กู้มั่วหลีที่ยืนอยู่บนต้นไม้ตลอดเวลา เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านล่างนั้น ล้วนแต่อยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้นกู้มั่วหลีเดินก้าวมาเบื้องหน้าของหนิงเจิ้น ส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะส่งเสียงออกมา“ผู้บัญชาการหนิงที่เคยผ่านการสู้รบมานับร้อยครั้ง แต่กลับไปไม่สามารถเอาชนะผู้หญิงสองคนได้”“ลูกน้องของฉู่ชางเหยียน หรือว่าจะมีแต่เศษสวะอย่างเจ้าเช่นนี้หรือ?”ในตอนที่กู้มั่วหลีพูดขึ้นนั้น รอยยิ้มตรงมุมปากก็ไม่ได้ลดลงน้อยลงทว่ารอยยิ้มของเขากลับไปไม่ถึงดวงตากู้มั่วหลีมองออกว่าหนิงเจิ้นถูกพิษเขามองไปยังร่างที่จากไปของเจี่ยนอันอัน มุมปากยกเป็นยิ้มเกียจคร้านขึ้นมา“เจี่ยนอันอัน น่าสนใจขึ้นมาแล้ว”กู้มั่วหลีในตอนนี้ ยิ่งเกิดความสนใจในตัวเจี่ยนอันอันมากยิ่งขึ้นเขาดึงสายตากลับมาที่กายของหนิงเจิ้น ก่อนจะย่อกายลงมาอุ้มหนิงเจิ้น ทันใดนั้นก็หายไปจากเนินเขาสือหลี่เจี่ยนอันอันไม่ได้หันกลับไปมอง มิเช่นนั้นนางจะต้องพบถึงการมีอยู่ของกู้มั่วหลีเหยียนซวงนั่งลงบนรถม้า สายตาก็ตกลงบนกายของเจี่ยนอันอัน“ขอบคุณแม่นางเจี่ยนที่ช่วยชีวิตข้าเมื่อครู่นี้”“บุญคุณของท่าน ข้าจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต”วันนี้หากไม่ใช่เพรา
รอจนเมื่อเหยียนซวงเปลี่ยนเสร็จแล้ว เจี่ยนอันอันจึงเก็บผ้าสีแดงแล้วใช้ผงสลายศพ โรยลงบนผ้าที่เพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อครู่นี้ทันใดนั้นผ้าก็เปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำทันทีเหยียนซวงไม่คิดเลยว่า เจี่ยนอันอันไม่เพียงไม่รังเกียจที่นางสกปรก ยังช่วยนางทำลายผ้าที่เลอะประจำเดือนของนางอย่างใส่ใจในใจของนางยิ่งรู้สึกของคุณเจี่ยนอันอันมากยิ่งขึ้นเจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าเหยียนซวงยังคงยืนอึ้งตะลึงอยู่ที่นั่น นางก็ตบไปยังไหล่ของเหยียนซวง“พวกเรารีบไปอำเภอไถหยางกันเถอะ น้องชายของเจ้ายังรอให้เจ้ากลับไป”เมื่อคิดว่าน้องชายยังคงรอนางอยู่ที่บ้าน เหยียนซวงก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นทั้งสองคนนั่งบนรถม้า ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเหยียนซวงเป็นคนขับรถม้านางไม่อยากให้เจี่ยนอันอันเหนื่อยล้าอีก นอกจากนี้แล้วเจี่ยนอันอันยังช่วยนางมากมายนางรับบทคนขับรถ รีบเดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอไถหยางเจี่ยนอันอันเหลือบมองไปยังคราบเลือดบนรถม้า นางอาศัยโอกาสที่เหยียนซวงไม่ได้หันมามองนางรีบหยิบขวดน้ำออกมาจากห้วงมิติ แล้วล้างคราบเลือดทั้งหมดออกไปจนสะอาดเพราะว่าเหยียนซวงรีบกลับไปหาน้องชาย รถม้าก็ถูกนางขับไปอย่างรวดเร็วครึ่งชั่วยามผ่านไป
เจี่ยนอันอันไม่คุ้นเคยกับอำเภอไถหยาง แต่นางก็ไม่อยากไปหาเซิ่งฟางที่ที่ว่าการอำเภอเพราะอย่างไรแล้วเซิ่งฟางก็เป็นถึงนายอำเภอ แต่ละวันก็มีภาระหน้าที่ราชการพัวพัน จะไปมีเวลาว่างที่ไหนเพื่อนำนางไปหาโรงโอสถกันนางคิดถึงจงซิ่นขึ้นมา บางทีเขาอาจจะช่วยเหลือนางได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจี่ยนอันอันก็พูดขึ้น "ข้าจะไปหาผู้เฒ่าจง เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนน้องชายเถิด"เจี่ยนอันอันพูดเสร็จก็จะออกไป กลับได้ยินเหยียนซวงพูดขึ้น "ข้าอยากไปกับท่านด้วย"เหยียนซวงเหลือบมองไปยังเหยียนอวี่ เขายังคงหลับตาอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยและต่อให้นางจะคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของเหยียนอวี่ ก็ทำได้เพียงแค่ร้อนรนอยู่ไม่สู้ไปด้วยกันกับเจี่ยนอันอัน เผื่อว่าอาจจะช่วยเหลืออะไรนางได้บ้าง"เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปกับข้า"เจี่ยนอันอันพูดขึ้น พลางเดินก้าวใหญ่ออกไปจากห้องทั้งสองคนนั่งบนรถม้า มุ่งหน้าไปทิศทางเรือนของจงซิ่นและเพิ่งจะเดินทางไปได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น ก็พบว่าตรงที่ไม่ไกลออกไปนั้น มีกลุ่มคนบางส่วนคอยรุมล้อมกันอยู่เจี่ยนอันอันไม่ได้สนใจ นางขับรถม้ามุ่งหน้าต่อไปยังเบื้องหน้าทว่าในตอนที่รถม้ามาถึงข้างๆ ข
เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาที่นี่ แต่เป็นพูดกับเซิ่งฟางว่า "พี่เซิ่ง คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ท่านรีบนำเปลหามมาเถอะ"เจ้าหน้าที่ทางการเข้าใจทันที รีบวิ่งไปหยิบเปลหามมาเจี่ยนอันอันลุกขึ้นยืน มองไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการที่ยกสวีจงฉือขึ้นใส่เปลหาม เดิมทีนางคิดจะออกไปทันที เพราะอย่างไรแล้วก็ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปทำแต่กลับได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดังว่า "เป็นนางนั่นแหล่ะที่แทงเขาไปหลายแผล!"เจี่ยนอันอันมองตรงไปตามเสียง ก็มองเห็นชายหนุ่มที่ก่อนหน้านั้นวิ่งออกมาจากกลุ่มคน กำลังยกมือชี้มาทางนางคำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็หันไปมองยังเขาชายหนุ่มเผชิญกับสายตาของทุกคน ใบหน้าไม่มีความหวาดกลัวใดๆเขายืนยันว่าเป็นเจี่ยนอันอันที่แทงคนผู้นั้นจนบาดเจ็บทุกคนต่างก็พากันไม่แน่ใจ ทยอยมองไปยังเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วแน่น จ้องมองอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆชายคนนั้นดูน่าเกลียดและหยาบคาย ดวงตาเป็นประกายวิบวับเพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีเจี่ยนอันอันส่งเสียงดังถามออกมา "ขอถามเจ้าหน่อย เจ้าใช้ตาข้างไหนที่เห็นว่าข้าแทงคนผู้นั้นจนบา
“ยังไม่รีบตามไปอีก!” เซิ่งฟางขมวดคิ้วขึ้น แล้วออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ทางการ เจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองไม่กล้าชักช้า รีบตามออกไป เจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าที่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนางแล้ว จึงมาเบื้องหน้าของเซิ่งฟาง “พี่เซิ่ง ข้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีก เช่นนี้ก็ไม่รบกวนท่านจัดการเรื่องคดีความแล้ว”“น้องอันอันรีบไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบเหมือนกับหมู่บ้านชิงสุ่ย เจ้าจะต้องระวังให้มาก” เจี่ยนอันอันยิ้มแล้วพยักหน้าออกมา กลับไปยังด้านหน้ารถม้า ส่งสัญญาณให้เหยียนซวงขึ้นรถม้าไปหลังจากที่เหยียนซวงขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “แม่นางเจี่ยนรู้จักกับนายอำเภออย่างนั้นหรือ?”“ข้าได้ยินท่านลุงจงบอกว่า นายอำเภอก่อนหน้านั้นเคยเป็นเจ้าเมืองอินเป่ย” “ภายหลังเกิดสงครามวุ่นวายในเมืองอินเป่ย นายอำเภอเองก็ถูกทรยศ กลายเป็นคนบาปของเมืองอินเป่ย”เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดเลยว่า จงซิ่นจะบอกเหยียนซวงมากมายเช่นนี้ “ผู้เฒ่าจงยังพูดอะไรกับเจ้าอีก?” เจี่ยนอันอันประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านลุงจงยังบอกว่า อันที่จริงแล้วนายอำเภอเป็นคนดีมาก” “ในตอนที่เขาเป็นเจ้าเมืองนั้
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เวินอี๋ก็เดินเข้ามา“คารวะแม่นางเจี่ยน!” เวินอี๋พูดขึ้น แล้วทำความเคารพเจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “พี่เวินไม่จำต้องมากพิธี ร่างกายของท่านเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน ยังต้องระมัดระวังให้มาก”“ขอบคุณแม่นางเจี่ยนมากที่รักษาอาการป่วยของข้าจนหาย เดิมทีข้าคิดว่าไม่กี่วันนี้ก็จะไปเยี่ยมท่านกับใต้เท้าที่หมู่บ้านชิงสุ่ย”“ไม่คิดเลยว่าท่านจะมาเอง”เวินอี๋มองออก ว่าที่นี่มีเพียงแค่เจี่ยนอันอันและเหยียนซวงสองคนเท่านั้นฉู่จวินสิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตามมาด้วยเขาถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ใต้เท้าของข้าเหตุใดถึงได้ไม่มากับท่านด้วย?”เจี่ยนอันอันยิ้มออกมา “ข้าให้เขาคอยดูแลอยู่ที่เรือน”เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็หันไปมองยังจงซิ่น“ท่านผู้เฒ่าจง ข้าอยากจะถามสักหน่อย ว่าในอำเภอไถหยางนี่พอจะมีโรงโอสถดีๆ อยู่หรือไม่?”“ข้าอยากจะซื้อวัตถุดิบยาบางอย่าง เพื่อรักษาอาการป่วยให้น้องชายของเหยียนซวง”จงซิ่นเมื่อได้ยินว่าจะรักษาอาการป่วยให้เหยียนอวี่ เขาก็ขมวดคิ้วออกมา แล้วส่ายศีรษะเบาๆ“วัตถุดิบทำยาทั้งหมดที่ขายอยู่ในโรงโอสถของอำเภอไถหยางล้วนมีแต่ของธร
เหยียนซวงรีบร้อนอธิบาย “ฮูหยินท่านนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางธุระของพวกท่าน”“แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเสียงเคาะดังออกมาจากในโลงศพ”“ข้าจึงอาจหาญมาขวางไว้ หวังว่าพวกท่านจะวางโลงลงมาดู เผื่อว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่”วาจาของเหยียนซวงทำให้ทุกคนอึ้งไปเสียงเป่าปี่ตีฆ้องหยุดลงในเวลานั้นเองทุกคนมองเหยียนซวงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แม้แต่สตรีที่ร้องห่มร้องไห้เหล่านั้นก็ยังเงยหน้ามองมาทางนี้“แม่สามี ไม่อย่างนั้นพวกเราเปิดโลงดูหน่อยดีไหมเจ้าคะ ไม่แน่ว่าน้องเล็กอาจยังไม่ตายก็ได้?”สตรีผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ นางเช็ดน้ำตาบนใบหน้า มองไปทางหญิงชราด้วยแววตาจริงใจยามนี้หญิงชราติงซื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกันนางเองก็อยากเปิดโลงออกดู แต่โลงศพนี้ถูกตอกตะปูไว้แล้ว เปิดออกได้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนนอกจากนี้ อาศัยเพียงวาจาของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แล้วจะพิสูจน์ความจริงเท็จของวาจานางได้อย่างไร?ติงซื่อไม่พูดอันใด นางหันไปมองคนอื่นๆ ด้านหลัง อยากฟังความคิดเห็นของทุกคนชายที่แบกธงนำวิญญาณผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นก่อน“ไม่ได้ พวกเราล่าช้าไปแล้ว ถ้ายังไม่นำโลงศพไปฝังอีกก็จะกระทบเรื่องใหญ่แล้ว”“พวกท่านไม่กลัวว่
ติงซื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ผิงเหลียงแล้ว จิตใจก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาแต่ถ้าอวี๋เสี่ยวเยว่ยังไม่ตายจริงๆ มิเท่ากับว่าพวกตนได้กระทำความผิดพลาดใหญ่หลวงลงไปหรอกหรือติงซื่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ยังตัดสินใจว่าเปิดโลงศพออกมาก่อนค่อยว่ากันอีกทีหลังติงซื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วก็มองไปทางอวี๋ผิงเหลียง“ผิงเหลียง เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ข้าตัดสินใจดีแล้ว”“ต่อให้หลังจากนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น หญิงแก่อย่างข้าจะรับผิดชอบเองคนเดียว”อวี๋ผิงเหลียงเห็นว่าคำพูดของตนเองไม่สามารถโน้มน้าวได้ เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง มือที่กุมธงนำวิญญาณก็สั่นเทิ้มขึ้นมาเหยียนซวงเห็นว่าในที่สุดคำพูดของตนเองก็ถูกติงซื่อรับฟังแล้ว นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกติงซื่อบอกให้ชายร่างใหญ่หลายคนนั้นเปิดโลงศพออกไม่ว่าคนข้างในจะเป็นหรือตายก็จะไม่สร้างความลำบากให้พวกเขาชายร่างใหญ่หลายคนนั้นไม่พูดมาก เริ่มมองหาอุปกรณ์มาเปิดโลงศพไปทั่วเจี่ยนอันอันเห็นอย่างนั้นก็รีบซื้อชะแลงอันหนึ่งมาจากร้านค้าในมิตินางส่งชะแลงให้หนึ่งในชายร่างใหญ่เหล่านั้นชายร่างใหญ่ผู้นั้นพยักหน้าให้เจี่ยนอันอันน้อยๆ แล้วออกแรงถอน
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน
เมื่อมีชาวบ้านผ่านมาที่นี่แล้วเห็นลูกปลาในสระน้ำเข้าเขาก็ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจทันทีว่า “แม่นางเจี่ยน เจ้าเป็นคนนำลูกปลาพวกนี้มาปล่อยไว้ในนี้หรือ?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ชาวบ้านผู้นั้นเรียกคนอื่นๆ มาด้วยความดีใจทุกคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของเจี่ยนอันอัน แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็จะสามารถกินเนื้อปลาสดใหม่ได้แล้วชาวบ้านจำนวนมากล้วนรู้สึกยินดีเพราะเรื่องนี้ แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งที่นิ่วหน้าคิ้วขมวดเขาอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “สระน้ำนี่ก็ดีอยู่หรอก แต่อากาศค่อยๆ เย็นลงแล้ว กลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงฤดูหนาว สระน้ำนี่ก็จะจับตัวเป็นน้ำแข็ง”“พอถึงยามนั้น อย่าว่าแต่พวกเราจะไม่ได้กินเนื้อปลา เกรงว่าแม้แต่พืชผักก็คงปลูกไม่ได้เหมือนกัน”วาจาประโยคเดียวของชาวบ้านทำให้คนอื่นๆ กลัดกลุ้มตามไปด้วยหลายวันมานี้อากาศค่อยๆ เย็นลง พวกเขาล้วนแต่เพิ่งปลูกผักทั้งยังได้รับเงินสามสิบตำลึงมาแล้วหากถึงฤดูหนาวจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกผักพวกนี้ได้อีกแล้วเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะได้กลับไปมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้งพวกเขาเกี่ยวข้าวไว้มากแล้ว แต่ผักพวกนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า?หาก
เซียงเสวี่ยเห็นลูกเป็ดและลูกไก่ตัวน้อยที่อยู่ในกรง นางดีใจจนรีบมารับไป“ฮูหยินน้อยรอง อีกหน่อยเมื่อเลี้ยงเป็ดและไก่เหล่านี้จนโต พวกเราก็จะมีเนื้อเป็ดเนื้อไก่กินแล้ว”เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย พลางมองไปยังเสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ เป็ดไก่เหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านกินหลายวันสินะ”เสิ่นจือเจิ้งยิ้มตอบ “เด็กโง่ พี่ใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น”เจี่ยนอันอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ความหมายของท่านคือ?”เสิ่นจือเจิ้งบอกเล่าความคิดของตนให้ฟังเขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงเป็ดไก่เหล่านี้ให้โต พร้อมทำการเพาะพันธุ์ต่อจากนั้นก็ทยอยนำเป็ดไก่ไปขาย เชื่อว่าน่าจะได้เงินเป็นจำนวนมากเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นดั่งเช่นทุกวันนี้อีกเจี่ยนอันอันเห็นว่าวิธีนี้พอใช้ได้ ปกติพี่ใหญ่มองการณ์ไกลมากกว่านางอยู่แล้ว“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ จึงคิดจากไปนางยังคิดจะไปดูแอ่งน้ำเสียหน่อย เผื่อจะปล่อยพันธุ์ปลาลงไปในน้ำบ้างเผื่อวันหน้าปลาโตขึ้น ชาวหมู่บ้านชิงสุ่ยก็จะมีเนื้อปลากินอีกขณะที่เจี่ยนอันอันเตรียมตัวจะออกไป กลับถูกเสิ่นจือเจิ้งเรียกตัวไว้“เมื่อคืนที่บ้านเจ้าได้เกิดเรื่อ