เมื่อสิ้นเสียงพูด จินเจิ้นหลงก็ยกฝ่ามือขึ้นมาปัดแขนของฉู่เฉินออก ก่อนจะก้าวออกมาแล้วพุ่งตรงไปหาซ่งหู่“ปรมาจารย์ฉู่ เจ้าสำนักจินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่งหู่จริง ๆ เหรอ?” โจวเทียนเฟิ่งเอ่ยถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พวกเขาห่างชั้นกันมากเกินไป ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยครับ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋กังก็หันหน้าไปถลึงตาใส่ฉู่เฉินและเอ่ยว่า “พูดบ้าอะไร!” “เจ้าสำนักจินเป็นถึงท่านปรมาจารย์เชียวนะ!” “แกแม่งเข้าใจหรือเปล่าว่าระดับปรมาจารย์กับระดับกำลังภายในต่างกันมากแค่ไหน?”ไม่รู้จริง ๆ ว่าฉู่เฉินคนนี้ไปได้ความไว้วางใจจากโจวเทียนเฟิ่งมาได้อย่างไร ขอเพียงเป็นคนที่มีสามัญสำนึกสักหน่อย ไม่มีใครไม่รู้ว่าระดับกำลังภายในสิบคนรวมกันก็ไม่อาจสู้ระดับปรมาจารย์ได้แม้เพียงกระบวนท่าเดียว ไอ้ไก่อ่อนแซ่ฉู่คนนี้กลับคุยโวว่าปรมาจารย์จินเจิ้นหลงผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่งหู่ นี่เป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลกจริง ๆ “ข้อเท็จจริงเหนือกว่าคำพูด ภายในสามกระบวนท่า ต่อให้จินเจิ้นหลงไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน” ทันทีที่ฉู่เฉินกล่าวออกมา จินเจิ้นหลงที่กำลังพุ่งไปหาซ่
“นี่ก็คือหมัดพิฆาตของตระกูลจินเหรอ?”ซ่งหู่เชยตามองไปยังแขนที่จินเจิ้นหลงยกขึ้นมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยการครุ่นคิดฉู่เฉินก็สังเกตเห็นรัศมีแสงสีขาวที่ฝ่ามือของจินเจิ้นหลงเช่นกัน เมื่อเทียบกับหมัดพิฆาตของจินอ้าวเทียน ไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งกว่ากี่ขั้นแต่ก็แค่นี้เท่านั้น บางทีสำหรับคนอื่น ๆ หมัดพิฆาตของตระกูลจินอาจจะรับมือยากจริง ๆ ทว่าฉู่เฉินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยบนตัวของซ่งหู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าพูดให้ตรง ซ่งหู่ไม่ใช่นักสู้ระดับกำลังภายในขั้นสูง แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณชั้นสามสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมาตลอดแล้ว แค่วรยุทธ์วิชาหมัดไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลย “กล้าสังหารศิษย์เอกของฉัน วันนี้แกก็อย่าหวังว่าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้เลย!” จินเจิ้นหลงเพิ่มแรงตรงฝ่ามือที่ฟาดใส่หน้าอกของซ่งหู่ขึ้นอีกสองส่วนขอเพียงฝ่ามือนี้ฟาดโดน ซ่งหู่ไม่ตายก็ต้องพิการ ฮ่า ๆๆ!ซ่งหู่แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “อาศัยแค่หมัดพิฆาตของแก ยังทำร้ายฉันไม่ได้หรอก” “ถ้ารู้จักเอาตัวรอด มาจากไหนก็ไสหัวกลับไปที่นั่นซะ ท่านหู่อย่างฉันจะพิจารณาไว้ชีวิตสุนัขอย่างแก ไม
ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบไปชั่วขณะหนึ่งทุกคนมองฉากตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อคิดไม่ถึงว่าจินเจิ้นหลง เจ้าสำนักจินที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในเจียงเฉิงจะพ่ายแพ้แล้ว“หมัดพิฆาต? ฮ่า ๆๆ...” ซ่งหู่เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ยืนอย่างเย่อหยิ่ง กวาดมองจินเจิ้นหลงที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่บนพื้นด้วยสายตาดูแคลนแวบหนึ่งแล้วแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง“อาจารย์!” ลูกศิษย์อีกคนของจินเจิ้นหลงพุ่งปราดออกมา ก่อนจะรีบประคองจินเจิ้นหลงไว้“อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” จินเจิ้นหลงเช็ดเลือดที่มุมปาก เขายกแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ชี้ไปยังซ่งหู่ที่มีท่าทางทะนงองอาจแล้วเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “แก...” “แกเป็น...แกเป็นผู้บำเพ็ญเพียร...” ว่าไงนะ? เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิงผู้บำเพ็ญเพียร? ซ่งหู่คือผู้บำเพ็ญเพียรในตำนานเหรอ? นักสู้ในโลกนี้ก็หายากแล้ว แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเป็นตัวตนที่มีบันทึกไว้แค่ในตำราเท่านั้นเวลานี้แม้แต่อู๋กังก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด ไม่แปลกใจเลยที่ซ่งหู่มีความมั่นใจสูงจนไม่รู้สึกกลัว ต่อให้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ก็กล้าต่อสู้อย่างเต็มที่ ตอนนี
“เสียวหู่...”ไม่ว่าอย่างไรโจวเทียนเฟิ่งก็คิดไม่ถึงว่าจงอาหู่ที่ปกติดูอ่อนน้อมว่าง่ายจะกล้าออกมายืดอกสู้ในเวลานี้ “อาเจ๊ เจ๊กับปรมาจารย์ฉู่ระ...รีบหนีไปเร็วเข้า! ผะ...ผมยะ...ยังขวางเขาได้อีกสักพัก” ขณะที่จงอาหู่พูด เสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ แล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดา ถึงขนาดที่ไม่ว่าลูกน้องคนไหนในหอเทียนเฟิ่งก็สามารถซ้อมเขาจนหน้าบวมช้ำได้หมด แต่หลายปีที่ผ่านมา อาเจ๊ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีต่อให้หอเทียนเฟิ่งไม่อาจกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก โจวเทียนเฟิ่งต้องออกไปอยู่ต่างถิ่น แต่ว่าเขายังคงเข้าใจหลักการบุญคุณเท่าหยดน้ำต้องตอบแทนดุจสายธาร วันนี้ถึงต้องตาย เขาก็จะปล่อยให้ซ่งหู่ก้าวออกมาข้างหน้าอีกก้าวไม่ได้เป็นอันขาดนอกเสียจากว่าซ่งหู่จะก้าวข้ามศพของเขาไปแทน! เมื่อเห็นจงอาหู่ตกใจกลัวจนตัวสั่นอย่างชัดเจน ทว่าแววตากลับดูเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นอย่างผิดปกติ ซ่งหู่ก็อดเผยรอยยิ้มครุ่นคิดออกมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ เบนสายตามองไปทางโจวเทียนเฟิ่งกับฉู่เฉินแล้วหัวเราะเสียงเหี้ยมก่อนเอ่ยว่า “โจวเทียนเฟิ่ง มอบสำนักเฟิ่งมาแล้วฆ่าตัวตายต่อหน้าหลุมศพของลูกเมียฉัน ฉันจะให้แกมีสภาพศ
ไวจนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่อาจแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า เขาเคยเห็นคนผู้หนึ่งมีท่าร่างที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ก่อนหน้าฉู่เฉิน คนผู้นั้นก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาเอง หรือว่าฉู่เฉินจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวเหมือนกับอาจารย์ของเขา? ไม่! เป็นไปไม่ได้!อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาอายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่ฉู่เฉินเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? ไอ้แมงดาที่อายุยี่สิบกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร... ปัง! ในชั่วแวบเดียว สีหน้าของซ่งหู่ก็แข็งค้างอยู่ในวินาทีเมื่อกี้เขากระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ! ตู้ม! ร่างของซ่งหู่ตกลงไปในแม่น้ำจนเกิดคลื่นกระเซ็นขึ้นสูงหกเจ็ดเมตร ทว่าจนถึงตอนนี้ ผู้คนรอบข้างต่างมองเห็นไม่ชัดเลยว่าฉู่เฉินลงมืออย่างไรกันแน่ ซี้ด ๆ! เสียงสูดลมหายใจยะเยือกดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่จินเจิ้นหลงที่มองฉู่เฉินด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิงนี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร?! ซ่งหู่ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นกลับโดนฉู่เฉินจัดการในกระบวนท่าเดียว? โจวเทียนเฟิ่งก็มองแผ่นหลังที่ยืนสูงตระหง่านสง่างามของฉู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อนะ...นี่ไม่ใช่แขนอันย
“ชาติหน้าก็เป็นคนดีซะ” เสียงของฉู่เฉินเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยสักนิดเดียว จากนั้นก็เห็นฉู่เฉินชูนิ้วสองนิ้วเป็นกระบี่ จากนั้นไอกระบี่สายหนึ่งก็วาดผ่านลำคอของซ่งหู่ดังฟิ้ว พรวด!เลือดพุ่งทะลักออกมา ศีรษะมนุษย์ลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากศพไร้หัวของซ่งหู่โงนเงนอยู่ไม่กี่ทีก็หงายตกลงไปในแม่น้ำ เงียบสนิท! รอบข้างมีเพียงเสียงสายน้ำไหลเท่านั้น ทุกคนต่างมองอย่างตะลึงงันไปยังฉู่เฉินที่ค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนศาลาเจียงซิน แววตาเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม! “พวกเราไปกันเถอะ ยังมีเรื่องที่อยากพูดกับคุณ”ฉู่เฉินทำเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรแล้วเดินมาอยู่ข้างหน้าโจวเทียนเฟิ่งที่มีแววตาตกตะลึงอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยชา “หา...ดะ...ได้ค่ะ” โจวเทียนเฟิ่งเหมือนกับสะดุ้งตื่นจากฝัน เธอพยักหน้าติดต่อกัน จากนั้นก็ควงแขนของฉู่เฉินแล้วพูดกับจงอาหู่ว่า “เสียวหู่ พวกเราไปเถอะ” จงอาหู่พยักหน้าอย่างมึนงง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา วิ่งตามหลังฉู่เฉินกับโจวเทียนเฟิ่งไปพรวด!จินเจิ้นหลงมองเงาหลังของฉู่เฉินก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่อีกครั้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ กะ...แกรัง
“ใช่แล้ว หมอเทวดาซุน ได้โปรดเมตตาด้วย!”“หมอเทวดาซุน...” ลูกศิษย์หลายสิบคนของสำนักมวยจินเจิ้นหลงพากันล้อมวงเข้ามา จ้องมองซุนเซี่ยวเหรินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพลางถามซักไซ้“ตามที่ผมรู้มา เจียงจงยังมีหมอเทวดาคนหนึ่งที่มีฝีมือทางการแพทย์เหนือกว่าผมมาก ถ้าเกิดเขายอมลงมือช่วย ย่อมรักษาเจ้าสำนักจินให้หายได้อย่างแน่นอน คนผู้นี้แซ่ฉู่ ชื่อว่าฉู่เฉิน”ว่าไงนะ?!เมื่อได้ยินคำว่าฉู่เฉิน ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิง! โดยเฉพาะจินเจิ้นหลงกับหลี่ก่านยิ่งเบิกตาโต จ้องมองซุนเซี่ยวเหรินด้วยความไม่อยากจะเชื่อและเอ่ยว่า “หมอเทวดาซุน คุณไม่ได้พูดผิดใช่ไหม? แน่ใจหรือว่าหมอเทวดาคนนั้นชื่อฉู่เฉิน?” ซุนเซี่ยวเหรินพยักหน้าหนัก ๆ และเอ่ยว่า “ใช่แล้ว เป็นฉู่เฉิน นอกจากนี้หมอเทวดาฉู่ยังเป็นหนุ่มที่มากความสามารถ อายุแค่ยี่สิบกว่า ทักษะทางการแพทย์ของเขาก็สูงส่งจนผมเทียบไม่ติดเลย”พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของซุนเซี่ยวเหรินก็เผยความเคารพนับถือออกมา พรวด! จินเจิ้นหลงฟังซุนเซี่ยวเหรินพูดจบก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาอีกทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่ตัวเองดูแคลนฉู่เฉินทุก ๆ
ทุกคนเพิ่งมาถึงหน้าประตู สาวสวยที่ทำผมมวยสวมชุดกี่เพ้าผ่าสูงสีฟ้าลายดอกไม้ก็เดินตรงเข้ามา เนื่องจากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เรียวขางามที่ขาวผ่องราวกับหยกคู่นั้นยิ่งกระชับมีรูปทรงดี ต่อให้มีเสื้อผ้าปิดไว้ก็เดาได้ไม่ยากว่ารอยกล้ามตรงท้องน้อยของหญิงสาวกับเอวเพรียวบางเท่ากำมือนั้นดูเย้ายวนใจเพียงใด ภายใต้องคาพยพทั้งห้าที่ประณีตงดงาม ดวงตากลมโตสดใส กลับมีจิตสังหารแอบแฝงอยู่ในดวงหน้า “คุณหนูใหญ่?” หลี่ก่านเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือจินหลิงเอ๋อร์ ลูกสาวคนโตของจินเจิ้นหลง “ศิษย์พี่หลี่ พ่อของฉันเป็นอะไรไปคะ?” จินหลิงเอ๋อร์เห็นจินเจิ้นหลงหน้าซีดเซียว แถมยังมีเลือดเปรอะเปื้อนตรงหน้าอก ดวงตางดงามก็หดลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปประคองจินเจิ้นหลงแล้วเอ่ยถาม “เฮ้อ” หลี่ก่านเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในศาลาเจียงซินและคำพูดที่ซุนเซี่ยวเหรินเอ่ยก่อนจะจากไปอีกครั้ง จินหลิงเอ๋อร์ฟังหลี่ก่านพูดจบ ดวงตางามก็หรี่ลง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าวางอำนาจว่า “เฮอะ! ไม่ยอมพูดถึงข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบของเรื่องนี้อยู่ที่คนแซ่ฉู่ชัด ๆ”“เขามีสิทธิ์อะไรที่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลื
คนที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ มีเพียงเฉียวเทียนฉี่และโฮ่วเจี้ยนอิงสองคนเท่านั้นแม้แต่โจวอวี้หมิงก็ได้แต่นั่งดื่มเป็นเพื่อนที่โต๊ะด้านข้างเท่านั้นเมื่อนับรวมเฉินเยว่เอ๋อร์ที่เป็นรองขุนพลของซ่งหนิงซวง ทั้งโต๊ะก็มีแค่สี่คนเท่านั้นฉู่เฉินไม่เกรงใจเช่นกัน เขานั่งลงตรงข้ามซ่งหนิงซวงทันที ก่อนจะยิ้มให้ซ่งหนิงซวงแล้วพูดว่า “คิดว่าถึงยังไงวันนี้ขุนพลหญิงเรียกผมมา คงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อดื่มเหล้าแน่นอนหรอกใช่ไหม?”“ผมเป็นคนชอบพูดจาตรงไปตรงมา มีเรื่องอะไรก็ขอให้ขุนพลหญิงพูดให้ชัดเจน”ถึงแม้ว่าฉู่เฉินจะเอ่ยคำพูดนี้ด้วยความเกรงใจมาก แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ดูเอาอกเอาใจเลยแม้แต่น้อยซ่งหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ฉันก็ชอบพูดคุยกับคนฉลาดเหมือนกัน” ซ่งหนิงซวงพูดพลางล้วงใบสั่งยาแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก แล้วส่งให้เฉินเยว่เอ๋อร์เฉินเยว่เอ๋อร์รับใบสั่งยาก่อนจะลุกขึ้นมาเดินไปหาฉู่เฉิน จากนั้นก็กางใบสั่งยาออกแล้ววางไว้ตรงหน้าฉู่เฉิน“ฉันได้ยินว่าคุณฉู่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์ ฉันคิดว่าคุณฉู่จะต้องเข้าใจใบสั่งยานี้แน่นอนเลยใช่ไหม”ซ่งหนิงซวงพูดพลางดื่มน้ำชา ฉู่เฉินกวาดตามองใบส
เมื่อคำพูดนี้ออกมา โฮ่วเจี้ยนอิงกับเฉียวเทียนฉี่ รวมไปถึงทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนทอดสายตาไปยังฉู่เฉิน“น้องฉู่ การมองท่านขุนพลตรง ๆ มันเป็นการไม่เคารพอย่างมากเลยนะ รีบ...” ฉู่เฉินไม่รอให้ฟางอวี่เจิ้งกล่าวจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมป่วยเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ โค้งตัวไม่ได้ อีกอย่าง คุณให้พวกเขาโทรเชิญผมมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ผมอยากมาเองนะครับ” “คุณคงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อให้ผมกราบไหว้หรอกใช่ไหม? คุณไม่ใช่เจ้าพ่อหลักเมืองเสียหน่อย”เชี่ย!เมื่อฉู่เฉินเอ่ยคำพูดนี้ออกม ทุกคนในงานต่างตกตะลึงจนตาค้าง เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาแล้ว ส่วนหลิ่วชิงเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งหนิงซวงก็ตกใจกลัวจนดวงหน้าเล็กซีดเผือด กระทืบเท้าไม่หยุด ฉู่เฉินบุ่มบ่ามเกินไปแล้วมั้ง?กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้อย่างไร?ฟางอวี่เจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินยิ่งตกใจกลัวจนขาสองข้างอ่อนแรง กระตุกชายเสื้อของฉู่เฉินไม่หยุดซ่งหนิงซวงหรี่นัยน์ตาหงส์ลงเล็กน้อย จ้องมองฉู่เฉินอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยว่า “คุณก็คือฉู่เฉินสินะ?” “ถูกต้อง”ฉู่เฉินยืดหลังตรง ตอบ
ฉู่เฉินก้าวเข้ามาใกล้ฟางอวี่เจิ้ง จับมือกับฟางอวี่เจิ้ง หลังจากนั่งลงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานฟาง เรื่องยาบำรุงสวรรค์หลี่จิงจิงทางนั้นจัดการให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”ฟางอวี่เจิ้งยิ้มประจบ รินน้ำชาให้ฉู่เฉินไปพลาง พยักหน้าและกล่าวไปพลาง “เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนสิบปีนี้ ฉันก็อาจได้เลื่อนตำแหน่งไปที่ที่ว่าการมณฑลแล้ว”“เรื่องนี้ ต้องขอบคุณน้องฉู่ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อไป ถ้ามีอะไรที่ฉันฟางอวี่เจิ้งช่วยได้ น้องฉู่แค่เอ่ยปากมา”ทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง ฉู่เฉินมองไปรอบๆ ไปพลาง ก่อนจะกล่าวว่า “ประธานฟางครับ งานเลี้ยงคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย ขุนพลเทียนเฟิ่งคนนี้มีที่มายังไงกันแน่ครับ?”พอได้ยินคำนี้ ฟางอวี่เจิ้งรีบยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวว่า “ชู่... เบาเสียงหน่อย”“ขุนพลเทียนเฟิ่งไม่ธรรมดาเลย นับตั้งแต่เข้ากองทัพเมื่อห้าปีก่อน ก็สร้างผลงานทางการรบมานับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นหนึ่งในแปดยอดขุนพลดินแดนมังกร ฉันได้ยินมาว่าอีกสามเดือนให้หลัง เธอยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของสี่ยอดขุนพลพิทักษ์ชาติด้วย”“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอควรจะเป็นคนรุ่นใหม่เพียงค
ฉู่เฉินหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนก้นของหลี่จิงจิงอย่างแรงครั้ง จากนั้นเปิดหน้าต่างระบายอากาศออกและจะกระโดดลงไปทันทีซี้ด!หลี่จิงจิงเห็นฉู่เฉินกระโดดลงจากหน้าต่าง ทันใดนั้นก็ตกใจจนใบหน้าเล็กซีดเผือดนี่ชั้นหกเลยนะ!แต่ในวินาทีถัดมา เมื่อฉู่เฉินเดินไปที่ลานจอดรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่จิงจิงจึงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา“ปัง!”ขณะที่หลี่จิงจิงยังตกใจจนพูดไม่ออก ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเปิดอย่างแรงชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบสี่หรือสามสิบห้าปี ทันทีที่ผลักประตูเข้ามา คนทั้งคนก็ชะงักไปทั่วทั้งห้องทำงานอบอวลไปด้วยกลิ่นฮอร์โมน และหลี่จิงจิงสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเล็กตัวเดียว กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อมองออกไปด้านนอกภาพนี้ทำให้ชายวัยกลางคนพลันสัมผัสได้ถึงลางร้าย เหมือนกับถูกคนสวมเขาโดยเฉพาะในห้องทำงาน เครื่องออกกำลังกายที่แม้แต่เขายังไม่รู้จักชื่อ และเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนนั้น ยิ่งทำให้ความคิดในใจเขาชัดเจนขึ้น“จิงจิง! คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ชายวัยกลางคนโกรธจัด รีบก้าวไปที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะยื่นมือผลักเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก แล้วโผล่ตัวออกไปชะเง
......อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการหลี่จิงจิงย้ายเครื่องออกกำลังกายที่ตนจัดเตรียมไว้อย่างดีออกมา ขณะเดียวกันก็หยิบรองเท้าบาเลนเซียกาคู่ใหม่สองคู่จากลิ้นชักเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมฉู่เฉินยังไม่มาสักที?เธอร้อนใจมากจริงๆเวลาเป็นเงินเป็นทอง เวลาคือชีวิตสิ่งสำคัญก็คือบ่ายวันนี้สามีของเธอจะมารับเธอไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลอีกด้วยรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง หลี่จิงจิงรีบร้อนจนรอไม่ไหว สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาฉู่เฉินผ่านไปเกือบครึ่งนาที ฉู่เฉินถึงจะรับสาย แต่ในวินาทีถัดมา หลี่จิงจิงก็ได้ยินเสียงหอบหายใจคุ้นเคย และเสียงการปะทะที่รุนแรงคงไม่ใช่มั้ง?ร่างของหลี่จิงจิงแทบจะกลายเป็นหิน เพื่อการพบกันครั้งนี้ เธออุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวอย่างดีมาแล้วหลายวัน แต่กลับถูกลีน่าชิงตัดหน้าไปก่อน?“รอผมอยู่ในออฟฟิศ อีกเดี๋ยวก็ถึง”ฉู่เฉินพูดจบ โดยไม่รอให้หลี่จิงจิงเอ่ยปาก ก็ตัดสายโทรศัพท์ไปขณะที่หลี่จิงจิงรออย่างกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก และฉู่เฉินก็ผลักประตูก้าวเข้ามา“คุณก็กล้าเกินไปแล้ว ในห้องผู้ป่วยก็..
ฉึก!ขณะที่ลีน่ากำลังส่ายก้นอวบอิ่มและโพสท่าเย้ายวน ทันใดนั้นฉู่เฉินก็ดึงเข็มเงินออกมา แทงเข้าที่ภายในจุดฝังเข็มกลางยอดศีรษะของแรนด์แรนด์เพียงรู้สึกว่าเลือดลมทั้งหมดในร่างกาย ราวกับจะพุ่งไปที่ยอดศีรษะพร้อมๆ กันในทันที และสมองที่มึนงงก็เปลี่ยนเป็นตื่นตัวขึ้นไม่น้อยบางทีอาจเป็นเพราะเลือดลมสูบฉีด แรนด์เพียงรู้สึกว่าปากและลิ้นแห้งผาก ภายในปากราวกับว่ามีไฟลุกโชนอยู่“ลีน่า…”เดิมที แรนด์คิดจะขอให้ลีน่าช่วยเทน้ำให้เขาสักแก้ว แต่เมื่อหันศีรษะไป กลับเห็นก้นกลมกลึงและอวบอิ่มของลีน่า ทันใดนั้นก็สับสนไปหมด“โอ้ พระเจ้า คุณ...คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ในวินาทีถัดมา ดวงตาของแรนด์ก็แดงก่ำเขาเกือบจะพิการแล้ว ลีน่าหญิงโสมมนี่ ถึงกับถกชายกระโปรงขึ้นและส่ายก้นงั้นเหรอ?อ๊าย?!เมื่อได้ยินเสียงของแรนด์ ลีน่าก็ตกใจเหมือนกันไม่ใช่ว่าเพิ่งวางยาชาทั้งตัวมางั้นเหรอ?ทำไมถึงฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ล่ะ?ไม่มีเวลาคิดมาก ลีน่ารีบร้อนดึงชายกระโปรงลง หันกลับมาแล้วกล่าวกับแรนด์ว่า “เอ่อ... ฉัน... ฉันรู้สึกร้อนนิดหน่อย จึงคลายร้อนสักหน่อยน่ะ”เมื่อเห็นเข็มเงินแทงลงบนไปที่จุดไป่ฮุ่ยบนยอดศีรษะของแรนด์ ลีน่าจึงเหล
เมื่อถูกสองก้อนเนื้ออ่อนนุ่มถูไปไถมาบนแขน ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะตีสะโพกอวบของหลี่จิงจิงหนึ่งครั้ง“แหมๆ ชั่วร้ายจังเลย ไปดูคนไข้ก่อนเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปรอคุณอยู่ที่ออฟฟิศนะ”พูดถึงตอนนี้ หลี่จิงจิงจึงกัดริมฝีปากสีแดงโดยไม่รู้ตัวอย่างอดใจไม่ไหว ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย ยิ่งเต็มไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิ“ไปเถอะ ไปดูคนไข้กัน”ฉู่เฉินโอบรอบเอวของหลี่จิงจิง แล้วเดินไปยังตึกผู้ป่วยในเมื่อมาถึงหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษชั้นห้า พบว่าหน้าประตูรายล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลประชาชน“ทุกคนหลีกทางหน่อยค่ะ”ทันทีที่เสียงของหลี่จิงจิงดังขึ้น เหล่าแพทย์พยาบาลต่างพากันถอยออกไปด้านหนึ่งมีเพียงผู้เชี่ยวชาญอาวุโสสวมแว่นกรอบดำวัยประมาณห้าสิบกว่าปี เขาใช้คีมคีบส่วนนั้นที่เฉาใกล้ตายของแรนด์ ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “จากประสบการณ์ทางการแพทย์กว่าสามสิบปีของผม ทางที่ดีที่สุดคือการตัดออกครับ”“ไม่งั้น เนื้อเยื่อที่ตายแล้วอาจลุกลามไปทั่ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”แรนด์ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เมื่อได้ยินคำพูดนี้ถึงกับหมดอาลัยตายอยากแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกสับสน ตอนกินข้าวกับฉู่เฉินยังดีๆ อ
ฉู่เฉินฝืนใจกล่าวว่า “ก็ได้ ก็ถือว่าให้เกียรติผู้ว่าการเฉียวแล้วกัน”“เฮ้อ น้องฉู่ เกรงใจกันเกินไปแล้ว เรียกพี่ใหญ่สิ บอกนายกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่!”เฉียวเทียนฉี่วางสายด้วยความโล่งอกฉู่เฉินเพิ่งเดินกลับมาที่ห้องโถงหน้า โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหลี่จิงจิงโทรมา ฉู่เฉินก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ขุนพลเทียนเฟิ่งท่านนี้ นี่คือสืบลำดับวงศ์ตระกูลของตนมาจนหมดแล้วสินะ?แม้แต่ความสัมพันธ์ของหลี่จิงจิงล้วนงัดมาใช้แล้ว!“ผมตอบรับคำเชิญผู้ว่าการเฉียวแล้ว คืนนี้จะไปร่วมงานเลี้ยง”ฉู่เฉินรับสายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหลี่จิงจิงที่ปลายสายเงียบไปถึงสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “คุณฉู่ คุณพูดเรื่องอะไรคะ? ฉันไม่เข้าใจเลย?”ฉู่เฉินก็กล่าวด้วยความสับสน “คุณไม่ได้โทรมาเชิญผมไปเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอะไรนั่นเหรอ?”“ไม่ใช่นะคะ! ฉันตั้งใจโทรมาขอความช่วยเหลือจากคุณต่างหาก”หลี่จิงจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน“เกิดอะไรขึ้น? พูดเถอะครับ”ฉู่เฉินกล่าวไปพลาง ดื่มชาหนึ่งอึกไปพลาง“คุณฉู่ เราเพิ่งรับคนไข้เข้ามา อาการวิกฤตอย่างมาก ด้วยระดับการแพทย์ของโรงพยาบาลเรา เกรงว่า… เกรงว่าจะท
งานเลี้ยง?ฉู่เฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “คงไม่ใช่งานเลี้ยงของหอการค้ากิเลนอีกใช่ไหม? ถ้าใช่ล่ะก็ งั้นก็ช่างเถอะ”ในเมื่อทุกคนเปิดไพ่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาพูดจาเกรงใจกันให้มากความอีก ใช้พลังพูดแทนก็พอ“หอการค้ากิเลน? ไม่ใช่หรอก ฉู่เฉิน แกเข้าใจผิดแล้ว เป็น... งานเลี้ยงต้อนรับของขุนพลเทียนเฟิ่ง เมื่อถึงเวลา ผู้มีชื่อเสียงมากมายในเจียงจง แม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างจะมาร่วมงานเหมือนกัน”“ฉันคิดว่า… ถ้าสามารถผูกมิตรกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้ ก็น่าจะเป็นการข่มขวัญหอการค้ากิเลนได้ด้วย แกคิดว่าอย่างไร?”ฉู่เฉินหัวเราะเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า “ถ้าจะแกร่งก็ต้องแกร่งให้ได้ด้วยตัวเอง การผูกมิตรกับเธอจะให้อะไรฉันได้บ้าง? โทษทีนะ ฉันไม่สนใจ”พูดจบ ฉู่เฉินก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที......ขณะนั้น บนทางด่วนข้ามมณฑล หลิ่วชิงเหอมองโทรศัพท์ที่สายไม่ว่าง มองไปซ่งหนิงซวงด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง แล้วกล่าวว่า “ท่านขุนพลคะ ฉู่เฉินเขา...”ซ่งหนิงซวงแค่นเสียงเบาหนึงเสียง ฉู่เฉินคนนี้ช่างบ้าบิ่นไร้ขอบเขตจริงๆเมื่อกี้บทสนทนาระหว่างหลิ่วชิงเหอกับฉู่เฉิน เธอได้ยินอย่างชัดเจนทั้งหมดถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้คง