ฮูหยินรองเห็นฮูหยินใหญ่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่นางก็ไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรเพราะหากตอนนี้เป็นนาง ก็คงห่วงใยความปลอดภัยของฉู่อันเจ๋อเช่นกันดีที่การไปเมืองจิงโจวครั้งนี้ ฉู่อันเจ๋อไม่คิดติดตามไปด้วยข้อนี้จึงทำให้ฮูหยินถอนหายใจโล่งอกหน่อยเจี่ยนอันอันกลับมาที่ห้อง และแวะไปดูห้วงมิติเห็นยาวิเศษสามเม็ดนั้นยังคงอยู่ในระหว่างเพิ่มสรรพคุณอยู่และตอนนี้ดูแล้ว ปุบปับคงยังไม่อาจปรุงได้สำเร็จเมื่อครู่หลังจากกินข้าวเสร็จ นางนำยาถอนพิษที่ปรุงออกมาวันนี้ แจกจ่ายให้แก่ทุกคนพร้อมบอกทุกคนว่า ถ้ากู้มั่วหลีคิดมาวางยาพวกเขาอีก ก็ให้กินยาถอนพิษที่อยู่ในขวดเสียและยาตัวนี้จะกินมากก็ไม่ได้ ครั้งละหนึ่งเม็ดก็เพียงพอกินมากไปจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า......ยามนี้กู้มั่วหลีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง รอยแผลที่หน้าผากได้ตกสะเก็ดแล้วใบหน้าอันหล่อเหลานั้น เพราะมีรอยแผลนี้ จึงกลายเป็นตำหนิที่ทำให้ไม่สมบูรณ์แบบค่ำคืนเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรนอกหน้าต่างเท่านั้นไม่นานพลันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา และมีเงาคนปรากฏที่หน้าประตู“คุณชายกู้ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”ร่างกายเจี่ยนหลิงเยว่เพิ่งได
ใบหน้ากู้มั่วหลีผุดรอยยิ้มราวกับคนกระหายเลือดเขาพลิกตัวกลับ นอนทับบนร่างเจี่ยนหลิงเยว่แทนมือข้างหนึ่งจับสองมือนางกดไว้เหนือศีรษะ ส่วนอีกข้างเร่งรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้านางออกจากตัว“จงบอกข้ามา เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง? ตรงนี้ หรือว่าตรงนี้?”มือของกู้มั่วหลีเหมือนดั่งงูตัวเล็ก เลื้อยไปทั่วร่างกายเจี่ยนหลิงเยว่ฝ่ามือเขาทำให้เจี่ยนหลิงเยว่หวั่นไหวไปทั่ว ร่างกายสั่นระริกยิ่งคำพูดของเขา ทำให้นางรู้สึกประหนึ่งมีสายฟ้าผ่าลงที่กลางหัวใจ“คุณชายกู้ ข้า...”“ชู่ อย่าพูดมาก เพียงแค่เสพสุขก็พอ”น้ำเสียงกู้มั่วหลีเหมือนดั่งเสียงปีศาจ ทำให้เจี่ยนหลิงเยว่ต้องหุบปากโดยพลันไม่นานนางเริ่มรู้สึกเนื้อตัวหนาวเย็น เมื่อก้มหน้าลงไปดู จึงเห็นเสื้อตัวนอกถูกถอดไปเสียแล้ว เหลือเพียงตัวในซึ่งเป็นผ้าแพรบางเจี่ยนหลิงเยว่เขินอายจนหน้าแดงอีกครั้ง นางหลับตาลง ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยนางกำลังรอคอยให้กู้มั่วหลีประทับริมฝีปากลงมาแต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ กลับรู้สึกว่าคนที่ทับร่างนางอยู่ เขาได้ถอยห่างออกไปกู้มั่วหลีลุกขึ้นแล้วยืนที่ข้างเตียง นัยน์ตาส่อแววรังเกียจการให้ท่าของเจี่ยนหลิงเยว่ ทำให้เขานึกถึงมารดาขอ
ในเมื่อเขามาเอง ตนก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายไปหาอีก“พี่ใหญ่ ท่านมานี่ได้อย่างไร ผักที่บ้านหมดแล้วใช่หรือไม่? ที่นี่ยังมีเยอะ ข้าจะแบ่งให้อีก”เจี่ยนอันอันพูดพลางจะย้อนกลับไปห้องใต้ดินเอาผักมาให้เขาเสิ่นจือเจิ้งรีบเอ่ยปากห้าม “อันอัน ไม่ต้องรีบหรอก ข้ายังเหลือผักอีกมากนัก”เจี่ยนอันอันเดินกลับมาหาเสิ่นจือเจิ้งด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งที่สองที่พี่ใหญ่มาหานางถึงบ้านเสิ่นจือเจิ้งเห็นน้องสาวดีใจ ใบหน้าเขาก็ปรากฏรอยยิ้มรางๆ เช่นกัน“หลายวันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ฉู่จวินสิงรังแกเจ้าหรือไม่?”เสิ่นจือเจิ้งกล้าถามเช่นนี้ต่อหน้าฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงไม่พูดจา สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆเจี่ยนอันอันยิ้มตอบ “พี่ใหญ่ล้อเล่นอีกแล้ว จวินสิงมีแต่ความรักให้ข้า จะรังแกข้าได้อย่างไร?”เสิ่นจือเจิ้งมองหน้าฉู่จวินสิง ใช่ว่าเขาไม่ไว้วางใจหนุ่มผู้นี้ หากแต่คิดปกป้องน้องสาวมากกว่าน้องสาวเขาครองตัวเป็นโสดมาหลายปี ไม่เคยมีชายใดที่จะเข้าตานางบัดนี้นางย้อนเวลามาอยู่ในยุคนี้ ไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะมีความสัมพันธ์ฉันใดกับฉู่จวินสิงก็ตามหากคิดรังแกเจี่ยนอันอัน เขาในฐานะพี่ชายจะไม่ละเว้นคนผู้นั้นเป็นอันขาดทั้ง
และเมื่อทั้งคู่ปรากฏตัวอีกครั้ง กลับมิได้มาถึงตัวเมืองจิงโจว หากแต่เป็นป่าละเมาะแห่งหนึ่งเจี่ยนอันอันรู้สึกฉงนนัก “น่าแปลกจริง ยาตัวนี้ได้เพิ่มสรรพคุณแล้วนี่นา ไฉนจึงไม่เห็นผลดีกว่าเดิมเล่า?”ฉู่จวินสิงเหลียวมองรอบข้าง จำได้ว่าตอนถูกเนรเทศ พวกเขาก็เคยผ่านเส้นทางนี้เขาไม่พูดจา มีแต่จับมือเจี่ยนอันอันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเจี่ยนอันอันเพิ่งเอ่ยปากถึงความคิดในใจ เบื้องหน้าก็ปรากฏคำเตือนจากภารกิจในห้วงมิติ[การยกระดับในห้วงมิติยังล้าหลังอยู่มาก ไม่อาจช่วยเพิ่มสรรพคุณของยาให้สูงขึ้นตามต้องการ]เจี่ยนอันอันเห็นเข้าดังนี้ แทบอยากด่าไปถึงมารดา“ในเมื่อมีคุณภาพต่ำชั้นถึงเพียงนี้ แล้วทำไมจึงไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้เสียเวลาตั้งหลายวัน สุดท้ายแค่เพิ่มสรรพคุณให้นิดเดียว”ภารกิจในห้วงมิติปรากฏคำเตือนอีกครั้ง [โปรดทำการสับเปลี่ยนใบหน้าให้เสร็จสิ้น จะช่วยให้เพิ่มสรรพคุณยาได้รวดเร็ว]เจี่ยนอันอันหยุดชะงัก นี่มันเป็นภารกิจอะไรอีก?ห้วงมิติบอกให้นางสับเปลี่ยนใบหน้า จะให้ไปทำศัลยกรรมแปลงโฉมหรืออย่างไร?เจี่ยนอันอันเบะปาก มีภารกิจบ้าบอคอแตกประเภทนี้ด้วยนางดึงมือฉู่จวินสิง “ยาตัวนี้มีฤทธิ์ไม่สูงมาก
อิ่นเจียงลอบสบถในใจ เขากำกระบี่ในมือแน่นแล้วแทงมาทางฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงสะบัดขากระโดดถีบเข้าใส่ทรวงอกของอิ่นเจียงอิ่นเจียงรีบใช้กระบี่ในมือเข้าต้านรับ แต่ก็ยังถูกฉู่จวินสิงถีบจนถอยหลังไปหลายก้าวความเจ็บแปลบแล่นมาจากกลางฝ่ามือ ง่ามมือถูกกระแทกจนเนื้อฉีก เลือดสดๆ ไหลลงตามด้ามดาบหยดลงบนพื้นอิ่นเจียงเจ็บปวดจนแทบกุมดาบไม่อยู่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายฉู่จวินสิงจะหายดีเร็วปานนี้ตอนที่ฉู่จวินสิงถูกคุมขังในคุกหลวงคราวนั้น อิ่นเจียงเป็นคนลงทัณฑ์ทรมานเขาอิ่นเจียงไร้ปรานีมาแต่ไหนแต่ไร กับฉู่จวินสิงก็ยิ่งลงมืออย่างหมายชีวิตเขาทรมานฉู่จวินสิงจนเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายค่อยยอมหยุดมือเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่เดือน ฉู่จวินสิงก็หายดีเสียแล้วไม่เพียงเท่านี้ วรยุทธ์ของเขายังเหนือล้ำกว่ากาลก่อนอิ่นเจียงไม่กล้าประมาทศัตรู เขาไม่อาจปล่อยให้หน่วยกล้าตายห้าคนนั้นกลายเป็นเหยื่อที่รอการเชือดเขาเตะก้อนหินข้างเท้าไปใส่หน่วยกล้าตายสองคนในจำนวนนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อก้อนหินถูกร่างหน่วยกล้าตายก็คลายจุดให้พวกเขาในบัดดลหน่วยกล้าตายทั้งสองเห็นว่าตนเองสามารถเคลื่อนไหวได้แล้วก็รีบไปคลายจุดให้อีกสามคนที
ฉู่จวินสิงหยิบกระบี่บนพื้นขึ้นมาแล้วก้าวเท้ายาวๆ ตรงมาหาอิ่นเจียงอิ่นเจียงกัดฟันตวาดว่า “ฉู่จวินสิง เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่าบาททรงทราบจะต้องไม่ปล่อยเจ้ากับครอบครัวเจ้าไปแน่!”ฉู่จวินสิงหัวเราะเสียงเย็น กระบี่ในมือชี้ไปยังใบหน้าอิ่นเจียง“เจ้าคิดว่าฉู่ชางเหยียนจะรู้ว่าเจ้าถูกข้าสังหารงั้นรึ?”“อย่าลืมสิว่าตอนที่เจ้าทรมานข้า ในสายตาฉู่ชางเหยียน ข้าเป็นคนที่ใกล้จะตายแล้ว”อิ่นเจียงถูกคำพูดของฉู่จวินสิงทำให้โมโหจนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งฉู่จวินสิงพูดถูก ตอนนั้นเขาถูกทรมานจนเหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายประกอบกับความลำบากตรากตรำจากการเดินทาง หากพิจารณาจากสภาพของฉู่จวินสิงในยามนั้น เกรงว่าคงตายไปตั้งแต่ระหว่างทางแล้วส่วนที่เขานำหน่วยกล้าตายมาเมืองอินเป่ยในครั้งนี้ก็เป็นคำสั่งของฉู่ชางเหยียนฉู่ชางเหยียนให้พวกเขามาที่เมืองอินเป่ยอย่างลับๆ เพื่อสังหารครอบครัวฉู่จวินสิงฉู่ชางเหยียนไม่คิดจะปล่อยให้ครอบครัวของฉู่จวินสิงรอดไปแม้แต่คนเดียวอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากถูกครหาว่าสังหารพี่น้องร่วมสายเลือดตั้งแต่เพิ่งขึ้นครองราชย์ครอบครัวฉู่จวินสิงถูกเนรเทศมาที่เมืองอินเป่ยนานปานนี้ ต่อให้พ
อิ่นเจียงเบิกตามองหนังหน้าของหน่วยกล้าตายผู้นั้นถูกฉู่จวินสิงเถือออกมาหัวใจเขาเต้นกระหน่ำกล่าวกันว่าเยียนอ๋องโหดเหี้ยมอำมหิต ปฏิบัติต่อศัตรูโดยไม่เลือกวิธีการแต่การได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองทำให้หนังศีรษะของอิ่นเจียงชาหนึบเจี่ยนอันอันที่ยืนอยู่บนต้นไม้เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องนึกเลื่อมใสฉู่จวินสิงในใจนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นด้านที่โหดร้ายเช่นนี้ของฉู่จวินสิงคิดไม่ถึงว่าพอฉู่จวินสิงจะโหดขึ้นมา เทียบกับนางแล้วยังโหดกว่าเสียอีกฉู่จวินสิงถือหนังหน้าที่สมบูรณ์ดีแผ่นนั้นพลางก้าวยาวๆ มาทางอิ่นเจียงอิ่นเจียงตกใจถอยหลังกรูด เขากล่าวอย่างลนลานว่า “เจ้าจะทำอะไร เจ้าอย่าเข้ามานะ”ฉู่จวินสิงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย เขาเดินมาถึงตรงหน้าอิ่นเจียง ก้มตัวลงจ้องมองอีกฝ่าย“ถ้าเจ้ายังไม่พูดความจริงอีกก็จะมีจุดจบเหมือนเขา”อิ่นเจียงมองหน่วยกล้าตายที่ถูกถลกหนังหน้าพร้อมกับรู้สึกหนังศีรษะชาวาบลักษณะที่เลือดเนื้อเลอะเลือนแบบนั้น ถึงจะเป็นอิ่นเจียงที่โหดเหี้ยมอำมหิตก็ยังหวาดกลัวจนทำใจมองตรงๆ ไม่ลงหน่วยกล้าตายอีกสามคนเห็นอย่างนั้นก็ล้วนตกใจกลัวจนตัวสั่นความตายหาได้น่
มือฉู่จวินสิงหยุดชะงัก อิ่นเจียงเข้าใจว่าฉู่จวินสิงถูกเขาโน้มน้าวได้แล้วเขารีบคุกเข่าลงตรงหน้าฉู่จวินสิง โขกศีรษะอย่างหนักหน่วงสามครั้งเลือดสดๆ ไหลลงมาตามปากแผล หยดลงบนสาบเสื้อ“ขอเพียงเยียนอ๋องยอมละเว้นข้า ข้าจะบอกความลับทุกอย่างต่อเยียนอ๋อง”อิ่นเจียงโขกศีรษะพลางพร่ำพูดอ้อนวอนฉู่จวินสิงไม่ได้คิดจะเถือหนังหน้าอิ่นเจียงเร็วปานนั้นเขารู้ว่าอิ่นเจียงอยู่ข้างกายฉู่ชางเหยียนมานานปีย่อมรู้ความลับเกี่ยวกับฉู่ชางเหยียนมากมายหลายเรื่องเขาจะรอจนอิ่นเจียงบอกความลับทั้งหมดออกมาแล้วค่อยเถือหนังหน้าของอีกฝ่ายฉู่จวินสิงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ทางที่ดีเจ้าจงบอกข้ามาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็รู้ฝีมือข้าดี”คราวนี้อิ่นเจียงไม่กล้าปิดบังอีกแล้ว บอกแผนการของฉู่ชางเหยียนออกมาจนหมดเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทหารรักษาพระองค์ที่ควบคุมครอบครัวฉู่จวินสิงมาแดนเนรเทศกลับไปถึงเมืองจิงโจวฉู่ชางเหยียนรู้จากปากหานซื่อว่า ที่แท้หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ถูกหมีดำกัดตายระหว่างทางส่งตัวนักโทษเนรเทศพวกเขายังได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเพราะเหตุนี้ ส่วนฉู่จวินสิงเสียชีวิตกะทันหันระหว่างทางฉู่ชางเหยียนพอใจอย่างมาก ตกร
แต่ไม่ว่าเขาออกแรงมากเท่าไรก็ไม่อาจผลักหินยักษ์ออกไปได้ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็เคยเกิดการถล่มมาก่อน แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าครั้งนี้หากยังไม่ช่วยคนข้างในออกมา เกรงว่าเด็กสองคนนั้นคงต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆ แล้วเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางพลันก้าวออกมาบริเวณหน้าถ้ำแล้วออกแรงผลักหินยักษ์ก้อนนั้นแต่หินยักษ์หนักเกินไป นางผลักอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สามารถทำให้หินยักษ์นั้นขยับเขยื้อนได้เลยฉู่จวินสิงก็รีบเดินเข้ามาหา เขาให้เจี่ยนอันอันถอยออกไปแล้วรวบรวมกำลังภายในฟาดฝ่ามือใส่หินยักษ์ก้อนนั้นอย่างหนักหน่วงครั้นฝ่ามือนั้นฟาดลงไป หินยักษ์ก้อนนั้นเพียงสั่นคลอนไม่กี่ที แต่ก็ไม่ได้ถูกกำลังภายในทะลวงไปได้ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั่นเอง เจี่ยนอันอันพลันกวาดตามองคลังอาวุธในมิติครุ่นคิดว่าสามารถหยิบระเบิดออกมาจากในนั้นสักลูกได้หรือไม่โชคดีที่ตอนที่นางช่วยสองแม่ลูกสกุลเฉียวต่อกรกับเฝิงซานกวงก่อนหน้านี้ คลังอาวุธได้เลื่อนขั้นอย่างเงียบๆคำประกาศปรากฏขึ้นในมิติ : [ระดับคลังอาวุธ 50 สามารถหยิบอาวุธได้สองชนิด]เจี่ยนอันอันนึกยินดี นางรีบบอกให้ทุกคนหลบไปนอกเหมือง แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ให้ออกไปจากตร
เจ้าเมืองตานประสานมือต่อเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง “เรื่องราวได้จบลงแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอกลับจวนไปไต่สวนเรื่องนี้ต่อ ขอลาแต่เพียงเท่านี้”เจี่ยนอันอันประสานมือตอบเช่นกัน “ท่านค่อยๆ เดิน ไม่ส่งแล้ว อย่างไรคงต้องรบกวนท่านให้ความเป็นธรรมแก่เรื่องนี้”“ข้าน้อยทราบดี” เจ้าเมืองตานกล่าวพลางขึ้นรถม้าไปพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้งเหตุใดเขาจึงมีหลานชายที่ชอบก่อเรื่องนี้เช่นนี้หนอ? ช่างไม่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สบายบ้างเลยรอจนเจ้าเมืองตานจากไปแล้ว เจี่ยนอันอันจึงหันมามองเหล่าบริวารของเฝิงซานกวงอีกครั้งซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่า ยามนี้ในเหมืองได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้วพวกเขาจึงไม่กล้าทำส่งเดชอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตายืนนิ่งอยู่เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามัวยืนเซ่อหาอันใดอีก ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเฝิงซานกวงอีกแล้ว แต่ละคนจงรีบไสหัวไปให้พ้น”“หากวันหน้าข้าได้รู้ว่า พวกเจ้ากลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก ข้าจะให้มีจุดจบเช่นเดียวกับเฝิงซานกวง”บรรดาลูกน้องเฝิงซานกวงเห็นว่าบัดนี้คงได้ตกงานเป็นแน่แท้ต่อไปจะรับเงินใต้โต๊ะคงไม่มี ยิ่งอย่าหมายว่าคิดลักขโมยแร่หินในเหมืองออกไปขายบ้างจึงต่างพากัน
แต่เรื่องนี้หากจะว่าไป ก็ล้วนเป็นความผิดของเฝิงซานกวงหากเขามิได้แอบใช้แรงงานเด็ก เจี่ยนอันอันก็ไม่อาจใช้เพียงหนึ่งร้อยตำลึง มาซื้อเหมืองแร่แห่งนี้ได้ไม่ทันรอให้เจ้าเมืองตานได้กล่าวตอบ เฝิงซานกวงกลับโมโหขึ้นก่อน “นังตัวดี อย่าถือว่าเคยเป็นอดีตชายาเยียนอ๋องมาก่อน ก็จะใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงมาซื้อเหมืองของข้าได้”“ขอบอกให้รู้ เหมืองแห่งนี้ข้าเป็นคนขุดขึ้นเอง จะไม่มีวันยอมขายให้เจ้าเด็ดขาด”เจี่ยนอันอันมองหน้าเฝิงซานกวงด้วยแววตาดูหมิ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ฟังนะเฝิงซานกวง บัดนี้เจ้ากลายเป็นนักโทษแล้ว มีสิทธิ์อันใดมาเพ้อเจ้อไร้สาระกับข้าอีก”เฝิงซานกวงโกรธจนสุดจะทนไหว พลันกระอักโลหิตออกจากปากทันทีพร้อมพาเอาฟันหน้าสองซี่ที่ถูกต่อยร่วงเมื่อครู่นี้ออกมาด้วยเจ้าเมืองตานรู้ดีว่าไม่อาจสู้เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเฝิงซานกวงจริงว่าตามกฎหมายแล้ว เมื่อเฝิงซานกวงทำผิดเช่นนี้ เหมืองของเขาก็ควรจะถูกทางการยึดคืนดังนั้นเจี่ยนอันอันจึงได้มาพูดกับเขา ว่าจะขอซื้อเหมืองแห่งนี้ไว้เองอีกทั้งเฝิงซานกวงก็ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรม ที่จะยับยั้งการซื้อขายของ
“นี่คือสัญญาฉบับใหม่ที่ข้าเพิ่งเขียนขึ้นมา ทั้งเฝิงซานกวงและเฉียวซื่อต่างได้ลงชื่อเรียบร้อย”“จึงอยากให้ท่านเจ้าเมืองได้ลงชื่ออีกคน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วันหน้าเฝิงซานกวงจะได้ไม่กล้าบิดพลิ้วไปล่วงเกินเฉียวซื่ออีก”เจ้าเมืองตานมองดูข้อความในสัญญาฉบับใหม่ เห็นเนื้อหาล้วนสมเหตุสมผลดีอีกทั้งเรื่องนี้ก็ถือเป็นความผิดของเฝิงซานกวงก่อน จึงยอมรับพู่กันมา พร้อมทั้งเขียนชื่อตนเองลงไปเจี่ยนอันอันยิ้มๆ พร้อมนำแป้นประทับตรา มอบให้เจ้าเมืองตานได้ประทับลายนิ้วอีกซ้ำอีกสัญญาชุดเดียวกันแต่มีสองแผ่น เจี่ยนอันอันจึงแบ่งให้เจ้าเมืองตานและเฝิงซานกวงต่างถือไว้คนละแผ่น“มีเจ้าเมืองตานเป็นพยานอีกคน หากวันหน้าเฝิงซานกวงกล้าไปล่วงเกินเฉียวซื่อสองแม่ลูกอีก ให้ข้ารู้เข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้”เฝิงซานกวงแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากหักคอเจี่ยนอันอันให้ตายคามือไปเสียเยียนอ๋องพระชายาบ้าบออันใดกัน ยามนี้ล้วนถูกฮ่องเต้ปลดเป็นสามัญชนทั้งสิ้น ซ้ำยังถูกเนรเทศมาอยู่เมืองอินเป่ยต่างหากบัดนี้ฐานะของพวกเขา จะต่างจากเขาที่ตรงไหน?แต่พอมาอยู่นี่แล้ว ยังกล้ามาทำเหิมเกริมอีกรอให้เรื่องนี้จบสิ้นเมื่อใด ต้องหาวิ
แต่หากเป็นความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาในฐานะอารอง ก็จะไม่ละเว้นผู้ทำร้ายเฝิงซานกวงเช่นกันแต่ไม่คาดคิดว่า เพียงลงจากรถม้า ก็ได้เห็นเยียนอ๋องและพระชายาอยู่ที่นี่ด้วยเจ้าเมืองตานนึกหวั่นใจขึ้น คงไม่ใช่เพราะเฝิงซานกวงไปทำความผิดอันใดเข้าอีกหรอกนะเจี่ยนอันอันใบหน้าแฝงรอยยิ้ม พร้อมนำสัญญาเผด็จการที่เฝิงซานกวงและเฉียวซื่อทำไว้ฉบับแรกให้เจ้าเมืองตานได้ดูเจ้าเมืองตานดูแล้วจึงเกิดความสงสัย “ในสัญญาได้ลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ แสดงว่าอีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจ แล้วจะผิดอย่างไร?”แม้ว่าเงื่อนไขที่ระบุไว้จะมีแต่ความเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็มิได้บ่งบอกถึงสิ่งใดไฉนจึงต้องบาดหมางจนให้เขามาด้วยตนเอง?และเจ้าเมืองตานก็เห็นลูกน้องของเฝิงซานกวง ต่างถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมเขามองหน้าเจี่ยนอันอันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางกับฉู่จวินสิงจึงต้องทำร้ายลูกน้องเฝิงซานกวงเช่นนี้เจี่ยนอันอันดึงตัวแม่ลูกตระกูลเฉียวมาเข้าใกล้ พลางกล่าวต่อเจ้าเมืองตาน “เจ้าเมืองตาน คนนี้ก็คือผู้ทำสัญญากับเฝิงซานกวง”“นางไม่รู้หนังสือ ข้อความในสัญญาล้วนเป็นเฝิงซานกวงอ่านให้ฟังทั้งสิ้น”“แต่เท่าที่ข้ารู้ เฝิงซานกวงมิได้อ่านเนื้อ
เจี่ยนอันอันแม้ถูกด่าว่าก็หาโกรธเคืองไม่ กลับกลายเป็นฉู่จวินสิงที่เดินขึ้นหน้า พลางต่อยเข้าที่ปากเฝิงซานกวงหนึ่งหมัด“เจ้ากล้าด่าเหนียงจื่อของข้า เห็นทีอยากถูกเลาะฟันออกจากปากเสียแล้ว”หมัดนี้ของฉู่จวินสิงหนักหน่วงยิ่ง ถึงขั้นทำให้ฟันหน้าของเฝิงซานกวงร่วงสองซี่ในบัดดลแต่เพราะเฝิงซานกวงถูกผ้าพันแผลปิดหน้าไว้หมด ฟันหน้าจึงค้างอยู่ในปาก จะบ้วนทิ้งก็ไม่ได้ กลืนลงคอก็ไม่กล้าอีกฟันหน้าถูกค่อยจนร่วง ริมฝีปากก็ยังแตกซ้ำความเจ็บปวดในปากนั้น แทบทำให้เฝิงซานกวงอยากด่าไปถึงบุพการีแต่ภายหลังได้ลิ้มลองหมัดของฉู่จวินสิง เขากลับไม่กล้าใช้คำพูดดุเดือดออกมาอีกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นเอง มีเสียงรถม้าแว่วมาแต่ไกลทุกคนหันมองไปตามเสียงนั้น จึงเห็นรถม้าของทางการวิ่งตรงมาคันหนึ่งและผู้ที่ไปส่งข่าวยังจวนเจ้าเมืองตาน ก็วิ่งตามหลังรถม้ามาเจี่ยนอันอันผุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดูท่าเจ้าเมืองตานมาได้รวดเร็วดีแท้รถม้ามาหยุดที่เบื้องหน้าทุกคนเร็วพลัน โดยมีเจ้าเมืองตานเปิดผ้าม่านแล้วก้าวเดินลงมาทันทีที่เห็นเฝิงซานกวงใบหน้าห่อด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ ซ้ำมุมปากยังมีคราบโลหิตซึมออกมา“เจ้าไปก่อกรรมทำเข็ญเรื่อง
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”