ซานซานยามนี้กำลังลอบฝึกลมปราณอยู่บนเตียงตั้งแต่ขั้นแรก นางในชาติก่อนมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ผงาดกล้าสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ไม่กลัวนรกไม่เกรงสวรรค์แต่นางในชาตินี้ที่ถูกอาจารย์ลงทัณฑ์ ไม่มีดีอันใดเลย มีแค่หน้าตาที่งดงามหมดจด และมีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นมนุษย์ผู้หนึ่งจะมีดีแค่หน้าตาได้อย่างไร ซานซานรู้สึกไม่พึงพอใจเอาเสียเลย นางโลภมากยากระงับ ทั้งยังทะยานอยากในวิชามารเช่นกาลก่อน นิสัยโฉดชั่วยังคงติดตัวฝังร่างหยั่งลึกในจิตวิญญาณ เมื่อร่างกายนี้ไม่พร้อม นางย่อมทำให้พร้อมด้วยตนเองอาจารย์! ขอบคุณที่ไม่ทำลายเคล็ดวิชามารในสมองข้า ต่อไปศิษย์ขอสัญญาว่าจะไม่แย่งชิงคนรักผู้อื่นให้เสื่อมเกียรติอีกนี่คือปณิธานของซานซานในชาตินี้ระหว่างที่กำลังเริ่มต้นฝึกทุกสิ่งใหม่ตั้งแต่ต้นอย่างขยันขันแข็ง ในใจพลันคิดไปถึงสามีนางและเขาคล้ายแตกต่างแต่กลับเหมือนกันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ตัวนางต้องการฝึกยุทธ์แต่ร่างกายนี้กลับไม่มีกระทั่งลมปราณส่วนสามีสัดส่วนพื้นฐานดียิ่ง แต่ถูกทำลายวรยุทธ์ไปสิ้นเช่นนั้นเราสองสามีภรรยาควรฝึก
ยามถูกเรียกขาน จ้าวเหว่ยมิได้เข้าเรือนในทันทีเขาพาร่างเปียกชื้นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทางฝั่งหนึ่งซึ่งห่างจากห้องนอนเล็กน้อย ท่าทางของเขาเฉยชา ไม่สนใจภรรยาผู้เรียกหา ไม่นานก็พาร่างสูงใหญ่ในชุดที่แห้งสนิทแต่เก่าคร่ำเช่นเดิมเข้ามาในห้อง เห็นอีกฝ่ายมิได้มองเขาเลยแม้แต่น้อยเรียวคิ้วบุรุษพลันขมวดวูบ ใบหน้าบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัวทางด้านซานซาน นางมิได้สนใจจ้าวเหว่ย แต่กำลังใช้ถ่านไม้สีดำนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้หน้ากว้าง ขยุกขยิกไม่หยุด ท่าทางลำบากไม่เบาชายหนุ่มยิ่งขมวดคิ้วมุ่น หรี่ตาจ้องมองโดยที่ไม่รู้ตัว จ้าวเหว่ยกำลังคิดว่า เขาควรหากระดาษกับพู่กันมาติดบ้านหลังนี้สักหน่อยหมู่บ้านผิงเหยียนแห่งนี้หากเป็นชาวบ้านชั้นต่ำ ย่อมไม่รู้หนังสือ และเพื่อความแนบเนียน จ้าวเหว่ยจึงมิได้สรรหามาไว้ แม้แต่ม้วนไม้ไผ่ก็ยังไม่มีจึงนับว่าไม่แปลกหากจะหากระดาษหมึกพู่กันในบ้านหลังนี้ไม่ได้แต่ถ้าจะมีก็ถือว่าไม่แปลกอยู่ดีเพราะยามนี้กงหนิวผู้ทึ่มทื่อได้แต่งภรรยาที่รู้หนังสือแล้ว เพียงแต่ราคาของมันค่อนข้างแพงไปสักหน่อย สำหรับชายพิการที่ไม่มีงานทำ วันๆ เอาแต่หากินกับอาหารป่าเช่นนี้ จะเอาเงินที่ใดไปซื้อหาร่า
ภายในตลาดกลางหมู่บ้านผิงเหยียนซานซานนำสัตว์ป่ามาขายกับเถ้าแก่ขายเนื้อรายหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อยแค่พอซื้อกระดาษไม่กี่แผ่น กับหมึกและพู่กันเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างยิ่งหญิงสาวจึงเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดตลอดทาง ในใจยังคิดว่าควรหาวิธีชั่วๆ ทำเงินดีกว่า น่าจะได้มากกว่านี้ระหว่างทางกลับบ้านไม้ไผ่ริมธารซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนอื่นๆ สองข้างถนนยามนี้คือชายป่า มีดอกไม้ประดับประดากับต้นไม้ต้นหญ้าทั้งสองฝั่ง เบื้องหลังของซานซานพลันมีเสียงเรียกขาน“พี่ใหญ่”เสียงนั้นฟังดูสดใสร่าเริง นางคือชิงลี่ซานซานในร่างชิงหลินเพียงหันมองอย่างเฉยชานางเห็นน้องสาวผู้น่ารักของชิงหลินกำลังเดินเคียงข้างมากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ผิวพรรณดั่งหยก สวมชุดสีขาวสะอาดราวกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ องคาพยพทั้งห้ารวมกันอย่างลงตัว ดวงตาดอกท้อสะกดใจสตรีเขาคืออดีตคู่หมั้นของชิงหลิน และปัจจุบันก็คือคู่หมั้นของน้องสาวจางฉวน...ทั้งสองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยโดยไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้วว่าสถานะของทั้งคู่คืออะไรในเมื่อพี่สาวเป็นฝ่ายออกเรือนไปก่อนกับชายอื่นเช่นนั้น อดีตคู่หมั้นกับน้องสาวจะ
ซานซานปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตนพลางเอ่ยเนิบช้า“ในเมื่อเจ้าล่วงรู้วิชาของข้า และข้าก็ล่วงรู้วิชาของเจ้า เกรงว่าสองเราคงเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกระมัง”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซานซานก็นิ่งคิดชั่วครู่ไม่ถูก! เคล็ดวิชานี้ เป็นนางที่คิดค้นไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันได้อย่างไร นางควรเป็นอาจารย์ทวดของอีกฝ่ายถึงจะถูกต้อง!คิดเสร็จหญิงสาวก็โบกมือไม่ถือสา กล่าวเสียงเรียบว่า“เอาล่ะๆ นางมารเช่นเจ้ากล้าปลอมตัวเป็นนางรำเข้ามาในงานของวังหลวง คงถูกว่าจ้างมากระมัง จะสังหารใครรึ?”ประหนึ่งคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หยุนผิงยิ่งอึ้งตะลึงงัน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ เล็บแหลมคมเริ่มหดกลับเข้ามาในเนื้อ ผิวกายที่มีอักขระน่ากลัวค่อยๆ เลือนหาย ท้ายที่สุดนัยน์ตาสีแดงปานโลหิตก็ดำขลับเช่นเดิม เผยความงดงามหยาดเยิ้มดุจเดิมเพราะเคล็ดวิชาในตำนานมีเพียงอาจารย์ทวดต้นตำรับเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าวิชาที่ตกทอดเป็นเพียงหนึ่งในวิชาใดหยุนผิงคุกเข่ากระแทกพื้นเรียกซานซานเสียงสั่นเครือ “ท่านอาจารย์ทวด...”ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หางคิ้วก็อดกระตุกมิได้ “เรียกเสียแก่เลยเชียว เรียกแค่อาจารย์หญิงก็พอกระมัง”หยุนผิงยืน
ค่ำคืนยาวนาน งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปจ้าวเหว่ยนั่งลงมองเพียงปลายนิ้วมือที่ไล้วนจอกเหล้าด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้ง รอเวลาอันเชื่องช้าเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน ในใจคิดถึงแต่ใครบางคนอันเป็นรางวัลแห่งค่ำคืนและแล้วภายใต้ใบหน้าอันแสนจะเย็นชา รัชทายาทหนุ่มพลันได้แผนการใหม่ในการจัดการกับภรรยาในใจปรารถนาให้สิ้นสุดงานเลี้ยงโดยไวการเสวนาโต้ตอบระหว่างฮ่องเต้กับบรรดาขุนนางยังคงมีไม่ขาดสาย พร้อมเชื้อเชิญกึ่งท้าประชันฝีมือระหว่างตระกูลด้วยการนำเสนอความสามารถของบุคคลชั้นสูงคุณหนูแต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้ออกมาแสดงฝีมือกลางลานกว้าง เปลี่ยนทุกการแสดงจากการมอบความสำราญเป็นแสดงความสามารถอันหาได้ยากยิ่งแทน มีทั้งการบรรเลงพิณ แต่งโคลงต่อกลอน และร่ายรำเมื่อการแสดงรอบนี้เป็นสตรีชั้นสูง กระทั่งการร่ายรำบิดเอวส่ายสะโพกจึงมิใช่เป็นการแสดงชั้นต่ำ อีกทั้งยังสูงส่งเทียมฟ้าทุกนางล้วนงดงามสะกดสายตา ยิ่งชาติตระกูลสูงศักดิ์ ยิ่งกลายร่างเป็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าแต่ละนางอวดโฉมในด้านที่ดีที่สุดให้องค์รัชทายาทได้ยล พยายามดึงดูดเขาด้วยรูปโฉมและฝีมือในศาสตร์ทุกแขนงเวลาแห่งค่ำคืนค่อยๆ ดำเนินไปช้าๆ ระหว่างนั้นซานซานก็กล
บรรดาคุณหนูในงานต่างโล่งใจที่เป็นซานซาน เพราะสตรีผู้นี้ย่อมไม่อาจได้รับสิทธิ์ปีนเตียงรัชทายาท หรือต่อให้ร่วมวสันต์จริง ก็ยังต้องเป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียงไร้ค่า บนแท่นประทับ โอรสสวรรค์ยังคงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระองค์ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ ในเมื่อประกาศแล้วว่าจะมอบรางวัลให้บุตรชาย ก็ควรต้องเป็นไป “เช่นนั้น เจ้า...” ฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางซานซาน “รั้งอยู่...”เบื้องหน้าคือองค์จักรพรรดิผู้มีอำนาจล้นฟ้า ถัดมายังเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง รอบด้านยังมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์ ซานซานที่เป็นสตรีผู้น้อยต้อยต่ำมีหรือจะปฏิเสธได้ หญิงสาวจึงยอบกายแนบพื้นน้อมรับเสียงเบา มิอาจเป็นอื่นสิ้นคำตรัสฮ่องเต้ จ้าวเหว่ยเพียงตอบรับเสียงเรียบ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ครานี้หลี่กุ้ยเฟยคลายหัวคิ้ว ยกยิ้มงาม เพราะเป็นซานซานย่อมดีกว่านางรำแปลกหน้า คนกันเองทั้งนั้น ไว้ใจได้เหตุที่หลี่ฮุ่ยเยี่ยนไว้ใจซานซานมิใช่เพียงแค่นั้น แต่เป็นเพราะซานซานชอบเพียงเงินทอง ไม่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งรัชทายาทของจ้าวเหว่ยแน่นอนปราศจากเสียงคัดค้าน มีเพียงสายตายอมรับได้ รอบด้านมิได้ริษยาซานซานเทียบเท่าหยุนผิงที่งามเลิศล้ำ สายตาคล้าย
บนแท่นประทับมังกร ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีด้านหลัง“พาแม่นางฮวาไคไปพำนักในห้อง รอพาตัวเข้าวังบูรพา”ขันทีค้อมกายน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยวาจาเหล่านี้ยังคงเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเหว่ยเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืนประสานมือแล้วเอ่ยกับพระบิดาทันที“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึงใจกับรางวัลในค่ำคืนนี้ เพียงแต่สตรีที่ปรบมือให้ หาใช่แม่นางผู้นั้นไม่ รางวัลก็ควรเปลี่ยนไป เป็นนางผู้นี้”ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ปรายพระเนตรมองบุตรชาย “หืม?”โซวอ๋องชะงักนิ่ง หยุนผิงยอบกายแข็งค้างจ้าวเหว่ยเน้นอีกครั้งปรายสายตาไปทางซานซาน“เป็นนางพ่ะย่ะค่ะ”ยามนั้นทุกคนถึงได้สังเกตเห็นซานซานที่เดิมทีคล้ายวิญญาณ ประหนึ่งหมอกควันที่เห็นเพียงเลือนลางเวลาก่อนหน้านี้นับว่าเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวถูกความงามของหยุนผิงบดบังเอาไว้จนมิดชิดนางแค่อยู่ตามธรรมเนียมเพื่อรอรับรางวัล มิคาดฝันว่าจักกลายเป็นรางวัลเสียเอง...โซวอ๋องให้นึกกังขา จึงปรับสีหน้าตึงเครียดให้ราบเรียบดุจเดิมพลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มเผยแววหยอกเอินว่า“การแสดงชุดใหญ่เพียงนี้ เหตุใดนางถึงได้รับความชอบเพียงผู้เดียวเล่า มีสิ่งใดพิเศษกระนั้
การตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้ราวกับเป็นเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึก โดยมีซานซานทำตัวคล้ายหมอกมารไอปีศาจไร้ตัวตน นางคอยควบคุมบงการทุกคนได้อย่างเหนือชั้น ไร้ใครสังเกตและต้านทาน เครื่องมือคือหยุนผิงผู้โดดเด่นและนางรำทั้งหลายที่งดงามพร้อมครอบครองดลบันดาลเนิ่นนานผ่านไปเสียงพิณค่อยๆ แผ่วจาง แล้วหยุดลงในที่สุด ทุกคนพลันบังเกิดความรู้สึกนึกคะนึงหา มิอาจแยกจาก หากเพลงพิณรุนแรงกว่านี้เกรงว่าพวกเขาคงน้ำตาไหลพรากทว่าเมื่อได้สติกลับคืนปรากฏว่านางรำสิบกว่าคนกำลังพากันทยอยกรีดกรายจากไปคล้ายหมู่ภมรอิ่มน้ำหวานกลับถิ่น พริบตาคงเหลือเพียงมือพิณสองนางยอบกายแนบพื้นนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นต้าถัง ผู้ดีดพิณย่อมอยู่ต่อเพื่อรอรับรางวัลจากผู้ชมชั่วขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องมนต์จนเงียบงัน ยามนั้นองค์รัชทายาทพลันได้สติกลับมาคนแรกชายหนุ่มคล้ายหลุดจากท่าทีสุขุมนุ่มลึกอันเย็นชาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วปรบมืออย่างช้าๆ เผยสีหน้าชื่นชมอารมณ์ดี ท่าทางประหนึ่งถูกครอบงำตราตรึงจากบางสิ่งจ้าวเหว่ยผู้ไม่เคยให้ความสนใจในการแสดงครั้งใดกลับแสดงว่าชมชอบการแสดงชุดนี้จนออกนอกหน้า ทุกคนจึงได้รู้ตัวได้สติกลับคืนมา
ยิ่งคิดเรียวคิ้วบุรุษยิ่งขมวดมุ่นจนเป็นปมยากคลายตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันแช่มชื่นรอบกายเต็มทีหากปล่อยให้ซานซานเข้าใจผิดเรื่องเหย่หนิวต่อไป บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย อย่างน้อยนางย่อมไม่ถูกเพ่งเล็ง ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเสด็จแม่ต่อไปให้อู๋เจี๋ยได้รับผลกรรมเป็นเหย่หนิว ถูกซานซานเกลียดชัง ถูกคนรักเข้าใจผิดมหันต์ไปเช่นนั้น รอจนกว่าซานซานหายโกรธ เขาย่อมปล่อยอู๋เจี๋ยออกมาส่วนตัวเขาก็จะกลายเป็นชายหนุ่มคนใหม่ที่เข้าหานาง เป็นรัชทายาทสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อม เหนือชั้นกว่าเหย่หนิวทุกอย่างส่วนหลิ่งเอ๋อร์ก็เป็นองค์หญิงตัวน้อยช่วยกุมหัวใจของเสด็จแม่อยู่อีกทางให้เวลาบ่มเพาะความรักขึ้นมาใหม่แอบคบหากันไปก่อน รอกระทั่งเขาได้ขึ้นครองราชย์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดค่อยว่ากันภายใต้สีหน้าราบเรียบเฉยชาไร้อารมณ์ รัชทายาทหนุ่มยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดังมีไฟสุมอยู่ในทรวงอก จนเลือดเดือดพล่าน เพราะเรื่องแรกที่เขาคิดการณ์ คือต้องจัดการซานซานให้ได้ก่อนดูเถิดว่าเขาจะเกี้ยวนางได้หรือไม่?ขณะที่จ้าวเหว่ยได้ข้อสรุปที่เรียกได้ว่าชั่วร้ายเพื่อภรรยา เสียงปรบมือเปิดงานด้วยการแสดงจากหอนางรำเลื่องชื่อก็เริ่มขึ้นสตรีงดงาม
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่นมีการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ องค์ชาย องค์หญิง ขุนนางทั้งหลายฝ่ายบุรุษต่างมีสีหน้ารื่นรมย์เพราะถือเป็นโอกาสได้สำเริงสำราญเต็มที่ มีสตรีงดงามให้ได้ยล ทั้งยังสูงส่งมากความสามารถฝ่ายสตรียิ่งเบิกบานเพราะได้เปิดหูเปิดตาร่วมประชันโฉมและแสดงฝีมือหลังจากที่ต้องอดทนบ่มเพาะตัวตนแค่ในเรือนหัวข้อที่เสวนาล้วนแต่เป็นการสรรเสริญเยินยอประจบสอพลอ ยังมีต่อด้วยการโต้ตอบไปมาระหว่างอริที่เสแสร้งเป็นพันธมิตรนอกจากนั้นเรื่องที่คุยกันก็ไม่พ้นว่าบุตรชายหรือบุตรสาวบ้านใดเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน อายุเท่าไหร่มีความสามารถอันใด พร้อมออกเรือนหรือไม่ท่ามกลางถ้อยวาจาและเสียงหัวเราะที่แลกเปลี่ยนกัน มีเพียงบุรุษชุดม่วงขลิบทองยังคงเก็บอาการเบื่อหน่ายต่องานเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึกใบหน้าหล่อเหลาซ่อนความเย็นชาในดวงตาคู่ดำด้วยการหลุบลงต่ำมองเพียงปลายนิ้วที่ไล้วนบนจอกเหล้าในมือขณะยกขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ ในใจของจ้าวเหว่ยที่เคยราบเรียบบัดนี้คล้ายมีระลอกคลื่นบางเบาเมื่อนึกถึงเรื่องราวบางประการภาพภายในห้องขังคุกหลวงอันมืดมิดปราศจากผู้อื่น ยามที่เจี้ยนจื้อห
หญิงสาวนางหนึ่งอายุราวยี่สิบปีค่อยๆ เผยโฉมออกมาจากกลุ่ม แล้วถามว่า “เจ้าคือคนของวังหลวงใช่หรือไม่? คิดใช้อำนาจข่มเหงพวกเราหรือไร?”ซานซานขมวดคิ้ววูบ “ข้ามิใช่คนของใครทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลใดต้องข่มเหงเจ้า แค่มีวิธีดีๆ ให้ได้เงินง่ายๆ แบบทั่วถึงกัน”หญิงสาวคนเดิมจึงเดินมายืนประจันหน้ากับซานซาน นางมีผิวขาวราวหิมะ แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางเผยสัดส่วนชัดเจน ใบหน้ารูปไข่งดงามอ่อนหวานเย้ายวนอย่างที่สุด สะคราญโฉมพิลาศล้ำยิ่งกว่าองค์หญิงต้าถังด้วยซ้ำหญิงงามกล่าวกับซานซานด้วยน้ำเสียงแว่วหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า “ข้านามว่าหยุนผิง มือพิณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงฝีมือ ข้าได้รับความโปรดปรานที่สุด เรียกเงินได้มากที่สุด แต่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการเอาตัวรอดจากขุนนางบางคนที่คิดจะติดพันเพื่อซื้อตัวเข้าจวนที่สุดเช่นกัน หากเจ้าช่วยให้ข้าลดความเสี่ยงตรงนั้นได้ โดยที่ค่าตอบแทนไม่ลดลงจากที่เคยรับ ข้าก็ยินดีมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวทุกคนในที่นี้ของข้าให้เจ้า”“พี่ผิง!” นางรำทุกคนอุทานอย่างตกใจหยุนผิงยกมือห้ามบรรดาน้องสาวมิให้โวยวาย แล้วกล่าวต่ออย่างใจเย็น “แต่หากเจ้าทำมิได้ ด้วยความงามของข้า รวมกับการได้รับเชิญขึ้นแสดงเพลงพิณ
ซึ่งแท้จริงแล้ว ใครสูงใครต่ำ ซานซานมิได้สนใจ เพียงแต่การถูกจัดลำดับให้ขึ้นแสดงต่างหาก ที่ทำให้หงุดหงิดเพราะนักแสดงมืออาชีพในห้องนี้ถูกสั่งให้แสดงหลังจากคุณหนูในงานแสดงจนหมดแล้วทุกคน และที่สำคัญ ลำดับของซานซานยังเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนางรำคนท้ายที่สุดอีกชั้นจะบ้าตาย...คุณหนูมากมายปานนั้น เวลาที่ใช้แสดงความสามารถก็นานเนิ่น ยังมีต่อกลอนหวานเลี่ยน โต้คารมไปมากว่านางจะได้ขึ้นแสดง ทุกคนคงเมาหลับหรือไม่ก็เริ่มทยอยกลับกันหมดซานซานขมวดคิ้วใคร่ครวญโดยละเอียด ในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินมายืนกลางห้อง ยกมือขึ้นตบแรงๆ เพื่อเรียกความสนใจผลที่ได้คือนางรำหันมามองซานซานทุกคน“พี่น้องคนงามทั้งหลาย” เส้นเสียงกังวานที่เรียกขานทำเอาสาวงามขนลุกซู่ “การแสดงศาสตร์ศิลป์แต่ละครั้ง พวกท่านแยกกันแสดงตามลำดับก่อนหลังครั้งละสามสี่คนถูกต้องไหม?”เรื่องนี้ซานซานอ่านระเบียบการแสดงมาก่อนหน้า จึงรู้ได้“ถูกต้อง” นางรำคนหนึ่งตอบคำ “เจ้าสงสัยอันใดหรือ?”ซานซานมิได้ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับว่า “เช่นนั้น ค่าตอบแทนเล่า ได้อย่างไร?”นางรำอีกคนตอบบ้าง “ได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว แต่ละรอบที่ขึ้นแสดง ความโปรดปรานย่อมไม่เท่าเทียม คน