เมื่อจ้าวลิ่วได้สติกลับมา เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปหาฉู่จวินสิงและเหยียนเซ่า“คุณชายฉู่ คุณชายเหยียน วิทยายุทธ์ของพวกท่านยอดเยี่ยมนัก สอนข้าได้หรือไม่ขอรับ?”ฉู่จวินสิงแอบยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วกล่าวว่า “การเรียนวิทยายุทธ์มิใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ในวันเดียว”“หากเจ้าต้องการให้ข้าสอนก็มิใช่ว่าไม่ได้ แต่เจ้าต้องอดทนต่อความลำบาก”จ้าวลิ่วในตอนนี้เอาแต่นึกถึงภาพการประลองของทั้งสองเมื่อครู่นี้คำว่าลำบากหรือเหนื่อยยากนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย“ข้าทนลำบากได้ และไม่กลัวเหนื่อยขอรับ” แววตาของจ้าวลิ่วในยามนี้ฉายประกายความมุ่งมั่นจากคำพูดของฉู่จวินสิง เขาก็พอจะเดาออกว่าฉู่จวินสิงไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเขาหากตอนนี้เขาไม่แสดงความตั้งใจว่าต้องการฝึกฝน เกรงว่าฉู่จวินสิงอาจเปลี่ยนใจซ่างชิวและจ้าวอู่ก็วางงานในมือลง แล้วก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วซ่างชิวเพิ่งได้เห็นท่าทางของฉู่จวินสิงที่ใช้วิทยายุทธ์เป็นครั้งแรกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเมืองในอดีต คนที่ไม่มีวิทยายุทธ์อย่างพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียมากมายหากพวกเขาเรียนรู้วิทยายุทธ์ได้ ก็คงไม่ต้องหวาดกลัวการถูกข่มเหงรังแกอีกต่อ
ไม่นานนักฟ้าก็มืดลง เจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงเองก็กลับเรือนไปตอนนี้เตียงอุ่นภายในห้อง ได้ถูกพวกของซ่างชิวทั้งสามคนรื้อออกไปแล้ว แล้วย้ายเตียงที่สร้างเสร็จแล้วขึ้นมาแทนกองดินที่ถูกรื้อออกมาเหล่านั้น ถูกพวกของซ่างชิวทั้งสามคนกองเอาไว้ด้านนอกลานแล้วเมื่อเห็นเตียงใหม่ที่สร้างขึ้นในห้อง เจี่ยนอันอันก็พอใจเป็นอย่างมากนางหยิบเงินออกมา มอบให้ทั้งสามคน“นี่เป็นเงินที่พวกเจ้าสร้างเรือนและเตียงขึ้นมา วันนี้พวกเจ้าลำบากแล้ว เงินที่เพิ่มขึ้นมานั้นพวกเจ้าก็เก็บเอาไว้เถอะ”จ้าวลิ่วไม่คิดเลยว่าเพียงแค่มาสร้างเตียงเท่านั้นไม่เพียงแต่จะได้รับเงินเพิ่มมากขึ้น พรุ่งนี้ยังสามารถเรียนศิลปะการต่อสู้กับฉู่จวินสิงได้อีกด้วยเขารู้สึกว่าวันนี้ที่ทำงานมากมายถึงเพียงนี้ ช่างคุ้มค่าจริงๆหลังจากกลับมายังหมู่บ้านชิงสุ่ย จ้าวลิ่วก็คิดว่าจะปรับปรุงสถานการณ์ของที่บ้านอย่างไรดีหลายวันมานี้ทำงานให้เจี่ยนอันอัน เขาไม่มีคำบ่นใดออกมาเลยเขาเองก็เสียใจจริงๆ ไม่คิดที่จะออกไปเร่ร่อนด้านนอกอีกเมื่อมองเงินจำนวนมากในมือ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา“แม่นางเจี่ยน ต่อไปหากว่าท่านมีงานอะไรให้ทำ อย่าลืมเรียกข้ามาทำ”จ
ฉู่จื่อซีพูดขึ้นข้างๆ “อาสะใภ้รอง เถี่ยต้านพูดว่าขอบคุณท่าน เป็นเพราะว่ามีท่านอยู่ทำให้ทั้งสี่ฤดูอบอุ่นขึ้นมา...”เจี่ยนอันอันไม่พูดอะไรออกมา มุมปากก็อดที่จะกระตุกขึ้นมาไม่ได้นางสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดข่มความคิดที่อยากจะเหยียบเถี่ยต้านให้ตายไปนางไม่อยากได้ยินเถี่ยต้านดังจี๊ดๆ ดึงมือฉู่จื่อซีหมุนกายจากไปเมื่อกลับมาถึงเรือน เจี่ยนอันอันก็ล้มหัวลง ผล็อยหลับไปวันนี้นางขุดผักเหล่านั้นมันเหนื่อยมากจริงๆ บวกกับตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง สบายจนนางหลับตาลงแล้วก็หลับไปฉู่จวินสิงปวดใจกับนางเป็นอย่างมาก เมื่อห่มผ้าให้นางเรียบร้อยแล้ว ก็กอดนางแล้วหลับไปพร้อมกันเช้าวันถัดมา เจี่ยนอันอันลุกขึ้นมาจะไปขายผักที่อำเภอไถหยางฉู่จวินสิงปวดใจเป็นอย่างมาก “เจ้ามีเงินมากถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปขายผักแล้ว”“ไม่ได้ เงินพวกนั้นเก็บเอาไว้ใช้ในภายหน้า ข้าไม่อาจจะนั่งนิ่งเฉย จะต้องคิดหาวิธีการหาเงินเพิ่มให้มากขึ้นถึงจะถูก”เจี่ยนอันอันมีแผนการของตนเองรอจนเมื่อพวกเขาสามารถบุกโจมตีกลับไปยังเมืองจิงโจวได้สักวันหนึ่ง นางจะต้องเป็นหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นไท่ยวนฉู่จวินสิงยิ้มออก
ในไม่ช้าแผงขายของเจี่ยนอันอัน ก็ถูกคนแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง“อย่ามาเบียดข้า ไม่รู้จักมาถึงก่อนหลังอย่างนั้นหรือ!”“ใช่ๆ อย่ามาเบียดข้า ข้าแทบจะตกทับบนพืชผักของผู้อื่นแล้ว”เจี่ยนอันอันรีบเก็บเงินไว้ ฉู่จวินสิงก็วุ่นวายอยู่กับการคอยดูพืชผักแผงขายของของผู้อื่น เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงมาใหม่สุดท้ายพวกเขาเพิ่งจะมาถึง ก็ดึงดูดลูกค้าเข้ามาทันทีเจ้าของแผงขายของเหล่านี้ในใจต่างก็ไม่มีความสุขนักถือดีอะไรที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึง ก็ตัดขาดส่วนแบ่งตลาดไปเสียไม่นานก็มีเจ้าของแผงขายกะหล่ำปลีคนหนึ่ง เดินมาที่แผงขายของเจี่ยนอันอันด้วยความโมโห“นี่ เจ้าสองคนที่มาใหม่ ข้าไม่เคยพบกับพวกเจ้ามาก่อน”“พวกเจ้าถือสิทธิ์อะไรถึงได้นำผักมาขายราคาถูกถึงเพียงนี้ ทำเสียจนผักของพวกเราขายแทบไม่ออกแล้ว!”เจ้าของแผงลอยคนอื่นๆ ต่างก็แสดงออกว่าเห็นด้วยในใจ ทว่าพวกเขากลับไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่คอยยืนมองความครื้นเครงอยู่ด้านข้างเจี่ยนอันอันมองผ่านผู้ที่มาซื้อผัก ไปยังเจ้าของแผงท่านนั้นหญิงสาวร่างกายกำยำอายุราวสามสิบปี ใบหน้าราวนางจิ้งจอกไขมันในร่างกายอ้วนนั้น แทบจะสามารถตัดออกมาขายได้เจี่ย
หลังจากที่เจี่ยนอันอันกลับมาแล้ว ก็ได้ยินกุ้ยเหมยพูดกับคนที่แต่งกายด้วยชุดของเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนออกมา“ท่านใต้เท้า ท่านต้องตัดสิน ทั้งสองคนนี่ไม่เพียงแต่ไม่จ่ายค่าคุ้มครอง แล้วยังขายผักราคาถูกมากอีกด้วย”“พวกเขาทำเช่นนี้ แล้วจะให้พวกเราที่ขายพืชผักเหล่านี้ทำอย่างไรกัน แล้วใครจะมาซื้อผักของพวกเรากัน!”“ข้าว่าพวกเขาคงจะจงใจละเลยการมีอยู่ของพวกท่าน คิดที่จะหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่แล้ววิ่งหนีไป”“พวกท่านห้ามปล่อยทั้งสองคนนี้ไป จะต้องจับพวกเขาไว้แล้วสั่งสอนให้ดีๆ”กุ้ยเหมยเติมเชื้อเพลิงในกองไฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำจนชายทั้งสามโมโหจนต้องเลิกคิ้วออกมาพวกเขาเมื่อเห็นว่าผักของเจี่ยนอันอันขายดีมาก จนทำให้แผงลอยของคนอื่นมีลูกค้าอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นพวกเขามองไปยังบนกระดาษที่เขียนราคาผักเอาไว้ เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทั้งสองคนจงใจทำให้ราคาผักลดลง ขายถูกเสียยิ่งกว่าของผู้อื่นเงินที่ทั้งสองคนหามาได้ จะต้องส่งมอบให้ทั้งหมดหนึ่งชายหนุ่มที่สวมชุดเจ้าหน้าที่พูดออกมาด้วยความโกรธ “พวกเจ้าทั้งสองคน รีบส่งเงินมา”“มิฉะนั้นแล้วข้าจะเก็บแผงลอยของพวกเจ้าเสีย ต่อไปพวกเจ้าก็อย่าคิดจะมาขายผักที่นี่อีก
กุ้ยเหมยเจ็บปวดเสียจนทั่วทั้งกายสั่นเทิ้ม รู้ได้เองว่าวันนี้ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้านางรีบหันหน้าหนี หลบเข็มถัดไปของเจี่ยนอันอัน เจี่ยนอันอันเหวี่ยงมือไป พูดอย่างเย็นชา “ถ้ายังหลบอีกข้าจะแทงตาเจ้าให้เหมือนตาปลาเสีย!” กุ้ยเหมยตื่นตกใจเสียจนรีบร้องอ้อนวอนออกมา “แม่นาง เมื่อครู่นี้เป็นข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ขอร้องท่านอย่าได้ถือสาที่ผู้น้อยทำไป ปล่อยข้าไปเถอะ” เจี่ยนอันอันเย้ยหยันออกมา “เจ้าพูดจาเน่าๆ จนข้าขุ่นเคืองเข้า ปากนี้เย็บเสียดีกว่า"เจี่ยนอันอันพูดขึ้น แล้วแทงเข้าไปอีกหนึ่งเข็มกุ้ยเหมยจะทนความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ย่างไรกัน ริมฝีปากของนางตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด ปากเองก็ถูกแทงไปแล้วถึงสามเข็มด้ายสีดำนั้นถูกเข็มเงินดึงผ่านปากของกุ้ยเหมยเลือดไหลซึมออกมาจากปากของกุ้ยเหมย หยดลงบนเสื้อผ้าของนางกุ้ยเหมยเจ็บปวดจนสองตากลอกไปมา แล้วเป็นลมไปเจ้าของแผงคนอื่นๆ ถูกภาพฉากนี้ทำเสียตกใจไม่น้อย พวกเขาลอบยินดีอยู่ในใจโชคดีที่พวกเขาไม่ได้ผสมโรงกับกุ้ยเหมย ไปโต้แย้งกับทั้งสองคนนี้มิฉะนั้นแล้วตอนนี้คนที่ถูกทุบตีก็คงจะเป็นพวกเขาแล้วโดยเฉพาะเด็กสาวคนนี้ มองแล้วอายุไม่มาก ทว่าล
รถม้าเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เจี่ยนอันอันก็มองเห็นเบื้องหน้าที่ไม่ไกลออกไปนัก มีขอทานหลายคนกำลังห้อมล้อมเด็กน้อยอยู่เด็กน้อยหันหลังให้พวกเขา ทว่าเมื่อมองไปยังเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้น เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเจี่ยนอันอันก็จดจำได้ทันที นั่นคือเฉียวอี้เด็กคนนี้ทำไมถึงได้ถูกขอทานห้อมล้อมอยู่กัน?เมื่อรถม้าเข้ามาใกล้นั้น ก็ได้ยินขอทานทั้งหลายพูดออกมาว่า "เฉียวอี้ ตอนนี้เจ้าร่ำรวยแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมอบเงินให้พวกเราเสียหน่อยหรือ""ใช่แล้ว ในตอนนั้นที่เจ้าออกมาขอทานกับแม่เจ้า พวกเราได้ช่วยเหลือเจ้าสองแม่ลูกไว้ไม่น้อย""หยุดพูดไร้สาระกับเขาได้แล้ว ดูเขาสวมใส่เสื้อผ้ามีราคามากเช่นนี้ ทุกคนถอดเสื้อผ้าเขาออกเสีย คงจะขายได้เงินมาไม่น้อย"เฉียวอี้ก้าวถอยหลังด้วยความประหม่า เขาจับเสื้อผ้าที่สวมเอาไว้แน่น ไม่ให้ผู้ใดแตะต้อง"นี่เป็นเสื้อผ้าที่ผู้มีพระคุณมอบให้ข้า พวกเจ้าห้ามถอดมันออก" เฉียวอี้พูดขึ้น ก็หมุนกายจะวิ่งออกไปทว่าด้านหลังของเขายังมีขอทานอีกสองคนยืนอยู่ พวกเขาต่างก็มองไปยังเฉียวอี้ อย่างไม่หวังดีนัก"จะให้พวกเราถอดให้เจ้า หรือว่าเจ้าจะถอดออกมาเอง"ขอทานคนหนึ่งพูดออกมา มือก็ยื่
ขอทานทั้งหมดพากันหลบออกไป เผยให้เห็นขอทานคนที่พูดออกมาต่อหน้าของเจี่ยนอันอัน พวกเขาล้วนแต่ออกมาเพื่อหาอาหาร แต่ไม่กล้าที่จะล่วงเกินผู้อื่น จนมีจุดจบด้วยการถูกเตะกระเด็นลอยออกไป สหายคนนั้นที่ถูกเตะลอยไปนั้น นอนอยู่บนพื้นโดยไม่ไหวติง ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ขอทานคนที่พูดออกมานั้นเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่สนใจเขา ก็รีบหดคอลง ไม่กล้าที่จะพูดมากอีก ใบหน้าของเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย แล้วพูดกับขอทานทั้งหมดนี่ “พวกเจ้าหากว่าภายหน้ายังกล้ามายั่วยุเฉียวอี้กับแม่ของเขาอีก ก็อย่ามากล่าวโทษที่ข้าลงมือโหดร้าย!”ขอทานทั้งหลายถูกรอยยิ้มของเจี่ยนอันอันทำให้ตกใจกลัวเข้ามีคนพูดเสียงกระซิบออกมา “ยังมัวยืนอยู่ทำไมอีก รีบวิ่งหนีเข้า!”ขอทานคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเข้า ก็รีบหมุนกายวิ่งหนีไปทันทีไม่มีใครคิดจะไปตรวจดูสหายคนที่ถูกเตะกระเด็นไปเมื่อเห็นว่าพวกเขาหนีไปหมดแล้ว เฉียวอี้ถึงได้กล้าที่จะเดินออกมาจากด้านหลังของเจี่ยนอันอันเขาโบกมือให้เจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง “ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองท่านที่ลงมือช่วยเหลือ”เสื้อผ้าของเขาในที่สุดก็สามารถปกป้องเอาไว้ได้แล้ว ต่อไ
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน
เมื่อมีชาวบ้านผ่านมาที่นี่แล้วเห็นลูกปลาในสระน้ำเข้าเขาก็ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจทันทีว่า “แม่นางเจี่ยน เจ้าเป็นคนนำลูกปลาพวกนี้มาปล่อยไว้ในนี้หรือ?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ชาวบ้านผู้นั้นเรียกคนอื่นๆ มาด้วยความดีใจทุกคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของเจี่ยนอันอัน แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็จะสามารถกินเนื้อปลาสดใหม่ได้แล้วชาวบ้านจำนวนมากล้วนรู้สึกยินดีเพราะเรื่องนี้ แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งที่นิ่วหน้าคิ้วขมวดเขาอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “สระน้ำนี่ก็ดีอยู่หรอก แต่อากาศค่อยๆ เย็นลงแล้ว กลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงฤดูหนาว สระน้ำนี่ก็จะจับตัวเป็นน้ำแข็ง”“พอถึงยามนั้น อย่าว่าแต่พวกเราจะไม่ได้กินเนื้อปลา เกรงว่าแม้แต่พืชผักก็คงปลูกไม่ได้เหมือนกัน”วาจาประโยคเดียวของชาวบ้านทำให้คนอื่นๆ กลัดกลุ้มตามไปด้วยหลายวันมานี้อากาศค่อยๆ เย็นลง พวกเขาล้วนแต่เพิ่งปลูกผักทั้งยังได้รับเงินสามสิบตำลึงมาแล้วหากถึงฤดูหนาวจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกผักพวกนี้ได้อีกแล้วเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะได้กลับไปมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้งพวกเขาเกี่ยวข้าวไว้มากแล้ว แต่ผักพวกนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า?หาก
เซียงเสวี่ยเห็นลูกเป็ดและลูกไก่ตัวน้อยที่อยู่ในกรง นางดีใจจนรีบมารับไป“ฮูหยินน้อยรอง อีกหน่อยเมื่อเลี้ยงเป็ดและไก่เหล่านี้จนโต พวกเราก็จะมีเนื้อเป็ดเนื้อไก่กินแล้ว”เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย พลางมองไปยังเสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ เป็ดไก่เหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านกินหลายวันสินะ”เสิ่นจือเจิ้งยิ้มตอบ “เด็กโง่ พี่ใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น”เจี่ยนอันอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ความหมายของท่านคือ?”เสิ่นจือเจิ้งบอกเล่าความคิดของตนให้ฟังเขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงเป็ดไก่เหล่านี้ให้โต พร้อมทำการเพาะพันธุ์ต่อจากนั้นก็ทยอยนำเป็ดไก่ไปขาย เชื่อว่าน่าจะได้เงินเป็นจำนวนมากเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นดั่งเช่นทุกวันนี้อีกเจี่ยนอันอันเห็นว่าวิธีนี้พอใช้ได้ ปกติพี่ใหญ่มองการณ์ไกลมากกว่านางอยู่แล้ว“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ จึงคิดจากไปนางยังคิดจะไปดูแอ่งน้ำเสียหน่อย เผื่อจะปล่อยพันธุ์ปลาลงไปในน้ำบ้างเผื่อวันหน้าปลาโตขึ้น ชาวหมู่บ้านชิงสุ่ยก็จะมีเนื้อปลากินอีกขณะที่เจี่ยนอันอันเตรียมตัวจะออกไป กลับถูกเสิ่นจือเจิ้งเรียกตัวไว้“เมื่อคืนที่บ้านเจ้าได้เกิดเรื่อ