หลังจากกำชับอีกหลายคำ ฉู่จวินสิงกับเจี่ยนอันอันจึงหายตัวไปทั้งคู่เดินไปยังด้านในสุดของเรือนจำการที่พวกเขาจู่ๆ อันตรธานหายไปเช่นนี้ ย่อมทำให้หลี่ว์ซางกับพวกต่างตกใจไม่น้อยทุกคนต่างพากันนั่งลง พร้อมวิจารณ์ไปต่างๆทหารอายุน้อยเอ่ยปากขึ้นก่อน “ท่านอ๋องของเราคงมิใช่ไปฝึกเวทมนตร์คาถาชนิดใดมาหรอกนะแล้วไฉนจึงปุบปับก็โผล่มา พริบตาก็หายวับไปเช่นนั้นได้?”หลี่ว์ซางตบท้ายทอยทหารรุ่นน้องอีกครั้ง “อย่าพูดเหลวไหล โลกนี้จะมีคาถากระไรได้?”ทหารอีกคนอดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้น “แต่ข้าว่าน้องชายผู้นั้นร้ายกาจยิ่งกว่า ยาที่เขาให้พวกเรากิน ทำให้ข้ารู้สึกร่างกายดีขึ้นมาก”ทหารผู้น้อยทนเงียบไม่ไหว จึงได้กล่าวขึ้นอีก “ข้าว่าคงเพราะน้องชายผู้นั้นเก่งกล้าสามารถ เป็นคนถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ให้ท่านอ๋องของเรา”หลี่ว์ซางเกรงว่าเสียงพูดคุยของพวกเขา จะดังไปถึงหูผู้คุมเข้าจึงรีบเอ่ยปากห้ามปราม “เอาเถิด ทุกคนอย่าพูดอีกเลย ระวังผู้คุมจะมาได้ยินเข้า”“ยามนี้สำคัญคือพักฟื้นร่างกาย แล้วรอให้เยียนอ๋องมาช่วยพวกเราออกไป”ในที่สุดทุกคนจึงได้ยอมหุบปาก นั่งลงที่พื้นเพื่อปรับสภาพร่างกายฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันได้ยินคำพูด
เจี่ยนอันอันถือโอกาสที่ทหารอีกสามคนหลับสนิทอยู่ จัดการป้อนยาสมานแผลใส่ปากให้เช่นกันเผื่อว่าเมื่อตื่นขึ้นมา ร่างกายจะได้บรรเทาความเจ็บปวดลงบ้างฉู่จวินสิงกำชับอีกหลายประโยค จึงติดตามเจี่ยนอันอันออกจากห้องขังไปการที่พวกเขาจู่ๆ หายตัวไปเช่นนั้น ย่อมทำให้ทหารสามคนที่บาดเจ็บสาหัส เกิดความตกใจจนอ้าปากค้างเดิมทีการปรากฏตัวกะทันหันของฉู่จวินสิง ก็ทำให้พวกเขาตกใจมากพอแล้วมิคาดว่าเขายังสามารถหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาอีกแล้วสิ่งที่พวกเขามองเห็น คือมนุษย์หรือภูตผีกันแน่?แต่เมื่อรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งสามก็เชื่อว่าที่เห็นนั้น คือเยียนอ๋องตัวจริงแน่นอนเพราะหากว่าเป็นภูตผี แล้วจะมาป้อนยาให้พวกเขาได้อย่างไร?ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันกลับมายังบ้านพักของอิ่นเจียง ร่วมหารือว่าลำดับต่อไปควรจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างไรเจี่ยนอันอันกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นสภาพของเหล่าทหาร นอกจากสามคนที่บาดเจ็บสาหัสนั่นแล้ว ที่เหลือหลังจากกินยาไป ไม่เกินสองวันน่าจะหายเป็นปกติ”“เพียงแต่สามคนนั้นอาการหนักมาก ต่อให้กินยาสมานแผลไปจริง ก็อาจจะเดินเหินลำบาก”“ถ้าเราจะช่วยพวกเขาออกมา ก็อาจต้องเผชิญกับทหารร
ฉู่จวินสิงพาเจี่ยนอันอันมาถึงตำหนักที่เขาเคยอยู่เจี่ยนอันอันไม่เข้าใจเลย ฉู่จวินสิงพานางมาที่นี่ทำไม?ที่นี่ว่างเปล่าโหวงเหวง อย่าว่าแต่โต๊ะเก้าอี้ แม้แต่เตียงนอนก็ยังถูกทหารที่มาริบทรัพย์ขนไปหมดแล้วฉู่จวินสิงคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวนรำลึกถึงสิ่งที่เขาเคยมีหรอกนะขณะที่เจี่ยนอันอันลอบครุ่นคิดก็เห็นว่าฉู่จวินสิงไปหยุดยืนอยู่หน้าผนังด้านหนึ่งเขาออกแรงกดลงบนมุมหนึ่งของผนัง ผนังด้านนั้นไม่มีร่องใดอยู่เลยแม้แต่น้อยแต่กลับมีเสียง ‘ครืด’ ดังขึ้น ต่อจากนั้นผนังก็เริ่มขยับอุโมงค์ลับที่มืดสนิทปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสองในที่สุดเจี่ยนอันอันก็เข้าใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าในจวนเยียนอ๋องจะซุกซ่อนสถานที่ลึกลับเช่นนี้เอาไว้ฉู่จวินสิงจูงมือเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปในอุโมงค์ลับแห่งนั้นผนังด้านหลังปิดลงเสียงดัง ‘ครืด’ อย่างรวดเร็วเจี่ยนอันอันหยิบตะบันไฟออกมาจุด มองดูเปลวไฟที่ถูกลมจุดขึ้นบนตะบันไฟ นางก็รู้ว่าที่นี่จะต้องมีทางลับอื่นๆ อยู่ด้วยแน่นอนคนทั้งสองเดินลงบันได มาได้ไกลพอสมควรก็ถูกผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลขวางทางไปเอาไว้ฉู่จวินสิงใช้ตะบันไฟส่องไปที่ผนังด้านนั้นแล้วหาปุ่มกดเจอได้ในทั
ภายในห้องรกไปหมด กระทั่งพื้นที่จะวางเท้าสักที่ก็ยังไม่มีภาชนะแก้ววางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นบรรจุของเหลวสีเขียวและสีม่วงเอาไว้ของเหลวนั้นพ่นควันปุดๆ ควันขาวลอยฉุยออกมาจากภาชนะซางหมิงเห็นว่าคนทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เขาจึงคว่ำปากเอ็ดว่า “ตรงนั้นก็นั่งได้ไม่ใช่เรอะ ยังไม่รีบนั่งลงอีก”ฉู่จวินสิงไม่ได้โกรธเคืองเพราะความเฉยชาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยเขาจูงมือเจี่ยนอันอันก้าวข้ามกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นไปถึงบริเวณที่ซางหมิงพูดถึงแล้วจึงเห็นเบาะนั่งสองเบาะใต้กองกระดาษถ้าไม่ได้รับการชี้แนะจากซางหมิง พวกเขาก็คงดูไม่ออกจริงๆ ว่าตรงนี้มีบริเวณที่สามารถนั่งได้อยู่หลังจากทั้งสองคนนั่งลงแล้วก็ไม่มีใครส่งเสียง รอให้ซางหมิงจัดการงานในมือเสร็จค่อยบอกกล่าวจุดประสงค์การมา“เรื่องของเจ้าข้ารู้แล้ว เจ้ากลับมาคราวนี้คิดจะโค่นราชสำนักของฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?”ซางหมิงกล่าวโดยไม่ได้เงยหน้า มือยังคงทำหน้ากากต่อไปฉู่จวินสิงก็ไม่คิดจะปิดบัง บอกเล่าแผนการที่กลับมาคราวนี้ออกมารอบหนึ่งซางหมิงแช่หน้ากากที่บางเบาดุจปีกจักจั่นในน้ำยาแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง“ท่านนี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาที่เจ้าพามาด้ว
ซางหมิงโบกมือไปมา “เจ้ากับข้าเคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน ไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”“แต่ข้าเห็นว่าหน้ากากที่แม่นางผู้นี้สวมอยู่ประณีตมากทีเดียว สามารถถอดลงมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”ซางหมิงดูออกแต่แรกแล้วว่าหน้ากากที่คนทั้งสองสวมอยู่ทำมาจากหนังมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าหน้ากากหนังมนุษย์นั้นใช้น้ำยาอะไรแช่จึงดูเกลี้ยงเกลาอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนั้นเจี่ยนอันอันคิดในใจว่าในเมื่อนางกับฉู่จวินสิงมีเรื่องมาขอร้องผู้วิเศษซาง นางจึงตอบรับคำขอของฝ่ายตรงข้ามเจี่ยนอันอันถอดหน้ากากหนังมนุษย์ลงมา เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิมของนางเมื่อซางหมิงเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเจี่ยนอันอันแล้วก็พลันประทับใจในความงามของนางฉู่จวินสิงไม่ได้แต่งแม่หนูผู้นี้เสียเปล่าจริงๆ นางไม่เพียงขวัญกล้าเกินคน แต่ยังมีรูปโฉมงดงามปานนี้เหมาะสมกับฉู่จวินสิงมากทีเดียวเมื่อซางหมิงรับหน้ากากหนังมนุษย์ไปก็อดถามไม่ได้ว่า “แม่หนู เจ้าชื่อว่าอะไรรึ ยินดีเรียนรู้วิชาแปลงโฉมกับข้าหรือไม่?”เจี่ยนอันอันคิดไม่ถึงว่าผู้วิเศษซางผู้นี้ยังคิดจะสอนวิชาแปลงโฉมให้นางอีกด้วยนางย่อมยินดีอยู่แล้ว“ศิษย์เจี่ยนอันอันคารวะอาจารย์เจ้าค่ะ”
ผังมั่วยิ้มกล่าวว่า “พี่อิ่น ข้าเอาสุราอาหารมาด้วย วันนี้พวกเราต้องกินดื่มกันให้หนำใจเลยนะ”ฉู่จวินสิงเปลี่ยนจากท่าทีเย็นชาในคราวก่อนมาเป็นท่าทีอบอุ่นกว่าเดิม“รีบเข้ามาสิ ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี”ผังมั่วได้ยินอย่างนั้นก็ตอบรับอย่างดีใจ ก้าวยาวๆ เข้ามาข้างในผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นประสานมือคารวะฉู่จวินสิงแล้วก็ตามเข้ามาในเรือนเช่นกันคราวก่อนตอนผังมั่วมาหา ‘อิ่นเจียง’ แล้วถูกปฏิเสธไม่ให้เข้ามาเขาคิดว่าจะต้องเป็นเพราะ ‘อิ่นเจียง’ เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงเย็นชาใส่เขาแบบนั้นเป็นแน่จากมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคนในหลายปีที่ผ่านมา เป็นไปไม่ได้ที่อิ่นเจียงจะเย็นชาใส่เขาเช่นนั้นตอนนี้ดูแล้วคงจะเป็นแบบที่เขาคิดไว้จริงๆฉู่จวินสิงจงใจแสดงความสนิทสนมกับผังมั่วเป็นพิเศษเพื่อทำลายความระแวงของผังมั่วมีแต่ต้องทำเช่นนี้ เขาจึงจะสามารถดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้อย่างราบรื่นคนทั้งสามมาถึงหน้าโต๊ะ ผังมั่วจัดเรียงสุราอาหารลงบนโต๊ะหลังเขาเปิดห่อกระดาษน้ำมันออกมาก็เผยให้เห็นเนื้อตุ๋นกับถั่วลิสงนี่เป็นอาหารที่อิ่นเจียงชอบกินแกล้มสุรามาตลอด หลายปีมานี้ผังมั่วรู้ดีกว่าใครวันนี้เขาตั้งใจ
พอเห็นเช่นนั้น ผังมั่วก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง!พี่อิ่นมาตายอยู่ข้างๆ เขาได้อย่างไร?ถึงตอนนี้ผังมั่วค่อยสังเกตว่าในมือตัวเองมีมีดสั้นเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งมีดเล่มนี้เป็นมีดของผู้ใต้บังคับบัญชาเขา เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเขาได้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาพามาด้วยเล่า หนีไปที่ใดเสียแล้ว?ผังมั่วตกใจจนสร่างเมาเสียสนิท เขาโยนมีดสั้นทิ้งไปอย่างร้อนรน“พี่อิ่น ท่านอย่าหลอกข้านะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านรีบฟื้นขึ้นมาสิ!”แต่ไม่ว่าผังมั่วจะร้องเรียกอย่างไร ‘อิ่นเจียง’ ที่ฟุบจมกองเลือดอยู่ล้วนไม่ขยับเขยื้อนผังมั่วยื่นมือสั่นสะท้านไปอังตรงปลายจมูกของ ‘อิ่นเจียง’เมื่อพบว่า ‘อิ่นเจียง’ หมดลมหายใจไปแล้ว เขาก็ยิ่งตกใจจนหนังหัวชาวาบ ผุดลุกขึ้นยืนทันทีเขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยังไม่เห็นเงาร่างผู้ใต้บังคับบัญชาในที่สุดผังมั่วก็เข้าใจแล้ว เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาผู้นั้นเป็นแน่ตอนนี้เขาเสียใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่น่าพาผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นมาด้วยเลยตอนนี้มีคนตายแบบนี้ เขาจะไปอธิบายต่อฮ่องเต้อย่างไรเล่าผังมั่วหรี่ตาอย่างโกรธแค้น เขารู้สึกมาตลอดว่าผู้ใต้บังคับ
เมื่อซางหมิงได้ยินฮวาหลานเอ๋อร์ร้องว่าหิวข้าว จึงรีบทิ้งงานในมือลง รีบไปทำอาหารอย่างมีความสุขสีหน้ายินดีปรีดาของเขาเช่นนี้ ดูไม่ต่างกับทำอาหารให้ลูกตัวเองได้กินโดยแท้เมื่อเจี่ยนอันอันเห็นซางหมิงเดินออกไป จึงรีบติดตามไปด้วยเมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าห้องครัว พลันเห็นด้านในมีควันโขมงลอยขึ้นซางหมิงร้องอุทานเสียงหลง พลางรีบวิ่งเข้าไปดูผ่านไปเนิ่นนาน ควันในห้องจึงค่อยจางหายไปหมดรอจนซางหมิงเดินออกมา ใบหน้ากลับเลอะไปด้วยเขม่าดำเสียสิ้นหลังจากออกมาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ซางหมิงจ้องมองฮวาหลานเอ๋อร์ ทำเอาอีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก“อาจารย์ เมื่อครู่เพราะข้ามิได้คุมไฟให้ดี ขอท่านโปรดลงโทษด้วย”ฮวาหลานเอ๋อร์กล่าวพลางก้มหน้าลง แสดงท่าทีพร้อมยอมรับโทษซางหมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถิด เจ้าไปรอกินข้าวที่ห้องก่อน”ฮวาหลานเอ๋อร์เห็นซางหมิงไม่คิดตำหนินาง จึงรีบเงยหน้าขึ้น พร้อมฉีกยิ้มหน้าบาน“ขอบคุณอาจารย์ที่ไม่ตำหนิ ข้าจะไปจัดสำรับเดี๋ยวนี้”ฮวาหลานเอ๋อร์พูดพลาง มองดูเจี่ยนอันอันเล็กน้อย“เหตุใดจึงยังไม่ไปอีก?”ฮวาหลานเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจยิ่ง ปกติคนที่มาพบอาจารย์ของนาง เพียงไม่นานมักจะถ
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน