เฉียนซื่อรู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะภายในกลวงทั้งหกราวกับถูกหนอนนับหมื่นตัวกัดกินนางเจ็บจนเหงื่อเย็นไหลออกมา เสื้อผ้าเนื้อหยาบเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นในที่สุดเฉียนซื่อก็เข้าใจแล้วว่าวันนี้ตัวเองได้พบกับคนที่ต่อกรยากเข้าแล้วนางไม่กล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงนั่งหอบหายใจบนพื้นหมายจะทำแบบนี้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายเจี่ยนอันอันไม่ได้สนใจเฉียนซื่ออีก นางสืบเท้ายาวๆ เดินไปที่รถม้าแสงจันทร์ช่วยส่องให้เห็นว่าเสิ่นจือเจิ้งที่อยู่บนรถม้ากำลังลืมตาอยู่ทว่าดวงตาของเขาว่างเปล่าไร้ประกาย นอนแน่นิ่งอยู่ในนั้นเหมือนขอนไม้เจี่ยนอันอันยื่นมือไปส่ายเบื้องหน้าเสิ่นจือเจิ้ง พบว่าดวงตาของอีกฝ่ายยังคงไม่ไหวติงนางจับข้อมือของเขาขึ้นมาจับชีพจรดูจากชีพจรแล้ว ภายในร่างกายของเสิ่นจือเจิ้งไม่มีพิษร้ายใดๆที่เขามีอาการเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดจากวิชาไสยศาสตร์เจี่ยนอันอันหันไปมองเฉียนซื่อ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้เช่นกันภาพนี้ทำให้เจี่ยนอันอันยิ่งมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเฉียนซื่อตอนนี้เสิ่นจืออวี้หายเป็นปกติในที่สุด เขาลุกขึ้นเดินมาอยู่ข้างเจี่ยนอันอัน
แต่แล้วตอนนี้ท่านพ่อกลับไม่แม้แต่จะสนใจเขา ราวกับว่าได้ตายไปแล้วเมื่อคิดว่าท่านพ่ออาจจะตายแล้ว เสิ่นคังก็ยิ่งร้องไห้เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ“ท่านพ่อ ท่านอย่าตายนะขอรับ อย่าทิ้งคังเอ๋อร์ไป!”เสียงร้องไห้ของเสิ่นคังดังขึ้นเรื่อยๆ จนเฉียนซื่ออดที่จะด่าไม่ได้ “ร้องอะไรนักหนา ขืนยังร้องอีก ข้าจะให้เจ้าเป็นเหมือนเขา”ถ้อยคำของเฉียนซื่อทำให้เสิ่นคังต้องรีบปิดปากด้วยความหวาดกลัวเขาไม่กล้าร้องไห้เสียงดังอีก กระนั้นก็ยังคงมีเสียงร้องไห้ฮือๆ ดังออกมาจากปากเฉียนซื่อแค่นเสียงเย็น ไม่ได้สนใจเสิ่นคังอีกตอนนี้นางกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการเจี่ยนอันอันด้วยวิธีอะไรดีวิชาไสยศาสตร์ของนางไม่เคยพลาดมาก่อน ทว่ามันกลับใช้ไม่ได้ผลกับเจี่ยนอันอันเรื่องนี้ทำให้เฉียนซื่อไม่พอใจมากเดิมทีเจี่ยนอันอันก็มีจรรยาบรรณของความเป็นแพทย์ อีกทั้งฉู่จวินสิงก็รู้จักกับเสิ่นจือเจิ้งนางกระโดดขึ้นรถม้าไปเลิกเสื้อของเสิ่นจือเจิ้งขึ้นบาดแผลบนร่างเขาเน่าพุพองมานานแล้วการเลิกเสื้อขึ้นเมื่อครู่ของเจี่ยนอันอันทำให้แผลถูกกระตุ้นอีกครั้งโลหิตไหลออกมาทางปากแผลทันทีที่นี่มืดมาก มองเห็นแผลได้ไม่ค่อยชัดเจี่ยนอันอันนำ
เจียงหว่านเอ๋อร์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมองออกว่าเจี่ยนอันอันเป็นคนมีเหตุผลสิ่งใดที่นางไม่ควรทำ นางก็จะไม่ฝืนทำเรื่องนี้ทำให้ความคิดที่เจียงหว่านเอ๋อร์มีต่อเจี่ยนอันอันเปลี่ยนไปเล็กน้อยเสิ่นจืออวี้เห็นเจียงหว่านเอ๋อร์ถอดกางเกงให้เสิ่นจืออวี้ด้วยความระมัดระวังเขารู้สึกว่าตัวเองจะเอาแต่นิ่งดูดายไม่ได้ เขากระโดดขึ้นรถม้าทันที ช่วยเจียงหว่านเอ๋อร์ถอดกางเกงให้เสิ่นจือเจิ้งบาดแผลที่น่าสยดสยองทำให้ทั้งสองคนอดที่จะหายใจดังเฮือกไม่ได้แผลที่ขาของเสิ่นจือเจิ้งสาหัสกว่าแผลตามร่างกายมากบวกกับช่วงที่ผ่านมานี้ไม่ได้รับการรักษามาโดยตลอด ทำให้เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยหลุดออกมาพร้อมกับกางเกงบางจุดเนื้อหลุดจนเห็นถึงกระดูกเจียงหว่านเอ๋อร์รีบยกมือปิดตาเสิ่นคังเพราะกลัวว่าเขาจะกลัว“ท่านแม่ ข้าไม่กลัวขอรับ ข้าอยากเห็นพวกท่านทายาให้ท่านพ่อ”เสิ่นคังค่อนข้างสงบนิ่ง เขาแกะมือของเจียงหว่านเอ๋อร์ออก ไม่ว่าอย่างไรก็จะดูให้ได้เจี่ยนอันอันได้ยินเสียงพูดของเสิ่นคัง นางหันกลับไปมองทางรถม้าปราดหนึ่งสีหน้าของทั้งสามคนทำให้นางพอจะเดาได้ว่าบาดแผลบริเวณขาของเสิ่นจือเจิ้งต้องสาหัสมากเป็นแน่ทันใด
เมื่อเห็นเสิ่นจืออวี้นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เฉียนซื่อก็แค่นเสียงเย็น“เหอะ หากไม่ใช่เพราะพี่ชายของเจ้าล่วงเกินฮ่องเต้ ข้ามีหรือจะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่พร้อมกับพวกเจ้า”“ครานี้ดีล่ะ แม้แต่ที่ให้อยู่ก็ยังไม่มี เจ้ายังมีหน้ามาซักถามข้าอีก”“หากพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้าอกตัญญูขนาดนี้ เกรงว่าเขาที่อยู่ในปรโลกคงได้โมโหจนฟื้นกลับมามีชีวิต”เสิ่นจืออวี้ซึ่งเดิมทีก็โมโหอยู่แล้วถูกเฉียนซื่อพูดแบบนี้ใส่ก็ยิ่งโมโหเลือดขึ้นหน้าเขากำไม้เท้าแน่นและชี้ไปที่หน้าเฉียนซื่อด้วยความโมโห “ที่พวกข้าถูกเนรเทศมาที่นี่เป็นเพราะท่านต่างหาก”“แม้แต่พี่ใหญ่ของข้าท่านก็ยังไม่ยอมปล่อยไป ตอนนี้ยังจะด่าว่าข้าอกตัญญูอีก”“ไหนลองบอกข้ามาว่าตัวเองช่วยอะไรหรือ?”เฉียนซื่อเห็นเสิ่นจืออวี้ใช้ไม้เท้าชี้หน้าตัวเองก็ลุกขึ้นด้วยความโมโหเพื่อแย่งไม้เท้าคืนมา“หากไม่ใช่เพราะมีข้าอยู่ พวกเราจะถูกเนรเทศไปอยู่ที่ใดก็ยังไม่รู้”“เจ้าหลานอกตัญญู เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฟาดเจ้าให้ตาย!”เฉียนซื่อว่าแล้วจับปลายอีกด้านของไม้เท้านางรู้สึกว่าที่ก่อนหน้านี้วิชาไสยศาสตร์ของตัวเองใช้ไม่ได้ผลเป็นเพราะไม้เท้าด้ามนี้ตกไปอยู่ในมือเสิ่นจืออวี้
เจี่ยนอันอันมองเจียงหว่านเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชา “อยากให้สามีมีชีวิตรอดหรือไม่?”“แน่นอนอยู่แล้ว” เจียงหว่านเอ๋อร์ตอบทันทีนางไม่เข้าใจว่าเจี่ยนอันอันถามเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร นั่นคือสามีของนางนะ นางต้องหวังว่าเขาจะดีขึ้นโดยไวอยู่แล้วสิ“ในเมื่ออยากให้เขามีชีวิต เช่นนั้นก็อย่าสงสัยในวิชาแพทย์ของข้า”เจี่ยนอันอันไม่ชอบให้คนอื่นสงสัยในความหวังดีของตัวเองที่สุดแล้วหากไม่ใช่เพราะทุกคนถูกเนรเทศเหมือนกันและมาอยู่หมู่บ้านชิงสุ่ยด้วยกันนางก็คร้านจะสนใจความเป็นความตายของเสิ่นจือเจิ้งเจียงหว่านเอ๋อร์ได้ยินดังนี้ก็ผงะ แต่นางก็เข้าใจอย่างรวดเร็วนางรู้ว่าตัวเองอ่อนไหวเกินไปหากว่าเจี่ยนอันอันไม่คิดที่ช่วยสามีของนาง เกรงว่าตอนนี้อาการของเขาคงทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ“ขออภัย ข้าอ่อนไหวเกินไปเอง”เจี่ยนอันอันเห็นเจียงหว่านเอ๋อร์ก้มหน้ายอมรับผิดก็ไม่อยากถือสาหาความมากนักเพื่อคลายความกังวลของเจียงหว่านเอ๋อร์ เจี่ยนอันอันก็พูดว่า “เมื่อครู่นี้ข้าให้เขากินโอสถรักษาบาดแผลภายใน”“เขาไม่ได้มีแค่บาดแผลภายนอก แต่ยังมีบาดแผลภายในที่สาหัสมากด้วย”“นอกจากนี้ยังถูกวิชาไสยศาสตร์ ต่อให้ตอนนี้ทุบ
เจี่ยนอันอันช่วยทายาให้ฉู่จวินสิงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็พันแผลให้เขาฉู่จวินสิงเหลือบมองไปยังเฉียนซื่อที่กำลังชักกระตุกอยู่บนพื้น และเสิ่นจืออวี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเหม่อลอย“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”เจี่ยนอันอันเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หลังจากที่ฉู่จวินสิงได้ฟังแล้วก็รีบก้าวไปที่รถม้าเขาเห็นเสิ่นจือเจิ้งลืมตาด้วยสายตาว่างเปล่า มองไปยังท้องฟ้า“ในเมื่อเสิ่นจือเจิ้งถูกวิชาไสยศาสตร์เล่นงาน แล้วพอจะช่วยเขาได้หรือไม่?”เจี่ยนอันอันส่ายศีรษะเบาๆ “ตอนนี้ข้ายังไม่มีวิธีที่จะทำให้เขาฟื้นสติ จำเป็นต้องกลับไปศึกษาคัมภีร์สามชะตามรรคาลี้ลับก่อน”“หากในนั้นมีวิธีแก้วิชาไสยศาสตร์นี้ ข้าก็พอจะช่วยทำให้เขาฟื้นสติขึ้นมาได้”บทสนทนาของทั้งสองดังเข้าไปถึงหูของเจียงหว่านเอ๋อร์และเสิ่นจืออวี้เสิ่นจืออวี้ที่เหม่อลอยอยู่นาน ในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมา เขาเดินตรงมายังหน้ารถม้ามองไปที่ฉู่จวินสิงด้วยสีหน้าสงสัย“ท่านรู้จักพี่ใหญ่ของข้าด้วยหรือ?”เมื่อครู่ฉู่จวินสิงเอ่ยชื่อของเสิ่นจือเจิ้งออกมา ทำให้ในในของเจียงหว่านเอ๋อร์รู้สึกระแวงมากขึ้นพวกเขารู้จักสามีนางได้อย่างไร หรือว่าพวกเข
เฉียนซื่อเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจมาโดยตลอด ระหว่างทางไม่วายด่าพวกเราสองพี่น้องว่าเป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์คาดว่าระหว่างทาง เสิ่นจือเจิ้งคงถูกเฉียนซื่อร่ายวิชาไสยศาสตร์ใส่เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสิ่นจืออวี้มองเฉียนซื่อด้วยความโกรธแค้นเจี่ยนอันอันเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดพวกท่านจึงเรียกนางว่าย่ารอง หรือว่านางไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของพวกท่าน?”เสิ่นจืออวี้เช็ดหยาดน้ำที่มุมตา ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก“ใช่แล้ว นางไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของพวกข้า นางเป็นฮูหยินรองของท่านปู่ และนางไม่มีลูกเป็นของตนเอง”“เนื่องจากนางเรียนรู้วิชาไสยศาสตร์ลึกลับ พวกเราจึงไม่มีใครกล้าขัดใจนาง มีเพียงพี่ใหญ่ของข้าเท่านั้นที่กล้าต่อปากต่อคำนางเป็นครั้งคราว”เจี่ยนอันอันเข้าใจทันที มิน่าละว่าทำไมเสิ่นจือเจิ้งถึงกลายเป็นเช่นนี้เฉียนซื่อคงเก็บความแค้นไว้จากการที่เสิ่นจือเจิ้งมักโต้เถียงกับนางเป็นประจำ เมื่อสบโอกาสจึงใช้จังหวะที่เขาล้มป่วยหวังจะปลิดชีพเขานางไม่กล้าลงมือฆ่าเสิ่นจือเจิ้งอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับใช้วิชาไสยศาสตร์ทำให้เขากลายเป็นเหมือนคนตายทั้งเป็นเจี่ยนอันอันยังไม่ได้คิดจะฆ่าเฉียนซื่อตอนนี้ นางยังต้องการหาคำตอบจากเฉียนซื่อเกี่
แม่นมหลี่ที่เคยถูกเจี่ยนอันอันจัดการจนกลัว ครานี้พอเห็นเจี่ยนอันอันยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ยิ่งเหมือนหนูที่เจอแมวเข้า“คุณชายรอง ฮูหยินรอง พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”ชิวเหลียนยิ้มกว้างอย่างยินดี เดินเร็วๆ มาที่หน้าประตูรั้วและเชิญทั้งสองคนเข้ามาเมื่อเสียงพูดคุยดังขึ้นในลานบ้าน เตียวเฉียงและกวนซิน รวมถึงคนอื่นๆ ก็พากันเดินออกมาจากตัวเรือนเจี่ยนอันอันเห็นว่าทุกคนมาพร้อมหน้า ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะแจ้งเรื่องให้ทุกคนรู้เจี่ยนอันอันหันไปมองเตียวเฉียงและคนรับใช้คนอื่นๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อีกประดี๋ยว ข้าจะพาคนมาพักอยู่ที่นี่สี่คน”“พวกเจ้าจัดการเก็บกวาดเรือนให้เรียบร้อย แล้วแบ่งห้องออกมาสองห้อง”เมื่อสือเจี้ยได้ยิน เขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วพูดว่า “แม่นาง คนที่จะมาพักค้างคืนที่นี่เป็นใครกันแน่?”“พวกเราคงยากที่จะเบียดเสียดอยู่ในห้องเดียวกันได้”สือเจี้ยพูดพลางเหลือบมองไปที่เตียวเฉียงก่อนหน้านี้เตียวเฉียงมีห้องเป็นของตัวเอง ส่วนสือเจี้ยและคนรับใช้คนอื่นๆ อยู่รวมกันในห้องอีกห้องแม่นมหลี่อยู่คนเดียวในอีกห้อง กวนซินกับฉู่ตั๋วตั่วรวมถึงชิวเหลียนที่มาใหม่อยู่ด้ว
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน
เมื่อมีชาวบ้านผ่านมาที่นี่แล้วเห็นลูกปลาในสระน้ำเข้าเขาก็ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจทันทีว่า “แม่นางเจี่ยน เจ้าเป็นคนนำลูกปลาพวกนี้มาปล่อยไว้ในนี้หรือ?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ชาวบ้านผู้นั้นเรียกคนอื่นๆ มาด้วยความดีใจทุกคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของเจี่ยนอันอัน แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็จะสามารถกินเนื้อปลาสดใหม่ได้แล้วชาวบ้านจำนวนมากล้วนรู้สึกยินดีเพราะเรื่องนี้ แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งที่นิ่วหน้าคิ้วขมวดเขาอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “สระน้ำนี่ก็ดีอยู่หรอก แต่อากาศค่อยๆ เย็นลงแล้ว กลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงฤดูหนาว สระน้ำนี่ก็จะจับตัวเป็นน้ำแข็ง”“พอถึงยามนั้น อย่าว่าแต่พวกเราจะไม่ได้กินเนื้อปลา เกรงว่าแม้แต่พืชผักก็คงปลูกไม่ได้เหมือนกัน”วาจาประโยคเดียวของชาวบ้านทำให้คนอื่นๆ กลัดกลุ้มตามไปด้วยหลายวันมานี้อากาศค่อยๆ เย็นลง พวกเขาล้วนแต่เพิ่งปลูกผักทั้งยังได้รับเงินสามสิบตำลึงมาแล้วหากถึงฤดูหนาวจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกผักพวกนี้ได้อีกแล้วเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะได้กลับไปมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้งพวกเขาเกี่ยวข้าวไว้มากแล้ว แต่ผักพวกนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า?หาก
เซียงเสวี่ยเห็นลูกเป็ดและลูกไก่ตัวน้อยที่อยู่ในกรง นางดีใจจนรีบมารับไป“ฮูหยินน้อยรอง อีกหน่อยเมื่อเลี้ยงเป็ดและไก่เหล่านี้จนโต พวกเราก็จะมีเนื้อเป็ดเนื้อไก่กินแล้ว”เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย พลางมองไปยังเสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ เป็ดไก่เหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านกินหลายวันสินะ”เสิ่นจือเจิ้งยิ้มตอบ “เด็กโง่ พี่ใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น”เจี่ยนอันอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ความหมายของท่านคือ?”เสิ่นจือเจิ้งบอกเล่าความคิดของตนให้ฟังเขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงเป็ดไก่เหล่านี้ให้โต พร้อมทำการเพาะพันธุ์ต่อจากนั้นก็ทยอยนำเป็ดไก่ไปขาย เชื่อว่าน่าจะได้เงินเป็นจำนวนมากเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นดั่งเช่นทุกวันนี้อีกเจี่ยนอันอันเห็นว่าวิธีนี้พอใช้ได้ ปกติพี่ใหญ่มองการณ์ไกลมากกว่านางอยู่แล้ว“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ จึงคิดจากไปนางยังคิดจะไปดูแอ่งน้ำเสียหน่อย เผื่อจะปล่อยพันธุ์ปลาลงไปในน้ำบ้างเผื่อวันหน้าปลาโตขึ้น ชาวหมู่บ้านชิงสุ่ยก็จะมีเนื้อปลากินอีกขณะที่เจี่ยนอันอันเตรียมตัวจะออกไป กลับถูกเสิ่นจือเจิ้งเรียกตัวไว้“เมื่อคืนที่บ้านเจ้าได้เกิดเรื่อ