หลังจากใส่เสื้อผ้าแล้วฉันก็เข้าแอปสั่งอาหาร วันนี้รู้สึกอยากกินส้มตำมาก ๆ ก็เลยสั่ง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่างมากิน ตุลที่เดินออกไปข้างนอกกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ที่ติดตัวเขามาด้วย “พี่สั่งส้มตำมากินนะ” ฉันละสายตาจากจอมือถือแล้วถามต่อ “กินได้ใช่ไหม?”“แพ้ปลาร้า” เขาตอบพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาสวมใส่ จะว่าไปฉันก็ไม่เคยถามเลยว่าเขากินอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องแพ้ปลาร้าก็ไม่เคยรู้มาก่อน “งั้นให้พี่สั่งแบบไม่ต้องใส่ปลาร้าไหม” “ยังไม่หิว” ฉันถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรอก เขาแค่กำลังโกรธฉันอยู่ก็เท่านั้นเองตุลรีบแต่งตัวออกไปจากห้อง ฉันแอบดูที่หน้าต่างเห็นว่าเขาเดินไปซ่อมรถต่อ นับถือใจเขานะ ทั้งที่ฐานะทางบ้านรวยมาก ๆ ตัวเองก็มีเงินแถมยังมีรถหรูขับ แต่การใช้ชีวิตของเขาช่างติดดิน แสนจะธรรมดา ในขณะที่กำลังมองตุลผ่านหน้าต่างภายในห้อง เห็นว่ากันกับอลันขับรถมาจอด สีหน้าเขาสองคนค่อนข้างซีเรียส ไม่รู้เดินไปคุยอะไรกับตุล ฉันได้แต่มองสามคนนั้นคุยกัน อยากจะรู้เรื่องที่พวกเขาคุยกันจัง ทั้งสามคนคุยกันนานเกือบยี่สิบนาทีได้ ก่อนที่กันกับอลันจะขับรถกลับไป ตุลเดิน
ตอนนี้กันกับผู้ชายคนนั้นกำลังจะชกต่อยกันแล้ว ฉันไม่มีกระจิตกระใจจะห้ามหรืออะไร ตอนนี้ฉันรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามกลุ่มเพื่อนของตุลไป ฉันวิ่งมาทั้งที่สั่นไปทั้งตัว พอเห็นภาพตุลที่นอนหมดสติมันก็เริ่มทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง ฉันนั่งลงข้าง ๆ ร่างของตุล จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “อึก~ อย่าเป็นอะไรนะ”“คนบ้า อึก~ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ลงแข่ง มันอันตรายทำไมไม่ฟังกันบ้าง อึก~” หัวใจดวงน้อยมันถูกแบบอัดแน่น ใจจะขาดอยู่แล้วตอนนี้ เพื่อนของตุลรีบโทรเรียกรถพยาบาล ส่วนฉันก็ร้องไห้กับร่างที่หมดสติของตุลจนตาบวม #โรงพยาบาล ฉันกับเพื่อนของตุลนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน ตุลได้รับบาดเจ็บที่กระดูกแขนและขาต้องได้เข้าเฝือก เขาปลอดภัย ตั้งแต่ที่สนามแข่งจนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ “กูจะไปจัดการพวกมัน” กันพูดขึ้นอย่างคับแค้นใจ“มึงใจเย็นก่อนไอ้กัน เรื่องนี้กูว่าพ่อไอ้ตุลคงตัดการแน่ ๆ มึงก็รู้ว่าพ่อมันโหด ไอ้พวกนั้นคงไม่รอด”คำพูดของเพื่อนอีกคนทำให้กันเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ระหว่างที่คุยกันอลันกับแพรก็มา “ลิลแกโอเคไหม” แพรรีบเดินมานั่งลงข้าง ๆ แล้วดึงฉันไปกอด กอดของเพื่อนยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม “
ผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าที่แตกยับจนหมอไม่รับเย็บ เธอตั้งใจมาเยี่ยมแต่โดนไล่แบบนี้เป็นฉันคงจะอายมากเหมือนกัน “ยิ้มอะไร?” ตุลเลิกคิ้วถามฉันที่กำลังยืนยิ้มอยู่ “เปล่ายิ้มสักหน่อย” ฉันรีบหุบยิ้มแล้วเดินมาเทน้ำใส่แก้วดื่มแก้เขิน“แค่ยอมรับว่ายิ้มมันยากตรงไหน” ตุลพูดในเชิงบ่น เขาดูออกว่าฉันเขินแต่ก็ยังแกล้งแหย่ “จะมีผู้หญิงมาเยี่ยมอีกหรือเปล่า?” ฉันถามเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มี”“แน่นะ”“ถ้ามีก็จัดการได้เลย” “ให้พี่จัดการตุลเหรอ” ฉันวางแก้วน้ำแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกจ้องคนป่วยที่กำลังนอนหน้านิ่ง “เจ็บขนาดนี้ถ้าทำลงก็เชิญ” “กับผู้หญิงคนเมื่อกี้ได้ติดต่อกับเธออยู่หรือเปล่า” “ไม่” “เชื่อได้?” ฉันถามอย่างไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาอาจจะโกหกอยู่ก็ได้ แต่คิดในอีกมุมการที่ตุลพูดหักหน้าผู้หญิงคนนั้นมันก็ชัดเจนแล้ว ฉันที่คิดมากไปเอง “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่บังคับ”“อื้อ พี่เชื่อ” ฉันเดินกลับมายืนข้างเตียงที่ตุลนอนอยู่ ก่อนจะถาม “ให้พี่กลับไปเก็บเสื้อผ้าที่บ้านได้หรือยัง” “เปิดทีวีให้ดูหน่อย” เขาเมินคำถามของฉันแล้วออกคำสั่ง ซึ่งฉันเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย “พี่ไปไม่นานหรอก…” “อ
ทันทีที่ถูกถามฉันก็สะอึกไปไม่เป็น ไม่ทันคิดคำตอบและคิดไม่ถึงว่าตุลจะได้กลิ่นเพราะดื่มไปแค่แก้วเดียวเอง ถ้าบอกว่าไปเจอไนท์มาตุลจะต้องโกรธมากแน่ ๆ ฉันควรตอบอย่างอื่น “ถามทำไมไม่ตอบ!!” พอเห็นว่าฉันเงียบเขาก็ตวาดเสียงดัง“ก็ ก็จะตอบอยู่นี่ไง” ตัวมันสั่นเทา สายตาของเขามันน่ากลัวจริง ๆ นะ “รอฟังอยู่” ครั้งนี้ตุลบอกเสียงเย็น เป็นน้ำเสียงที่ทำให้ขนทั้งตัวของฉันมันลุกซู่ เร่งอยู่ได้ ฉันกำลังคิดหาคำตอบอยู่นี่ไง “ก่อนมาพี่ดื่มกับเฮียน่ะ แต่ดื่มแค่แก้วเดียวเองนะไม่คิดว่าจะได้กลิ่น” ตุลมองฉันอย่างไม่เชื่อเต็มร้อย ข้ออ้างของฉันมันฟังไม่ขึ้นงั้นเหรอ “พี่พูดจริง ๆ นะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเลย” ฉันยืนยันเสียงแข็งอีกครั้งแววตาที่แข็งกร้าวจึงเริ่มอ่อนลง “อืม” มันโล่งอกที่เห็นว่าตุลพยักหน้าตอบ หมายความว่าเขาเชื่อฉันแล้ว “ดึกแล้วนอนเถอะ พี่จะอาบน้ำนอนแล้วเหมือนกัน” “จะนอนยังไง?” ตุลเลิกคิ้วถาม “โซฟาไง” ฉันชี้ไปที่โซฟา “มานอนบนเตียง” เขาบอกแถมยังพยายามจะขยับตัว ท่าทางแบบนั้นทำให้ฉันยิ้มออกมา นี่น่ะหรอผู้ชายที่เคยเย็นชาและใจร้าย ตอนนี้เขาเริ่มน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ ถึงแม้บางครั้งจะซึน ๆ บ้างก็เ
สิ้นสุดคำพูดของไนท์ตุลก็กดตัดสายทิ้ง เขากำโทรศัพท์ในมือแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นที่มือ น่ากลัวว่าโทรศัพท์จะแตกละเอียดคามือเขาจริง ๆ “เมื่อวานไปหามันที่บ้าน?” ตุลถามเสียงเย็น เขาขบกรามแน่นเอาแต่จ้องหน้า นี่ถ้าลุกขึ้นมาได้ฉันคงเจอกระชากจนแขนหลุดแน่ ๆ จะนับว่าเป็นความโชคดีของฉันที่เขานอนใส่เฝือกอยู่แบบนี้ก็ได้“พ… พี่อธิบายได้นะตุล” ฉันบอกเสียงสั่น ค่อย ๆ ถอยห่างไม่กล้าไปยืนใกล้ “ที่มาช้าเพราะมัวแต่ไปอยู่กับมัน?” ตอนนี้ตุลเอาแต่ถาม เป็นคำถามที่เหมือนไม่อยากได้คำตอบจากฉันสักเท่าไหร่ “คงจะมัวแต่ ล่ำ… ลา กัน” เขาเว้นคำพูดที่กำกวมเอาไว้ให้คิดไปถึงไหนต่อไหน ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้มีอะไร “ฟังพี่ก่อนนะตุล” “ออกไป จะไปไหนก็ไป!!” ตุลตวาดบอก เขาเมินหน้าหนีไม่ยอมรับฟังอะไรจากฉัน “อย่าเป็นแบบนี้สิ เราพึ่งเริ่มกันเองนะมันจะจบแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ยังไม่อยากให้มันจบแค่นี้ ที่ผ่านมาถึงจะเป็นเวลาแค่สั้น ๆ ที่ตุลดีกับฉัน แต่มันทำให้มีความสุขมากเลยนะ “ใครที่ทำ? ใครที่โกหก?” “พี่ขอโทษที่โกหก แต่มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ”“ถ้าไม่มีอะไรแล้วจะโกหกท
ฉันถือแก้วน้ำตัวแข็งทื่อ ไม่ได้ใช้ปากป้อนตามที่ตุลต้องการ “หิวน้ำ” เขาพูดย้ำอีกรอบแต่ไม่ได้มองที่แก้วน้ำ สายตาคู่นั้นจับจ้องมองริมฝีปากของฉันแทน “โกรธพี่อยู่ไม่ใช่หรือไง” “ถ้าอยากให้หายโกรธก็รีบป้อนน้ำ เร็ว ๆ” เขาย้ำแต่จะให้ฉันป้อนน้ำอย่างเดียวเลย “แต่พี่ไม่ได้ผิดสักหน่อย”“ผิด ผิดที่โกหก ผิดที่ไปหามัน” พอพูดถึงเรื่องนั้นตุลก็ใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นมาทันที “ใช่พี่ผิดเรื่องนั้น แต่อธิบายเหตุผลไปแล้วนี่ตุลไม่เชื่อเอง”“ป้อนน้ำด้วยปากแล้วจะเชื่อ” “เจ้าเล่ห์นักนะ” ฉันมองค้อนตุล ก่อนจะมองแก้วน้ำอย่างคิดหนัก ถ้าอยากจบปัญหาก็ต้องทำ ไม่ทำเหตุการณ์มันก็จะอึดอัดแบบก่อนหน้านี้ ฉันตัดสินใจยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็ใช้มือประคองใบหน้าของตุล ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงเพื่อจะป้อนน้ำให้เขาทางปาก แต่!!! ยังไม่ทันที่ริมฝีปากจะแตะกันเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นมา ฉันรีบผละใบหน้าออกแล้วกลืนน้ำลงคอ คุณพยาบาลวัยสามสิบกลาง ๆ เดินมาตรวจอาการของตุล เธอมองเราทั้งคู่ก่อนจะพูด “พยายามอย่าขยับร่างกายเยอะนะคะ” “ครับ” “เรื่องบนเตียงให้พักไปก่อนนะคะ คนไข้ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้จนกว่าจะหายดี” พอได้ยินคำเต
#เช้าวันต่อมา ฉันอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปรับเควินที่สนามบิน ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาตุล เขาจ้องมองอย่างไม่ละสายตา ทำให้ฉันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำเอาหน้าร้อนผ่าว“ให้เวลาหนึ่งชั่วโมง” “พี่ไปสนามบินนะไม่ใช่กลับบ้าน เวลาแค่นั้นจะไปพออะไร” ฉันเถียงกลับเมื่อถูกกำหนดเวลา ส่วนตุลก็ทำเป็นหูทวนลม ช่วงนี้เขาค่อนข้างเอาแต่ใจ“พี่ไปแล้วนะ” พอเห็นว่าคนที่นอนอยู่ไม่ตอบอะไรฉันจึงเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้อง #สนามบิน “ฮายเบบี้” ยืนรอไม่นานเควินก็เดินมา เขากอดคอฉันแล้วยกมือขึ้นมายีผมจนยุ่งเหยิง “อื้อ! ผมฉันยุ่งหมดแล้วนะ” “ไม่คิดว่าเธอจะมารับฉันได้” “รอบนี้มาทำธุระอะไรล่ะ ทำไมถึงกระทันหันแบบนี้” ฉันถามเพื่อนเพราะแปลกใจที่เขาเปลี่ยนไฟล์บิน “ธุรกิจครอบครัว” “อื้อ ไปกันเถอะ” ฉันเดินนำเควินมาที่รถของตัวเองที่จอดไว้ “เธอดูแฮปปี้กับคู่หมั้น ไหนบอกว่าไม่อยากหมั้นไงล่ะ?” หลังจากขึ้นมาบนรถแล้วเควินก็ยิงคำถามใส่ทันที “เพราะคนที่หมั้นด้วยคือคนที่ฉันรักไงล่ะ” “รัก?” “อื้อ” “ชักอยากจะเห็นหน้าผู้ชายที่น่าอิจฉาคนนั้นแล้วละสิ” เควินหันมาบอก เขาคงจำตุลไม่ได้และฉันก็ไม่เคยเล่าเรื่อ
ฉันต้องดึงสติของตัวเองกลับมารีบผลักตัวเองออกจากจูบที่หอมหวาน “พอแล้ว” ฉันพูดอย่างเขินอายและไม่กล้าสบตาเขา “เปิดทีวีหน่อย” ตุลบอกฉันจึงรีบหยิบรีโมทมาเปิดทีวีก่อนจะมานั่งที่โซฟา หัวใจดวงน้อยมันเอาแต่เต้นรัวไม่ยอมหยุด นับวันฉันก็ยิ่งหลงรักเขามากขึ้น ยิ่งในตอนนี้เหมือนเราต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน ตุลชัดเจนมากขึ้น เขาแสดงออกชัดเจนในหลาย ๆ เรื่อง มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและอยากให้เขาเป็นแบบนี้ไปตลอด “พ่อบอกว่างานหมั้นจะถูกเลื่อนไปอีกสองเดือน” ตุลพูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ “คุณลุงมาเยี่ยมแล้วเหรอ”“อืม” สงสัยจะมาเยี่ยมตุลตอนที่ฉันออกไปรับเควินแน่ ๆ “เลื่อนน่ะถูกแล้วเพราะต้องรอตุลหายดีก่อน” “หายดีเมื่อไหร่ไอ้พวกเวรนั่นเจอ…”“เลิกมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นได้ไหมตุล” ฉันรีบพูดแทรก เพราะไม่เห็นผลดีอะไรที่เขาจะไปเอาคืนคนพวกนั้น เป็นการสร้างความแค้นแบบไม่จบไม่สิ้นมากกว่า “เห็นอยู่ว่าพวกมันทำ” ตุลตอบกลับอย่างหงุดหงิดที่ถูกฉันห้าม “พี่ห้ามเพราะเป็นห่วงนะ เรื่องแข่งรถเหมือนกันหยุดได้แล้ว”“อยากหยุดเมื่อไหร่เดี๋ยวหยุดเองไม่ต้องมาสั่ง” ดูคำตอบที่ฉันได้ยินจากปากเขาสิ ไม่รักษาน้ำใจกันเลยสั