ฉันไม่ได้อยากเป็นคนที่ใจอ่อนหรอกนะ ไม่อยากยอมให้เขาทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนให้อยู่ดี ยิ่งเขามาพูดแบบนี้ด้วยแล้วจะไม่ยอมได้ยังไง เป็นอีกครั้งที่ฉันเอามือขึ้นมาทาบที่อกข้างซ้ายของตุล ตอนนี้ใจเขามันยังเต้นแรงอยู่ สายตาคู่นั้นเอาแต่จับจ้องมองใบหน้าของฉัน“ถ้าบอกว่าเรารู้สึกเหมือนกัน แปลว่าตอนนี้ตุลกำลังชอบพี่ใช่ไหม” ตุลไม่ตอบอะไรเขาก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ ก่อนจะใช้ปลายจมูกโด่งแตะลงมาชนกับปลายจมูกของฉัน ทำให้ตอนนี้ริมฝีปากของเราทั้งคู่มันแทบจะแนบชิดติดกัน “ตอนนี้คิดยังไง” จากที่ฉันถามกลับกลายเป็นตุลที่ถาม “พี่รู้สึกดี รู้สึกดีมาก ๆ” ฉันบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง“… รู้สึกเหมือนกัน” จบคำพูดที่เหมือนจะเขิน ๆ ของตุลเขาก็กดริมฝีปากขยี้จูบบนริมฝีปากของฉัน รสชาติจูบที่เร่าร้อนทำให้ฉันเริ่มเคลิ้มไปกับมัน เรียวลิ้นตวัดเกี่ยวพันกันไปมาอย่างหิวโหย เสียงลมหายใจของความหื่นกระหายค่อย ๆ ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วทั้งตัวของฉันก่อนจะหยุดที่หน้าอก ไม่รู้ว่าตุลเป็นคนเสพติดความรุนแรงหรือเปล่า เวลาเขาบีบเคล้นหน้าอกของฉันมักจะทำแรงมาก ๆ แม้กระทั่งตอนมีอะไรกันเขาก็มักจะรุน
ตอนนี้ทั้งฉันและตุลต่างเอาแต่จ้องหน้ากัน เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ “ใส่เสื้อผ้าดี ๆ” ครั้งนี้น้ำเสียงที่เอ่ยบอกนั้นเย็นลงกว่าเมื่อครู่ “อื้อ” ฉันพยักหน้าก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่โดยมีสายตาของตุลจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา “ไม่หันมองทางอื่นบ้างเหรอ?” เพราะความเขินอายทำให้ฉันต้องถามออกไป ท่ามกลางความเงียบสักพักตุลก็ตอบ “ตรงนี้มันน่ามองมากกว่า” เขาพูดขณะที่สายตาจับจ้องมองเรือนร่างของฉัน ตอบมาแบบนี้จะไม่ให้เขินได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ลงไปนอนดิ้นที่พื้นก็ดีแล้ว “เลิกเรียนกี่โมงเหรอ” ฉันหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองเขินเขาไปมากกว่านี้ “บ่าย” “เลิกเรียนแล้วจะไปไหน” “เมื่อคืนที่พูดหมายความแบบนั้นจริง ๆ” แทนที่จะตอบคำถามแต่เขากลับหยิบยกเรื่องเมื่อคืนมาพูด ทำเอาฉันไปต่อไม่เป็น “ทำไมถึงเงียบ?” พอเห็นว่าฉันเงียบเขาก็เลิกคิ้วถาม “จะให้พี่พูดอะไรต่อล่ะ ตอนนี้มันเหมือนฝันอยู่เลย” ฉันยกมือขึ้นมาจับหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ตุลจะลุกขึ้นมายืนประจันหน้าแล้วมองนิ่ง ๆ จู่ ๆ เขาก็กดริมฝีปากลงมาบดขยี้ริมฝีปากของฉันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ถอนจูบออก “ไม่ใช่ความฝัน” พูดจบ
ผ่านไปครึ่งเขาก็ยังเงียบ จะรู้บ้างไหมว่าการที่เขาขอเวลาแต่เป็นแบบนี้ทันทำให้เสียความรู้สึกขนาดไหน “ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น” ในที่สุดเขาก็ยอมพูด “ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น? แล้วถ้าตอนนี้ไนท์โทรมาสาบานไหมว่าจะไม่แย่งโทรศัพท์ไป” เป็นอีกครั้งที่ตุลเงียบ ใช่สิเพราะเขาทำไม่ได้ “ไม่อยากทะเลาะ” “ถ้าไม่อยากทะเลาะก็ให้พี่กลับบ้าน” “ไม่ให้กลับ” แขนของฉันถูกลากให้เดินเซมาที่เตียง ตุลนั่งลงบนเตียงก่อนจะรั้งให้ฉันนั่งลงบนตักแกร่งของตัวเองพร้อมกับใช้วงแขนคล้องเอวเอาไว้แบบหลวม ๆ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดคำ ๆ หนึ่งออกไป “ถ้าไม่คิดจะลืมคนในใจก็ไม่ควรมาขอเวลาจากพี่นะตุล” ใบหน้าคมคายซบลงมาที่แผ่นหลังของฉันพร้อมกับพ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมา แล้วตอบ “ไม่ใช่แบบนั้น” “ไม่ใช่แบบนั้นคืออะไร แค่พี่จับโทรศัพท์ยังถูกจ้องเขม็งขนาดนั้น พี่เป็นคนนะมีความรู้สึก ที่ผ่านมายังทำให้พี่เสียความรู้สึกไม่พออีกหรือไง” “ทำไมผู้หญิงถึงชอบคิดเยอะแบบนี้วะ!” ตุลสบถเบา ๆ เขารู้สึกหงุดหงิดที่ฉันเป็นแบบนี้ แต่ผลมันก็มาจากการกระทำของเขานั่นแหละ “พี่บอกแล้วไงอย่ายื้อเวลา เราควรจบทุกอย่าง” เป็นครั้งที
ด้วยนิสัยที่ฉันมักจะยอมให้ตุลทุก ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน… ฉันยอมเขา เสื้อผ้าของฉันและตุลหลุดออกไปจากร่างกายทีละชิ้น ๆ ในตอนนี้เราทั้งคู่เปลือยเปล่า ริมฝีปากหนาก้มลงมาตะโบมดูดเลียหน้าอกทั้งสองเต้าสลับกันพร้อมกับใช้มือบีบเคล้น เสียงหายใจของเราทั้งคู่มันดังขึ้นมาเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงความต้องการที่มันพลุ่งพล่านในร่างกายตอนนี้ ตุลลากไล้ริมฝีปากขึ้นมาที่ซอกคอ เขาขบเม้มแล้วกัดเบา ๆ ก่อนจะขยับเลื่อนขึ้นมาที่ใบหู ลิ้นสากตวัดเลียใบหูของฉันจนเปียกชุ่มปิดท้ายด้วยการงับเบา ๆ แล้วลากไล้ริมฝีปากมาที่พวงแก้ม เขาค่อย ๆ พรมจูบอย่างนุ่มนวลไปจนทั่วใบหน้าของฉัน “พี่ขอทำให้ตุลได้ไหม” กว่าจะรวบรวมความกล้าเพื่อขออะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็อยากลองทำให้เขาดูสักครั้ง “อยากทำ?” ตุลขมวดคิ้ว เขาคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ แล้วก็ไม่เคยขอร้องให้ฉันทำ“อ… อื้อ” หลังจากพยักหน้าตอบ ตุลก็ผละตัวขึ้นเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย แก่นกายใหญ่ที่ไร้เครื่องป้องกันสวมใส่มันผงาดได้ที่ ฉันค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับเจ้าความใหญ่ยาว แน่นอนว่ามือเล็ก ๆ จะไปกำมันรอบได้ยังไงไม่มีทาง แก่นกายขนาดใหญ่ตรงหน้าทำให้ฉันอึ้
หลังจากใส่เสื้อผ้าแล้วฉันก็เข้าแอปสั่งอาหาร วันนี้รู้สึกอยากกินส้มตำมาก ๆ ก็เลยสั่ง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่างมากิน ตุลที่เดินออกไปข้างนอกกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ที่ติดตัวเขามาด้วย “พี่สั่งส้มตำมากินนะ” ฉันละสายตาจากจอมือถือแล้วถามต่อ “กินได้ใช่ไหม?”“แพ้ปลาร้า” เขาตอบพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาสวมใส่ จะว่าไปฉันก็ไม่เคยถามเลยว่าเขากินอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องแพ้ปลาร้าก็ไม่เคยรู้มาก่อน “งั้นให้พี่สั่งแบบไม่ต้องใส่ปลาร้าไหม” “ยังไม่หิว” ฉันถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรอก เขาแค่กำลังโกรธฉันอยู่ก็เท่านั้นเองตุลรีบแต่งตัวออกไปจากห้อง ฉันแอบดูที่หน้าต่างเห็นว่าเขาเดินไปซ่อมรถต่อ นับถือใจเขานะ ทั้งที่ฐานะทางบ้านรวยมาก ๆ ตัวเองก็มีเงินแถมยังมีรถหรูขับ แต่การใช้ชีวิตของเขาช่างติดดิน แสนจะธรรมดา ในขณะที่กำลังมองตุลผ่านหน้าต่างภายในห้อง เห็นว่ากันกับอลันขับรถมาจอด สีหน้าเขาสองคนค่อนข้างซีเรียส ไม่รู้เดินไปคุยอะไรกับตุล ฉันได้แต่มองสามคนนั้นคุยกัน อยากจะรู้เรื่องที่พวกเขาคุยกันจัง ทั้งสามคนคุยกันนานเกือบยี่สิบนาทีได้ ก่อนที่กันกับอลันจะขับรถกลับไป ตุลเดิน
ตอนนี้กันกับผู้ชายคนนั้นกำลังจะชกต่อยกันแล้ว ฉันไม่มีกระจิตกระใจจะห้ามหรืออะไร ตอนนี้ฉันรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามกลุ่มเพื่อนของตุลไป ฉันวิ่งมาทั้งที่สั่นไปทั้งตัว พอเห็นภาพตุลที่นอนหมดสติมันก็เริ่มทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง ฉันนั่งลงข้าง ๆ ร่างของตุล จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “อึก~ อย่าเป็นอะไรนะ”“คนบ้า อึก~ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ลงแข่ง มันอันตรายทำไมไม่ฟังกันบ้าง อึก~” หัวใจดวงน้อยมันถูกแบบอัดแน่น ใจจะขาดอยู่แล้วตอนนี้ เพื่อนของตุลรีบโทรเรียกรถพยาบาล ส่วนฉันก็ร้องไห้กับร่างที่หมดสติของตุลจนตาบวม #โรงพยาบาล ฉันกับเพื่อนของตุลนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน ตุลได้รับบาดเจ็บที่กระดูกแขนและขาต้องได้เข้าเฝือก เขาปลอดภัย ตั้งแต่ที่สนามแข่งจนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ “กูจะไปจัดการพวกมัน” กันพูดขึ้นอย่างคับแค้นใจ“มึงใจเย็นก่อนไอ้กัน เรื่องนี้กูว่าพ่อไอ้ตุลคงตัดการแน่ ๆ มึงก็รู้ว่าพ่อมันโหด ไอ้พวกนั้นคงไม่รอด”คำพูดของเพื่อนอีกคนทำให้กันเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ระหว่างที่คุยกันอลันกับแพรก็มา “ลิลแกโอเคไหม” แพรรีบเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วดึงฉันไปกอด กอดของเพื่อนยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม “
ผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าที่แตกยับจนหมอไม่รับเย็บ เธอตั้งใจมาเยี่ยมแต่โดนไล่แบบนี้เป็นฉันคงจะอายมากเหมือนกัน “ยิ้มอะไร?” ตุลเลิกคิ้วถามฉันที่กำลังยืนยิ้มอยู่ “เปล่ายิ้มสักหน่อย” ฉันรีบหุบยิ้มแล้วเดินมาเทน้ำใส่แก้วดื่มแก้เขิน“แค่ยอมรับว่ายิ้มมันยากตรงไหน” ตุลพูดในเชิงบ่น เขาดูออกว่าฉันเขินแต่ก็ยังแกล้งแหย่ “จะมีผู้หญิงมาเยี่ยมอีกหรือเปล่า?” ฉันถามเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มี”“แน่นะ”“ถ้ามีก็จัดการได้เลย” “ให้พี่จัดการตุลเหรอ” ฉันวางแก้วน้ำแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกจ้องคนป่วยที่กำลังนอนหน้านิ่ง “เจ็บขนาดนี้ถ้าทำลงก็เชิญ” “กับผู้หญิงคนเมื่อกี้ได้ติดต่อกับเธออยู่หรือเปล่า” “ไม่” “เชื่อได้?” ฉันถามอย่างไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาอาจจะโกหกอยู่ก็ได้ แต่คิดในอีกมุมการที่ตุลพูดหักหน้าผู้หญิงคนนั้นมันก็ชัดเจนแล้ว ฉันที่คิดมากไปเอง “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่บังคับ”“อื้อ พี่เชื่อ” ฉันเดินกลับมายืนข้างเตียงที่ตุลนอนอยู่ ก่อนจะถาม “ให้พี่กลับไปเก็บเสื้อผ้าที่บ้านได้หรือยัง” “เปิดทีวีให้ดูหน่อย” เขาเมินคำถามของฉันแล้วออกคำสั่ง ซึ่งฉันเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย “พี่ไปไม่นานหรอก…” “อ
ทันทีที่ถูกถามฉันก็สะอึกไปไม่เป็น ไม่ทันคิดคำตอบและคิดไม่ถึงว่าตุลจะได้กลิ่นเพราะดื่มไปแค่แก้วเดียวเอง ถ้าบอกว่าไปเจอไนท์มาตุลจะต้องโกรธมากแน่ ๆ ฉันควรตอบอย่างอื่น “ถามทำไมไม่ตอบ!!” พอเห็นว่าฉันเงียบเขาก็ตวาดเสียงดัง“ก็ ก็จะตอบอยู่นี่ไง” ตัวมันสั่นเทา สายตาของเขามันน่ากลัวจริง ๆ นะ “รอฟังอยู่” ครั้งนี้ตุลบอกเสียงเย็น เป็นน้ำเสียงที่ทำให้ขนทั้งตัวของฉันมันลุกซู่ เร่งอยู่ได้ ฉันกำลังคิดหาคำตอบอยู่นี่ไง “ก่อนมาพี่ดื่มกับเฮียน่ะ แต่ดื่มแค่แก้วเดียวเองนะไม่คิดว่าจะได้กลิ่น” ตุลมองฉันอย่างไม่เชื่อเต็มร้อย ข้ออ้างของฉันมันฟังไม่ขึ้นงั้นเหรอ “พี่พูดจริง ๆ นะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเลย” ฉันยืนยันเสียงแข็งอีกครั้งแววตาที่แข็งกร้าวจึงเริ่มอ่อนลง “อืม” มันโล่งอกที่เห็นว่าตุลพยักหน้าตอบ หมายความว่าเขาเชื่อฉันแล้ว “ดึกแล้วนอนเถอะ พี่จะอาบน้ำนอนแล้วเหมือนกัน” “จะนอนยังไง?” ตุลเลิกคิ้วถาม “โซฟาไง” ฉันชี้ไปที่โซฟา “มานอนบนเตียง” เขาบอกแถมยังพยายามจะขยับตัว ท่าทางแบบนั้นทำให้ฉันยิ้มออกมา นี่น่ะหรอผู้ชายที่เคยเย็นชาและใจร้าย ตอนนี้เขาเริ่มน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ ถึงแม้บางครั้งจะซึน ๆ บ้างก็เ