ฉู่จวินสิงที่ไม่ได้เอ่ยวาจามานานข่มความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นว่า “พิษนี้พอจะมีทางแก้หรือไม่?”เพียงหนึ่งประโยคนี้ก็ทำให้ความหวังของทุกคนถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งเหล่าสมาชิกจวนเยียนอ๋องล้วนหันไปมองเจี่ยนอันอันด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังเจี่ยนอันอันตรวจชีพจรของฉู่จื่อซีอีกครั้ง ในวัดร้างพลันเงียบสนิท แม้กระทั่งกองทหารรักษาพระองค์ยังหยุดพูดพวกเขาต่างจับจ้องไปยังเจี่ยนอันอันเพื่อรอฟังคำตอบจากนางหลังจากตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง นางถึงได้กล่าวขึ้นว่า “แม้พิษนี้จะเป็นพิษเรื้อรังที่ร้ายแรง แต่ข้ามีวิธีแก้ได้”คำนี้ทำให้ใบหน้าของเหล่าญาติพี่น้องได้คลายความกังวลและเผยรอยยิ้มเบาใจออกมาหัวใจของทุกคนที่เคยหนักอึ้งก็เบาลงทันทีพวกเขาล้วนเชื่อมั่นในเจี่ยนอันอัน หากนางกล่าวว่าสามารถรักษาได้ ก็ย่อมเป็นจริงตามนั้นฉู่จวินหลุนเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ขอแค่เจ้ารักษาบุตรข้าให้หายดี ต่อให้ต้องแลกด้วยเลือดของข้า ข้าก็ยินดี”เจี่ยนอันอันโบกมือเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็นถึงเพียงนั้น ข้าจะใช้วิธีอื่นเพื่อรักษาร่างกายของจื่อซี”ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่ จู่ๆ ฉู่จื่อซีก็เบิกตากว้าง
เจี่ยนอันอันกล่าวจบ ก็ถือถุงน้ำเดินกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมนางหาได้ส่งคืนถุงน้ำให้หานซื่อไม่ และหานซื่อเองก็ไม่ได้เอ่ยปากขอคืน เพราะเขายังมีถุงน้ำอีกหลายใบที่ใส่น้ำจนเต็ม เพียงพอให้ดื่มสำหรับตลอดการเดินทางส่วนน้ำถุงนั้นก็เก็บไว้ให้เป็นของเด็กน้อยใช้รักษาโรคไปเถิดเจี่ยนอันอันนั่งลงได้ไม่นาน ก็ปรากฏร่างสองร่างเข้ามาใกล้นางเมื่อเจี่ยนอันอันหันไป นางเห็นฉู่อันเจ๋อแบกฉู่จวินสิงมาถึงข้างกายนางไม่ได้ใส่ใจฉู่จวินสิงเลย เพราะในยามนี้นางไม่ได้มีกะจิตกะใจจะพูดคุยกับเขาฉู่จวินสิงเห็นท่าทีเช่นนี้ของเจี่ยนอันอัน เขาอ้าปากเหมือนจะกล่าววาจา แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดออกมาฉู่อันเจ๋อรู้สถานการณ์ดี จึงผละไปคุยกับมารดาของตนแทนทั้งสองคน คนหนึ่งนั่ง อีกคนหนึ่งนอน ต่างจมอยู่ในความเงียบงันภายนอกฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว เสียงเม็ดฝนกระทบชายคาดัง ‘เปาะแปะ’ อย่างต่อเนื่องในขณะนั้นเอง ภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเจี่ยนอันอันภาพนั้นคือภาพที่พวกเขากำลังจะเดินทางออกจากเมืองเฉาซานในวันพรุ่ง เพื่อมุ่งหน้าสู่ตีนเขาแห่งหนึ่งเมื่อข้ามเขาลูกนั้นไป เดินต่ออีกหนึ่งวัน ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่
เจี่ยนอันอันหย่อนเม็ดยาสีส้มลงในถุงน้ำ หลังจากเขย่าถุงน้ำเบาๆ แล้ว นางก็ลุกขึ้นเดินไปหาฟางอิ๋งนางส่งถุงน้ำให้ฟางอิ๋งพร้อมกล่าวกำชับว่า “อีกหนึ่งชั่วยาม ให้จื่อซีดื่มเพียงอึกเดียว ยานี้ไม่ควรดื่มมากไป ดื่มอึกเดียวก็เพียงพอแล้ว”ฟางอิ๋งรับถุงน้ำไว้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจพลางกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันเมื่อเจี่ยนอันอันกลับมานั่งที่เดิม นางก็เห็นฉู่จวินสิงนั่งกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวดความเจ็บสาหัสในร่างกายของเขากำเริบขึ้นอีกครั้งครั้งนี้เขารู้สึกว่าแม้แต่การหายใจก็เริ่มยากลำบากขึ้นเจี่ยนอันอันเห็นดังนั้นจึงรีบย่อตัวลงเพื่อตรวจชีพจรเขาโชคดีที่อาการของฉู่จวินสิงเกิดจากการที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ประกอบกับบาดแผลภายนอกที่อาการหนักขึ้น ถึงได้ทำให้เขารู้สึกทรมานเช่นนี้นางกล่าวกับฉู่จวินสิงว่า “ข้าจะต้องเปิดเสื้อของท่าน เพื่อใส่ยารักษาบาดแผล หากท่านยังขัดขืนการรักษาของข้าเหมือนคราก่อน เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่สนใจว่าท่านจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรอีก”ฉู่จวินสิงพยักหน้าเบาๆ โดยมิได้เอ่ยคำใด เจี่ยนอันอันจึงค่อยๆ เปิดเสื้อคลุมของเขาออก พบว่าบาดแผลบางจุดอักเสบและเริ่มเน่าแล้วบางจุดยังมีหน
เมื่อหานซื่อเห็นเจี่ยนอันอันหยิบตะบันไฟขึ้นมา เขาก็ลุกขึ้นยืนในทันที“คุณหนูใหญ่เจี่ยน นี่ท่านกำลังจะทำอะไร?”หานซื่อไม่ได้ถามเจี่ยนอันอันว่าตะบันไฟนี้มาจากไหนเขาคิดว่าเมื่อเจี่ยนอันอันสามารถหยิบยาแก้พิษออกมาได้ ก็คงไม่แปลกที่นางจะมีสิ่งของอย่างตะบันไฟติดตัวทั้งนี้เพราะตะบันไฟมีขนาดเล็ก เก็บซ่อนไว้ในเสื้อผ้าก็ไม่เป็นที่สังเกตนอกจากนี้ ตอนที่มีการค้นตัว พวกเขาก็ไม่ได้ค้นตัวของเจี่ยนอันอัน คิดว่าไม่แน่นางอาจจะนำมาจากบ้านเดิมของตนเจี่ยนอันอันกล่าวว่า “ข้าจำเป็นต้องหาไม้สองท่อนมาทำเปลหาม สามีของข้าเดิมก็มีบาดแผลอยู่แล้ว การเดินทางที่ยาวนานเช่นนี้ เขาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว หากมีเปลคอยหามเขา ก็จะช่วยให้เขาได้พักรักษาตัวดีๆ”หานซื่อพยักหน้าแล้วไปตามหาไม้กับทหารรักษาพระองค์คนอื่นๆ พร้อมกับเจี่ยนอันอันนางแบ่งตะบันไฟให้พวกทหารรักษาพระองค์คนอื่นอีกสองอันไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทหารรักษาพระองค์ว่า “ตรงนี้มีท่อนไม้”เจี่ยนอันอันกับหานซื่อรีบเดินไปที่ห้องทางนั้น เห็นว่าที่นั่นมีท่อนไม้กองอยู่หลายท่อนทุกคนเริ่มเข้าใจแล้วว่า พระที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นพระฝ่ายบู๊ ไม้เหล่านี้เ
เจี่ยนอันอันมองเห็นความสงสัยในสายตาของหานซื่อ นางจึงยักไหล่พลางกล่าวว่า “อย่างไรไก่พวกนี้ข้าก็หาเจอจากห้องครัวด้านหลัง ส่วนจะเป็นของพระที่เคยอยู่ที่นี่หรือไม่นั้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”หานซื่อกำลังจะพูดต่อ แต่ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดว่า “หัวหน้าหาน ตอนนี้พวกเรามีไก่กินแล้ว ก็อย่าไปสนใจเลยว่าไก่พวกนี้มาจากไหน อีกอย่างที่นี่เป็นวัดร้าง ไก่พวกนี้อาจจะเป็นของพวกขอทานที่แอบซ่อนไว้ก็ได้”หานซื่อพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดนั้น หากบอกว่าไก่พวกนี้เป็นของขอทานซ่อนเอาไว้ก็ยังพอฟังดูสมเหตุสมผลคำพูดของทหารรักษาพระองค์คนนั้นทำให้ในใจหานซื่อเลิกสงสัยเจี่ยนอันอันมองทหารรักษาพระองค์ผู้นั้นอย่างชื่นชม นางเพิ่งจำได้ว่าเขาคือคนที่เคยถูกงูกัดก่อนหน้านี้ทหารรักษาพระองค์ผู้นั้นยิ้มให้เจี่ยนอันอันอย่างจริงใจ ก่อนจะเดินกะเผลกไปหยิบหม้อใบใหญ่มาเจี่ยนอันอันสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ตัดไม้ที่เหลืออยู่ให้เป็นฟืน นางหันไปบอกหานซื่อว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีบ่อน้ำอยู่ในวัด เราใช้ประโยชน์จากน้ำในบ่อนั้นมาต้มน้ำแกงไก่กันเถิด”หานซื่อได้ยินว่ามีบ่อน้ำอยู่ ก็รีบสั่งให้คนไปตักน้ำมาไม่นานนัก ทหารรักษาพระ
เหล่าญาติพี่น้องที่ได้รับเนื้อไก่ต่างพากันกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันพวกเขากัดหมั่นโถวคำหนึ่ง แล้วใช้มือหยิบเนื้อไก่ใส่ปากอย่างไม่รีรอ จากนั้นดื่มน้ำแกงไก่อึกใหญ่ ทุกคนล้วนกินกันอย่างอิ่มเอมและพึงพอใจเนื้อไก่ช่างอร่อยยิ่งนัก รสชาติเหนือกว่าสิ่งที่พวกเขาเคยลิ้มลองในจวนเสียอีกเหล่าทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ได้ต่างกัน พวกเขาต่างกินเนื้อคำโตกันอย่างเอร็ดอร่อยน่าเสียดายยิ่งนักที่เนื้อไก่นั้นมีน้อยเกินไป พวกเขาได้ลิ้มรสกันเพียงไม่กี่ชิ้นก็หมดสิ้นแล้วโชคดีที่ยังมีน้ำแกงไก่หม้อใหญ่ ทหารรักษาพระองค์ต่างแบ่งกันคนละถ้วยสองถ้วย ไม่นานน้ำแกงก็หมดลงจนถึงก้นหม้อระหว่างนั้น เจี่ยนอันอันก็นำเนื้อไก่ไม่กี่ชิ้นไปให้ฉู่จวินสิงนางเองก็กินเนื้อไก่ไปบ้าง แต่เพราะเกรงว่าเนื้อจะไม่พอแบ่ง จึงไม่ได้กินมากไปกว่านั้นเจี่ยนอันอันคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ เพราะเนื้อไก่นั้นน้อยเกินไป แต่คนกลับมีมากนางจำต้องหาอาหารอื่นมาเพิ่มให้มากขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น เจี่ยนอันอันก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโถงใหญ่หานซื่อเห็นเจี่ยนอันอันเดินออกไป คราวนี้เขาไม่ได้ตามนางไปเช่นเคยเจี่ยนอันอันเดินไปยังบริเวณหลังคร
ฉู่อันเจ๋อเห็นดังนั้น จึงรีบหยิบถุงน้ำมาให้ฉู่จวินสิงดื่ม “พี่รอง ท่านค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งท่านหรอก”ฉู่จวินสิงดื่มน้ำแล้วจึงกลืนมันเทศที่ติดอยู่ในคอลงไปได้สายตาฉู่จวินสิงเย็นชาดั่งน้ำแข็ง จ้องฉู่อันเจ๋อเขม็งฉู่อันเจ๋อที่ถูกจ้องด้วยสายตานั้นถึงกับตัวสั่น เขาย่นคอลงแล้วพูดว่า “พี่รอง ท่านอย่ามองข้าเช่นนั้น สายตาท่านน่ากลัวเหลือเกิน”ฉู่จวินสิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง “หากเจ้ากล้าพูดเรื่องแต่งงานอีก ข้าจะเย็บปากเจ้าเสีย”ฉู่อันเจ๋อรู้ดีว่าพี่ชายรองของเขาเป็นคนที่พูดจริงทำจริง เขาตกใจจนรีบเอามือปิดปากทันที ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียวบทสนทนาของสองพี่น้องนั้น ทั้งหมดล้วนเข้าหูของเจี่ยนอันอันพอคิดถึงอนาคตที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับฉู่จวินสิง ไม่เพียงแต่ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น ยังต้องนอนบนเตียงเดียวกันอีกด้วยมุมปากของเจี่ยนอันอันก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อยระหว่างนางกับฉู่จวินสิงนั้น เพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงแค่สองวันเท่านั้นทั้งคู่แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกใดๆเจี่ยนอันอันยังไม่คิดอยากแต่งงานกับฉู่จวินสิงเร็วขนาดนี้อ
หานซื่อลอบนึกชื่นชมความสามารถของเจี่ยนอันอันจากใจจริง เขารู้สึกได้รางๆ ว่าเจี่ยนอันอันไม่ใช่คนธรรมดา ความสามารถของนางคงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้หลังจากทุกคนได้รับประทานอาหารจนอิ่มหนำ ความง่วงก็เข้ามาเยือน ผู้คนพากันนอนพักกันตามสถานที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด และการนอนหลับในคืนนี้ก็เต็มไปด้วยความสบายใจเช้าวันรุ่งขึ้น เจี่ยนอันอันตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก กองไฟที่เคยลุกโชนในยามค่ำคืนได้มอดดับไปนานแล้วเจี่ยนอันอันยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า แล้วเริ่มทำเปลหามให้ฉู่จวินสิงนางใช้จีวรพระมัดเข้ากับไม้สองท่อน ไม่นานนักนางก็ทำเปลหามอย่างง่ายจนเสร็จเจี่ยนอันอันกำลังจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่พลันรู้สึกถึงสายตาบางคู่ที่จ้องมองมาที่นางนางหันไปมองก็เห็นฉู่จวินสิงตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่นางอย่างไม่วางตาเนื่องจากเมื่อคืนได้ดื่มน้ำแกงไก่และกินอิ่มเต็มที่ ใบหน้าของฉู่จวินสิงในตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าก่อนมากเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปตรวจสอบบาดแผลภายนอกของฉู่จวินสิงอีกครั้ง ยาที่นางทาไว้เมื่อคืนนี้เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้บางส่วนของบาดแผลดีขึ้นมากเจี่ยนอันอันหยิบยารักษาแผลชุดใหม่ออกมา และเริ่มทาย
หลังจากทั้งคู่กินข้าวเสร็จ กลับไม่ได้พักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมหลังจากออกไปข้างนอก ก็มาอยู่ในมุมๆ หนึ่งซึ่งปลอดคนในใจรีบท่องชื่อว่านผิงพร้อมกัน และไม่นานก็หายตัวไปจากซอกมุมนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จึงเห็นว่านผิงกับพวกกำลังเที่ยวจับคนอยู่ทุกครั้งที่จับชายคนหนึ่งได้ ก็จะหยิบภาพเขียนออกมาเปรียบเทียบดูใบหน้าทำเอาผู้คนบนท้องถนนต่างตกใจเป็นการใหญ่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันยังอยู่ในสภาพอำพรางกายอยู่ ว่านผิงกับพวกจึงไม่รู้ว่ามีคนมาคอยติดตามและพวกเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น กลับเดินตามพวกว่านผิงไปเรื่อยๆโดยตั้งใจว่าจะหาโอกาสเหมาะ ค่อยลงมือเสียทีเดียวเพราะถ้าอยู่ท้องถนนแล้วลงมือฆ่าคน อาจทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกเป็นอย่างมากพวกเขาจับคนมาหลายคน แต่ล้วนไม่ใช่คนในภาพเขียนทำเอาว่านผิงโกรธจนกำหมัดแน่น มองหน้าลูกน้องพร้อมกล่าวเสียงดุ “พวกมันยังอยู่ในเมืองหลี่จง รีบไปค้นหาให้ทั่ว อย่าได้ปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว!”“ขอรับ ท่านหัวหน้า”ลูกน้องรับคำโดยพร้อมเพรียง และตามหาต่อไปเมื่อพวกเขามาถึงที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พลันเห็นข้างหน้ามีบ้านเล็กหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ดูจากประตูที่เก่าโทร
ว่านผิงส่งสายตาให้เหล่าลูกน้อง ทุกคนรีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปต่างถือเอาภาพเหมือนออกมา พร้อมเปรียบเทียบบนใบหน้าแขกทีละคน เมื่อเห็นว่าล้วนไม่ใช่คนที่ตนต้องการจะหา อีกทั้งมองดูในห้อง จนแน่ใจว่าไม่มีใครหลบซ่อนอยู่ จึงลงไปยังชั้นล่าง“หัวหน้า ชั้นบนไม่มีคนที่เราจะหา”ว่านผิงเหลียวมองคนที่นั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม มองดูแต่ละคนแล้วสำรวจขึ้นลง สุดท้ายไปจับจ้องอยู่ที่ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันเขาเห็นคนทั้งคู่ต่างก้มหน้ากินข้าว แทบไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้ใดเสียด้วยซ้ำจึงผละจากเถ้าแก่ เดินจ้ำอ้าวไปทางฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอัน“เงยหน้าขึ้นมา” ว่านผิงกล่าวเสียงตะคอก กระบี่ในมือชี้ที่ลำคอฉู่จวินสิงฉู่จวินสิงแทบไม่นำพาต่อกระบี่ที่พาดคอ พลางวางตะเกียบลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “ว่าอย่างไร เจ้าคิดลงมือกับข้าด้วยรึ?”ฉู่จวินสิงเลียนแบบน้ำเสียงของอิ่นเจียง พลางเหลือบตาขึ้นมองว่านผิงทันทีที่ว่านผิงเห็นหน้าฉู่จวินสิงชัดเจน จึงตกใจจนตัวสั่น พลางรีบเก็บกระบี่ขึ้น“ข้าน้อยไม่รู้ว่าใต้เท้ามาอยู่นี่ เมื่อครู่ล่วงเกินไป ขอท่านโปรดอภัยด้วย”ว่านผิงยืนอยู่ด้านข้างฉู่จวินสิง ในใจรู้สึกขนลุกขนชัน
ฉู่จวินสิงเห็นเจี่ยนอันอันในที่สุดก็ลืมตาขึ้น จึงได้กล่าวกับนาง “เมื่อครู่ข้าเรียกเจ้าอยู่หลายที เจ้าก็ไม่ขานตอบ ข้ายังนึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก”เจี่ยนอันอันเพิ่งจะนึกได้ เมื่อครู่นางกำลังเพ่งมองภาพในมิติอยู่ ข้างโสตได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนางจริงๆเพียงแต่ความสนใจของนาง ล้วนไปอยู่ในภาพนั้นหมดสิ้น จึงไม่ได้ใส่ใจการเรียกหาของฉู่จวินสิงนางจึงยอมให้ฉู่จวินสิงมานั่งด้านข้าง พร้อมนำภาพที่เห็น บอกเล่าให้เขาฟัง“จากที่เจ้าเล่ามา ชายสองคนที่เห็นนั้น อาจเป็นลูกน้องข้าก็ได้”เจี่ยนอันอันก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน หากชายสองคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง เบื้องหน้านางคงไม่ปรากฏภาพเช่นนั้นออกมา“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็รออยู่ในโรงเตี๊ยมนี้แหละ เพราะที่ๆ สองคนนั้นจะมาพักก็คือโรงเตี๊ยมแห่งนี้”ฉู่จวินสิงได้ยินดังนี้ พลันเกิดความคิดในใจขอเพียงชายสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็จะได้สมทบกับพวกเขาทันทีเพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนหลบหนีพร้อมกัน เหตุใดจึงได้พลัดหลงกันเช่นนี้?หรือว่าลูกน้องอีกสามคนได้ถูกคนของฉู่ชางเหยียนจับกลับไปเสียแล้ว?เจี่ยนอันอันเห็นฉู่จวินสิงขมวดคิ้วมุ่น นางจึงเอ่ยปาก “อย่าเพ
ฉู่จวินสิงกล่าวเสียงก้อง “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้เวลาท่านสามวันในการสืบเรื่องนี้”“ถ้าไม่ได้ตัวผู้ก่อเหตุมา ข้าจะทำตามรับสั่งของฝ่าบาท สั่งประหารพวกท่านทั้งครอบครัว”คำพูดของฉู่จวินสิง ทำให้เจ้าเมืองข่งสะดุ้งอย่างแรงจนแม้แต่สะใภ้รองที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ก็พลอยหวาดกลัวจนตัวสั่นไปด้วยนางแอบเหลียวมองเจ้าเมืองข่ง เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะตามหาคนผู้นั้นได้พบหรือไม่หลังจากฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันจากไปแล้ว เจ้าเมืองข่งค่อยทรุดตัวลงกับพื้นเขาหายใจหอบแรง หวังจะช่วยระงับความหวาดหวั่นในใจบ้างสะใภ้รองได้ยินว่าโทษถึงขั้นประหารชีวิต ทำให้นางร้อนใจจนเดือดพล่านยิ่งกว่ามดที่อยู่บนฝาหม้อร้อน น้ำตาก็ยิ่งไหลรินไม่หยุด“ท่านพ่อ ข้ายังไม่อยากตาย โรคของซีเอ๋อร์ยังไม่ทันรักษาให้หายขาด เขาจะถูกประหารเช่นนี้ไม่ได้ ท่านต้องรีบจับกุมผู้แอบอ้างชื่อผู้นั้นให้ได้นะเจ้าคะ!”เจ้าเมืองข่งมีแผนการในใจอยู่แล้ว จึงถลึงตาใส่สะใภ้รอง พลางกล่าว “เลิกร้องไห้เสียที รีบไปดูซีเอ๋อร์ก่อนว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”สะใภ้รองรีบซับน้ำตาที่นองหน้าอยู่ พลางลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างเตียงมองดูซีเอ๋อร์ขณะนั้นมีสาวใ
เสียงของเจี่ยนอันอันดังขึ้นจากด้านหลัง “บอกให้พวกเขาถอยออกไป หาไม่ข้าจะให้พวกท่านตายทั้งบ้าน!”เจ้าเมืองข่งรู้ดีว่าสองคนนี้วรยุทธ์ไม่เบา จึงไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม ได้แต่รีบโบกมือให้เหล่าทหารจนแม้แต่สะใภ้รองที่อยู่บนเตียง ก็ตกใจกับคำพูดเจี่ยนอันอันเสียจนต้องรีบหยุดร้องไห้โดยพลันรอให้ทหารออกไปหมดแล้ว เจ้าเมืองข่งจึงได้ถามเสียงสั่น “พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”“ที่เรามานี่ ย่อมได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ ให้สืบเรื่องราวการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อน”เจ้าเมืองข่งได้ยินคำพูดของฉู่จวินสิง พลันขมวดคิ้วมุ่น สองตาจ้องเขม็งไปที่เขาเพียงไม่นานเจ้าเมืองข่งก็สังเกตจากบุคลิกและการแต่งกายของฉู่จวินสิง ดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นชาวจิงโจวจริงๆแต่จะบอกว่ารับพระบัญชามาจากฮ่องเต้ ก็ออกจะฟังไม่ขึ้นไปเสียหน่อย“พวกเจ้ามีสิ่งใดมายืนยันว่ารับพระบัญชามาสืบสวนข้าจริง?”ซ้ำยังเป็นเรื่องเมื่อสามปีที่แล้วฮ่องเต้ทรงมีราชกิจมากมาย จู่ๆ จะทรงนึกได้อย่างไรว่าต้องสืบสวนเรื่องการสอบจอหงวนเมื่อสามปีก่อนไม่แน่ว่าสองคนนี้ อาจเป็นผู้ใดส่งมาแก้แค้นเขาก็ได้เพราะเขาเคยรับผลประโยชน์จากผู้อื่นมาไม่น้อย อีกทั้งให้ผู้ที่สอบตก
แม้แต่บุตรชายโง่งมของเขาก็ยังไม่กลับบ้านมาแต่เสียงนี้กลับได้ยินแจ่มชัด จนเขามั่นใจว่าในห้องยังมีผู้อื่นอยู่อีกพลันรีบลุกขึ้นยืน มองไปยังห้องว่างเปล่าแล้วตะคอกเสียงดัง “เป็นผู้ใดกัน รีบออกมาเดี๋ยวนี้!”ถึงขั้นนี้แลว ทั้งเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงจึงไม่คิดหลบซ่อนตัวอีกทั้งคู่จึงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจ้าเมืองข่งการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคนทั้งคู่ ยิ่งทำให้เจ้าเมืองข่งตกใจเสียจนนั่งทับลงบนร่างสะใภ้รองโดยไม่รู้ตัวส่วนทางสะใภ้รองจู่ๆ ถูกคนมานั่งทับ ก็ทำเอานางเจ็บจนร้องโอย พลันรีบลืมตาขึ้นเจ้าเมืองข่งเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้นั่งทับร่างสะใภ้รองอยู่ จึงรีบกระโดดผึงขึ้นมาในบัดดลเขาชี้หน้าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง พลางกล่าวตวาด “พวกเจ้าเป็นใครกัน ไฉนมาอยู่ในบ้านข้าได้?”เจี่ยนอันอันยิ้มหยันขณะมองหน้าเจ้าเมืองข่ง นางไม่ได้พูดจา แต่ในมือถือเข็มเงินเล่มหนึ่งอยู่นานแล้วนางดีดนิ้วหนึ่งที เข็มเงินรีบพุ่งไปยังเด็กชายที่นอนอยู่บนเตียงเข็มนั้นไปปักที่ศีรษะของเด็กชาย พลันได้ยินเสียงเด็กร้อง “อึ่ก” แล้วกระอักโลหิตสดออกมาคำหนึ่งเจ้าเมืองข่งรีบหันไปดูด้วยความตกใจ จึงเห็นบนศีรษะของหลานตัวน้อย มี
เจ้าเมืองข่งลุกพรวดขึ้น เขารีบประสานมือให้กับบรรดาพ่อค้า “ขออภัยด้วยทุกท่าน ที่บ้านข้ามีธุระ ต้องรีบไปจัดการ”“ขอให้ทุกท่านกลับไปก่อน รอให้ถึงเวลาสอบจอหงวนในอีกหนึ่งปี ข้าจะช่วยให้ลูกๆ ของพวกเจ้าสอบผ่านโดยราบรื่น”เจ้าเมืองข่งว่าจบก็ให้พ่อบ้านส่งแขกส่วนตัวเขารีบเดินไปทางห้องนอนของหลานชายเจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากันก่อนจะตามไปทันทีหลังจากที่ทั้งสองคนเดินตามเจ้าเมืองข่งอยู่นานมาก พวกเขาก็มาถึงหน้าห้องนอนในที่สุดเจ้าเมืองข่งรีบเดินเข้าไป เห็นลูกชายคนรองยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าเตียงหลานชายวัยหกขวบที่อยู่บนเตียงกำลังกลอกตา ปากพ่นฟองขาวฟอด ร่างกายชักเกร็งส่วนลูกสะใภ้รองของเขากำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้นลูกชายคนรองยืนซื่ออยู่หน้าเตียงไม่ต่างจากท่อนไม้ แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน“ปัดโธ่ เจ้าลูกโง่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”เจ้าเมืองข่งตบเข่าฉาดด้วยความร้อนอกร้อนใจเมื่อเห็นลูกชายคนรองเขาสั่งให้บ่าวรับใช้เขามาลากนายน้อยรองออกไปทันทีในตอนนี้เอง จู่ๆ คุณชายรองก็ปรบมือร้องอย่างมีความสุข“สนุกมาก คนหนึ่งแกล้งชัก ส่วนอีกคนจะแกล้งตาย ข้าเองก็อยากเล่นกับพวกเจ้าด้วย”คุณชายรองว่าจบก็ไปนอนทับ
บัดนี้ลูกของพวกเขาต่างสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉขอเพียงต่อไปมอบสมบัติให้เจ้าเมืองข่งมากขึ้น วันหน้าก็จะสอบได้ตำแหน่งที่ดียิ่งกว่านี้เจี่ยนอันอันมองเห็นว่าเจ้าเมืองข่งมีใบหน้าเหลี่ยม ความละโมบแผ่ออกมาทางดวงตาเรียวเล็กเป็นระยะๆนางลอบถากถางในใจว่า “หน้าตาของเจ้าเมืองผู้นี้สะท้อนให้เห็นถึงตัวจริงๆ”พ่อค้าคนหนึ่งพูดว่า “ใต้เท้าข่ง ไม่ทราบว่าหลานชายของท่านป่วยเป็นอะไรกันแน่หรือ?”เจ้าเมืองข่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งในตำแหน่งประธานเขาส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงได้ มีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้ทุกคน“เดิมทีแล้วหลานชายของข้าก็ร่าเริงแจ่มใสดี แต่ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ช่วงนี้ล้มป่วยอยู่ตลอด ตอนนี้แค่จะพูดยังยากเลย”เจ้าเมืองข่งขมวดคิ้วแน่นด้วยความกลัดกลุ้มเมื่อพูดถึงตรงนี้“ไม่มีหมอที่จะรักษาได้หรือ?” พ่อค้าอีกคนเอ่ยถามเจ้าเมืองข่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เขาส่ายหน้าว่า “ข้าตามหมอมาทั่วเมืองหลี่จงแล้ว แต่ไม่มีคนใดที่จะรักษาได้”พ่อค้าที่นำผนึกหัวใจพระพุทธมาให้ฟังถึงตรงนี้ก็หยิบมันออกมาจากอกเสื้อทันทีผนึกหัวใจพระพุทธถูกแสงส่องกระทบเป็นสีรุ้งระยิบระยับเขาลุกขึ้นประสานมือพูดกับเจ้าเ
ทั้งสองคนลงจากหลังม้า นำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ แต่ในจังหวะที่กำลังจะไปจวนเป่าเซวียน พวกเขาก็เห็นรถม้าหลายคันทยอยกันมาหยุดจอดหน้าจวนเป่าเซวียนผู้คนที่ลงมาจากรถม้าล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราดูจากการแต่งกายของพวกเขาแล้วน่าจะไม่ใช้ข้าราชการ ดูคล้ายพ่อค้ามากกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าที่จวนเจ้าเมืองกำลังมีงานอะไร ถึงได้มีคนมาเยอะขนาดนี้คนเหล่านั้นเดินไปที่ประตูแล้วนำเทียบเชิญออกมาจากอกเสื้อพ่อบ้านยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเทียบเชิญเขาประสานมือพูดว่า “รีบเชิญด้านใน ใต้เท้ารออยู่นานแล้ว”พ่อค้าเหล่านั้นประสานมือตอบก่อนจะสืบเท้าเข้าไปดูเหมือนว่า หากพวกเจี่ยนอันอันจะเข้าไปในจวนเป่าเซวียนก็จำเป็นต้องมีเทียบเชิญเจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน ทั้งสองท่องในใจทันทีว่าล่องหนครานี้ก็จะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นหรือมองเห็นพวกเขาแล้ว เลือนหายไปในอากาศภายในเสี้ยวพริบตาทั้งสองเดินวางมาดกรีดกรายเข้าไปต่อหน้าต่อตาพ่อบ้านจังหวะที่ทั้งสองคนเดินผ่านพ่อบ้าน พ่อบ้านก็ได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างนั่นเป็นกลิ่นที่มีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะแผ่ออกมาได้เขามองรอบทิศ นอกจากพ่อค้าไม่กี่คนที่เพิ่งเข้าไปแ