ถึงอย่างไรการขอความช่วยเหลือแบบนี้ ถ้าเกิดไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ฉู่เฉินเกิดความระแวงได้ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเกิดเขาจัดการซ่งหู่ได้ก็ ผมก็จะได้ไม่ต้องออกแรงเอง” ฉู่เฉินไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับโจวเทียนเฟิ่งอีกหลายประโยคแล้วก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว ฉู่เฉินก็ศึกษาค่ายกลในวิชาเก้าผันกลืนสวรรค์ต่อเพียงแต่ว่าระดับของเขาในตอนนี้ไม่เพียงพอ ดังนั้นค่ายกลที่สามารถศึกษาได้เลยมีจำกัดอย่างมาก อย่างไรก็ตามเคล็ดวิชาค่ายกลกันเสียงในนั้นกลับทำให้ฉู่เฉินค่อนข้างรู้สึกสนใจ ฉู่เฉินเขียนตัวอักษรโบราณสมัยราชวงศ์ฉินที่ซับซ้อนหลายตัวกลางอากาศตามที่บันทึกไว้ในนั้นแล้วก็สั่งเบา ๆ ว่า “ลุกขึ้น!” ตูม!พริบตานั้นเหมือนกับมีม่านแสงสีขาวระเบิดขึ้นทั่วทั้งห้อง แต่ก็เป็นแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นฉู่เฉินก็หาเครื่องบันทึกเสียงรุ่นเก่ามาปรับเสียงให้ดังที่สุดแล้วค่อยถอยไปที่ลานบ้านคิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ยินเสียงรอบ ๆ บริเวณเลยแม้แต่น้อย ประสิทธิผลของการกันเสียงดีมากจริง ๆ นอกจากนี้ฉู่เฉินยังค้นพบอย่างปาฏิหาริย์ว่าค่ายกลกันเสียงนี้ไม่เพียงสามารถเสียงได้เท่า
จงอาหู่พาฉู่เฉินมาที่ห้องส่วนตัวหรูหราชั้นบนสุดของภัตตาคารตรงข้ามศาลาเจียงซิน เวลานี้โจวเทียนเฟิ่งกับอู๋กังรวมถึงหัวหน้าหลายคนของสำนักเฟิ่งต่างนั่งล้อมวงอยู่ในห้องส่วนตัว เมื่อเห็นฉู่เฉินมาถึง โจวเทียนเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาต้อนรับก่อน “ปรมาจารย์ฉู่ เชิญนั่งเลยค่ะ”โจวเทียนเฟิ่งกล่าวจบก็รินน้ำชายื่นให้ฉู่เฉินด้วยตัวเอง คืนนี้โจวเทียนเฟิ่งสวมชุดกี่เพ้าผ่าสูงสีขาวลายดอกไม้แดง ขับเน้นทรวดทรงโค้งเว้าของเธอให้ดูเย้ายวนเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดหยกตรงหน้าอกสองลูกนั้น ดูไปแล้วยิ่งใหญ่อลังการมากขณะที่เธอยกขาขึ้นแล้ววางเท้าลงเผยให้เห็นชายลูกไม้สีชมพูวับ ๆ แวม ๆ ยิ่งสังหารผู้ชายนับไม่ถ้วน แม้แต่ท่อนไม้อย่างฉู่เฉินก็อดมองหลายครั้งไม่ได้แม้ว่าโจวเทียนเฟิ่งอายุเกินสามสิบแล้ว แต่เธอเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดลักษณะท่าทางเหมือนสาวเซ็กซี่รุ่นใหญ่ ทำให้หยุดปรารถนาไม่ได้ ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และแฝงไปด้วยออร่าของผู้มีอำนาจเช่นนี้ไม่ใช่คนที่พวกสาวสวยเยาว์วัยเหล่านั้นเทียบได้เลยภายใต้การขับเน้นของแสงไฟยามค่ำคืน โจวเทียนเฟิ่งดูงดงามราวกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งจริง ๆ “คนแซ่ฉู่ นายมองอะไรน่ะ!”
จินเจิ้นหลง!เจ้าของสำนักมวยทั้งสี่แห่งของเจียงจง ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่มีอยู่ไม่กี่คนในเจียงจงด้วยแค่อำนาจกดดันน่าสะพรึงกลัวเฉพาะตัวผู้ฝึกยุทธ์ก็ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันอันน่ากลัวกันหมดแล้ว ด้านหลังเขายังมีลูกศิษย์เยาว์วัยสวมชุดนักดาบตามมาอีกสองคนแค่กลิ่นอายรอบตัวลูกศิษย์สองคนนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่าอู๋กังเลยแม้แต่น้อย “คารวะท่านปรมาจารย์จิน!”“คารวะเจ้าสำนักจิน!” หลายคนที่นำโดยอู๋กังรีบลุกขึ้นประสานมือคำนับจินเจิ้นหลง โจวเทียนเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน เธอเดินเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะผงกศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสำนักจิน ขอบคุณที่ให้เกียรติมานะคะ” จินเจิ้นหลงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเย่อหยิ่งเย็นชา สายตาทอดมองไปที่ฉู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้แม้แต่เจ้าสำนักเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ไอ้เด็กนี่ยังคงนิ่งเหมือนกับภูเขาไท่ซานเนี่ยนะ?“สหายน้อยคนนี้แตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ”จินเจิ้นหลงเอ่ยเป็นนัยก่อนจะแค่นหัวเราะ มองฉู่เฉินอย่างละเอียดพลางกล่าว“คนแซ่ฉู่ นายยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบ
ฉู่เฉินดื่มน้ำชาหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ขอโทษด้วยนะครับ คุณยังไม่คู่ควรพอที่จะรู้ชื่อของท่านอาจารย์”นี่ไม่ใช่ว่าฉู่เฉินตั้งใจดูหมิ่นจินเจิ้นหลง แต่ว่าปรมาจารย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเขายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้นามอันยิ่งใหญ่ของราชันมังกรแห่งแดนเหนือจริง ๆ เพียงแต่ว่าคนรอบข้างกลับไม่คิดเช่นนี้ ในความคิดของพวกเขา ฉู่เฉินรนหาที่ตายเสียแล้วถึงแม้ว่าจินเจิ้นหลงเรียกนายว่าปรมาจารย์ แต่นายคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ระดับเดียวกับเขาจริง ๆ เหรอ? หากนี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายแล้วเป็นอะไร? จินเจิ้นหลงหรี่ตา เขากัดฟันมองฉู่เฉินอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “เหอะ ถึงแม้คนหนุ่มสาวต้องการแสดงความสามารถ แต่บางครั้งแสดงออกมากเกินกลับทำให้อายุสั้นลงได้นะ”อู๋กังก็แค่นเสียงเย็นเช่นกันแล้วเอ่ยกับฉู่เฉินด้วยสีหน้าดูแคลนว่า “คนแซ่ฉู่ นายรู้ไหมว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายคือใคร? เขาคือยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ของเจียงจงเรานะ!” “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักจินไม่อยากลดตัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอย่างนาย ตอนนี้หญ้าบนหลุมฝังศพของนายคงสูงสองฟุตไปแล้ว!”“ยังไม่รีบขอโทษเจ้าสำนักจินอีก!” ลูกศิษย์สองค
เมื่อเห็นจางคุนจ้องมองตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ฉู่เฉินก็เอ่ยปากอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อเขากล้าบุกมาอย่างเปิดเผยก็ต้องมีการเตรียมการไว้นานแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ทางที่ดีอย่าพูดให้แน่นอนเกินไป”“ไม่อย่างนั้น หมัดเท้าไม่มีตา ดาบกระบี่ไม่มีความปรานีหรอกนะครับ” “นายว่าไงนะ!” จางคุนโกรธหน้าดำหน้าแดง ถ้าเกิดบอกว่าเมื่อกี้เป็นเพียงความบังเอิญ เช่นนั้นตอนนี้ยืนยันแล้วว่าเมื่อกี้ฉู่เฉินกำลังเย้ยหยันเขา “คุณจาง ช่างเถอะค่ะ คุณฉู่ก็พูดด้วยความหวังดี” โจวเทียนเฟิ่งรีบลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ย และส่งสัญญาณให้ฉู่เฉินว่าอย่าทำลายมิตรภาพเป็นอันขาด ฉู่เฉินส่ายหน้าอย่างจนใจ ขี้เกียจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากกว่านี้แล้วพูดตามตรง ตั้งแต่ที่พวกจินเจิ้นหลงเข้ามา ฉู่เฉินก็ทำการสังเกตพวกเขาแล้วอันที่จริงถึงแม้จางคุนผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับกำลังภายใน แต่รากฐานไม่แข็งแรง ขอเพียงเจอยอดฝีมือย่อมเสียเปรียบอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างซ่งหู่ที่มาเพื่อแก้แค้นยิ่งไม่มีทางออมมือให้ เมื่อถึงเวลานั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะจบลงอย่างน่าเศร้าถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ในเมื่อคนเขาไม่รับน้ำใจ ฉู่เฉินก็
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่ใกล้กับศาลาเจียงซิน ฉู่เฉินก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ในพุ่มไม้ริมแม่น้ำ สามารถมองเห็นลูกน้องสำนักเทียนเฟิ่งที่สวมชุดดำถือมีดหลายสิบคนได้ราง ๆ ส่วนสองข้างทางของถนนที่อยู่ใกล้เคียงก็แทบไม่มีคนเดินผ่านเลย มีพ่อค้าเร่อยู่ไม่กี่คน พวกเขาก็เหมือนกับรู้ข่าวอะไรบางอย่าง รีบเข็นรถขายอาหารวิ่งหนีไปไกล ๆ “เจ้าสำนักโจว คุณเป็นคนจัดเตรียมคนพวกนี้เหรอครับ?” ฉู่เฉินเอ่ยถามอย่างเฉยชา โจวเทียนเฟิ่งพยักหน้าอย่างหนักแน่นและเอ่ยว่า “อื้อ” “หลายปีก่อนปล่อยให้ซ่งหู่ฉวยโอกาสตอนที่วุ่นวายหนีออกไปจากเจียงจงถึงได้ฝังรากเหง้าของเภทภัยเอาไว้ ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงก็จะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้อีกแล้ว” ฉู่เฉินยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักโจว คุณคิดว่าการเตรียมการพวกนี้จะมีประโยชน์เหรอ?” “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่มีกำลังภายใน เขาจะมีความรู้สึกไวสุดขีดต่อจิตสังหารรอบ ๆ คนพวกนี้นอกจากจะทำให้เขาเพิ่มความระมัดระวังตัวแล้วก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว” “นอกจากนี้ถ้าเกิดซ่งหู่ได้รับชัยชนะ อย่างมากสุดคนพวกนี้ก็เป็นแค่ตัวรับกระสุนเท่านั้น ถ้าเกิดซ่งหู่แพ้ คุณคิดว่าเขาจะมีโอ
พวกจินเจิ้นหลงเองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามาเช่นกัน พวกเขาพากันมองไปยังเงาดำนั้น “เป็นซ่งหู่!” อู๋กังมองแวบเดียวก็จำคนที่เดินบนน้ำได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเหลือเชื่อนิดหน่อย ตามหลักแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ระดับกำลังภายในไม่มีทางเดินบนน้ำเหมือนซ่งหู่ได้เลย หรือว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์?ไม่เพียงแต่อู๋กังที่ตกตะลึงเล็กน้อย แม้กระทั่งนัยน์ตางดงามของโจวเทียนเฟิ่งก็มีร่องรอยความหวาดกลัวพาดผ่าน “เขามาแล้ว” โจวเทียนเฟิ่งกล่าวพลางลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ จ้องมองซ่งหู่ที่ทะยานข้ามกลางแม่น้ำ ฉู่เฉินก็มองร่างที่อยู่ตรงข้ามเช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าสำนักจินจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขานะ” “นายว่าไงนะ!” จางคุนได้ยินคำกล่าวก็หันหน้ามาฉับพลันแล้วจ้องฉู่เฉินด้วยความโกรธ จินเจิ้นหลงก็ขมวดคิ้วเช่นกันก่อนจะเบนสายตาเล็กน้อย ถลึงตาใส่ฉู่เฉินด้วยความไม่พอใจสุดขีด ไอ้คนปากเสียคนนี้คอยสาปแช่งเขามาตลอดตั้งแต่ที่เจอหน้ากันอีกเดี๋ยวจัดการซ่งหู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสั่งสอนบทเรียนให้เขาสักหน่อย! ให้เขาเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าไม่อาจหมิ่นเกียรติปรมาจารย์ เมื่อดู
“ฮ่า ๆๆ!” ซ่งหู่เห็นจางคุนพุ่งมาหาเขาก็แหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลายครั้ง ก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “ไอ้คนรนหาที่ตาย ตายซะเถอะ!”เมื่อสิ้นเสียงพูด ซ่งหู่ก็เหวี่ยงแขนข้างหนึ่ง หมัดหนัก ๆ สังหารตรงเข้าใส่หน้าอกของจางคุน โครม! หลังจากที่เขาต่อยหมัดนี้ออกไปก็มีเสียงแหวกอากาศระเบิดขึ้นรอบ ๆ บริเวณทันที ทุกคนมองเห็นชัดเจนว่าอากาศรอบตัวซ่งหู่เกิดระลอกคลื่นซี้ด!พลังปราณน่ากลัวมาก!แม้แต่อู๋กังก็อดสูดลมหายใจเย็นยะเยือกไม่ได้ ต่อให้ความสามารถของเขาอยู่ในขั้นกำลังภายในระดับสูงสุดก็ไม่สามารถต่อยแหวกอากาศเหมือนซ่งหู่ได้ ฉู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “บอกตั้งนานแล้วว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย จะไปตายให้ได้” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จินเจิ้นหลงก็อดทำหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธไม่ได้! แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากสั่งสอนฉู่เฉินก็ได้ยินเสียงที่ดังเข้ามาอย่างชัดเจนมากต่อจากนั้น ร่างหนึ่งที่มีเลือดติดอยู่ก็ลอยออกไปเจ็ดแปดเมตร ตูม! ร่างของจางคุนกระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วงราวกับกระสุนปืนใหญ่ แม้แต่พื้นหินอ่อนก็โดนกระแทกจนเกิดรอยร้าวราวกับใยแมงมุม“พรวด!”