เมื่อสิ้นเสียงพูด จินเจิ้นหลงก็ยกฝ่ามือขึ้นมาปัดแขนของฉู่เฉินออก ก่อนจะก้าวออกมาแล้วพุ่งตรงไปหาซ่งหู่“ปรมาจารย์ฉู่ เจ้าสำนักจินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่งหู่จริง ๆ เหรอ?” โจวเทียนเฟิ่งเอ่ยถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พวกเขาห่างชั้นกันมากเกินไป ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยครับ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋กังก็หันหน้าไปถลึงตาใส่ฉู่เฉินและเอ่ยว่า “พูดบ้าอะไร!” “เจ้าสำนักจินเป็นถึงท่านปรมาจารย์เชียวนะ!” “แกแม่งเข้าใจหรือเปล่าว่าระดับปรมาจารย์กับระดับกำลังภายในต่างกันมากแค่ไหน?”ไม่รู้จริง ๆ ว่าฉู่เฉินคนนี้ไปได้ความไว้วางใจจากโจวเทียนเฟิ่งมาได้อย่างไร ขอเพียงเป็นคนที่มีสามัญสำนึกสักหน่อย ไม่มีใครไม่รู้ว่าระดับกำลังภายในสิบคนรวมกันก็ไม่อาจสู้ระดับปรมาจารย์ได้แม้เพียงกระบวนท่าเดียว ไอ้ไก่อ่อนแซ่ฉู่คนนี้กลับคุยโวว่าปรมาจารย์จินเจิ้นหลงผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่งหู่ นี่เป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลกจริง ๆ “ข้อเท็จจริงเหนือกว่าคำพูด ภายในสามกระบวนท่า ต่อให้จินเจิ้นหลงไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน” ทันทีที่ฉู่เฉินกล่าวออกมา จินเจิ้นหลงที่กำลังพุ่งไปหาซ่
“นี่ก็คือหมัดพิฆาตของตระกูลจินเหรอ?”ซ่งหู่เชยตามองไปยังแขนที่จินเจิ้นหลงยกขึ้นมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยการครุ่นคิดฉู่เฉินก็สังเกตเห็นรัศมีแสงสีขาวที่ฝ่ามือของจินเจิ้นหลงเช่นกัน เมื่อเทียบกับหมัดพิฆาตของจินอ้าวเทียน ไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งกว่ากี่ขั้นแต่ก็แค่นี้เท่านั้น บางทีสำหรับคนอื่น ๆ หมัดพิฆาตของตระกูลจินอาจจะรับมือยากจริง ๆ ทว่าฉู่เฉินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยบนตัวของซ่งหู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าพูดให้ตรง ซ่งหู่ไม่ใช่นักสู้ระดับกำลังภายในขั้นสูง แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณชั้นสามสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมาตลอดแล้ว แค่วรยุทธ์วิชาหมัดไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลย “กล้าสังหารศิษย์เอกของฉัน วันนี้แกก็อย่าหวังว่าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้เลย!” จินเจิ้นหลงเพิ่มแรงตรงฝ่ามือที่ฟาดใส่หน้าอกของซ่งหู่ขึ้นอีกสองส่วนขอเพียงฝ่ามือนี้ฟาดโดน ซ่งหู่ไม่ตายก็ต้องพิการ ฮ่า ๆๆ!ซ่งหู่แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “อาศัยแค่หมัดพิฆาตของแก ยังทำร้ายฉันไม่ได้หรอก” “ถ้ารู้จักเอาตัวรอด มาจากไหนก็ไสหัวกลับไปที่นั่นซะ ท่านหู่อย่างฉันจะพิจารณาไว้ชีวิตสุนัขอย่างแก ไม
ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบไปชั่วขณะหนึ่งทุกคนมองฉากตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อคิดไม่ถึงว่าจินเจิ้นหลง เจ้าสำนักจินที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในเจียงเฉิงจะพ่ายแพ้แล้ว“หมัดพิฆาต? ฮ่า ๆๆ...” ซ่งหู่เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ยืนอย่างเย่อหยิ่ง กวาดมองจินเจิ้นหลงที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่บนพื้นด้วยสายตาดูแคลนแวบหนึ่งแล้วแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง“อาจารย์!” ลูกศิษย์อีกคนของจินเจิ้นหลงพุ่งปราดออกมา ก่อนจะรีบประคองจินเจิ้นหลงไว้“อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” จินเจิ้นหลงเช็ดเลือดที่มุมปาก เขายกแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ชี้ไปยังซ่งหู่ที่มีท่าทางทะนงองอาจแล้วเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “แก...” “แกเป็น...แกเป็นผู้บำเพ็ญเพียร...” ว่าไงนะ? เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิงผู้บำเพ็ญเพียร? ซ่งหู่คือผู้บำเพ็ญเพียรในตำนานเหรอ? นักสู้ในโลกนี้ก็หายากแล้ว แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเป็นตัวตนที่มีบันทึกไว้แค่ในตำราเท่านั้นเวลานี้แม้แต่อู๋กังก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด ไม่แปลกใจเลยที่ซ่งหู่มีความมั่นใจสูงจนไม่รู้สึกกลัว ต่อให้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ก็กล้าต่อสู้อย่างเต็มที่ ตอนนี
“เสียวหู่...”ไม่ว่าอย่างไรโจวเทียนเฟิ่งก็คิดไม่ถึงว่าจงอาหู่ที่ปกติดูอ่อนน้อมว่าง่ายจะกล้าออกมายืดอกสู้ในเวลานี้ “อาเจ๊ เจ๊กับปรมาจารย์ฉู่ระ...รีบหนีไปเร็วเข้า! ผะ...ผมยะ...ยังขวางเขาได้อีกสักพัก” ขณะที่จงอาหู่พูด เสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ แล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดา ถึงขนาดที่ไม่ว่าลูกน้องคนไหนในหอเทียนเฟิ่งก็สามารถซ้อมเขาจนหน้าบวมช้ำได้หมด แต่หลายปีที่ผ่านมา อาเจ๊ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีต่อให้หอเทียนเฟิ่งไม่อาจกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก โจวเทียนเฟิ่งต้องออกไปอยู่ต่างถิ่น แต่ว่าเขายังคงเข้าใจหลักการบุญคุณเท่าหยดน้ำต้องตอบแทนดุจสายธาร วันนี้ถึงต้องตาย เขาก็จะปล่อยให้ซ่งหู่ก้าวออกมาข้างหน้าอีกก้าวไม่ได้เป็นอันขาดนอกเสียจากว่าซ่งหู่จะก้าวข้ามศพของเขาไปแทน! เมื่อเห็นจงอาหู่ตกใจกลัวจนตัวสั่นอย่างชัดเจน ทว่าแววตากลับดูเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นอย่างผิดปกติ ซ่งหู่ก็อดเผยรอยยิ้มครุ่นคิดออกมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ เบนสายตามองไปทางโจวเทียนเฟิ่งกับฉู่เฉินแล้วหัวเราะเสียงเหี้ยมก่อนเอ่ยว่า “โจวเทียนเฟิ่ง มอบสำนักเฟิ่งมาแล้วฆ่าตัวตายต่อหน้าหลุมศพของลูกเมียฉัน ฉันจะให้แกมีสภาพศ
ไวจนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่อาจแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า เขาเคยเห็นคนผู้หนึ่งมีท่าร่างที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ก่อนหน้าฉู่เฉิน คนผู้นั้นก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาเอง หรือว่าฉู่เฉินจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวเหมือนกับอาจารย์ของเขา? ไม่! เป็นไปไม่ได้!อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาอายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่ฉู่เฉินเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? ไอ้แมงดาที่อายุยี่สิบกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร... ปัง! ในชั่วแวบเดียว สีหน้าของซ่งหู่ก็แข็งค้างอยู่ในวินาทีเมื่อกี้เขากระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ! ตู้ม! ร่างของซ่งหู่ตกลงไปในแม่น้ำจนเกิดคลื่นกระเซ็นขึ้นสูงหกเจ็ดเมตร ทว่าจนถึงตอนนี้ ผู้คนรอบข้างต่างมองเห็นไม่ชัดเลยว่าฉู่เฉินลงมืออย่างไรกันแน่ ซี้ด ๆ! เสียงสูดลมหายใจยะเยือกดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่จินเจิ้นหลงที่มองฉู่เฉินด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิงนี่...นี่เป็นไปได้อย่างไร?! ซ่งหู่ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นกลับโดนฉู่เฉินจัดการในกระบวนท่าเดียว? โจวเทียนเฟิ่งก็มองแผ่นหลังที่ยืนสูงตระหง่านสง่างามของฉู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อนะ...นี่ไม่ใช่แขนอันย
“ชาติหน้าก็เป็นคนดีซะ” เสียงของฉู่เฉินเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยสักนิดเดียว จากนั้นก็เห็นฉู่เฉินชูนิ้วสองนิ้วเป็นกระบี่ จากนั้นไอกระบี่สายหนึ่งก็วาดผ่านลำคอของซ่งหู่ดังฟิ้ว พรวด!เลือดพุ่งทะลักออกมา ศีรษะมนุษย์ลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากศพไร้หัวของซ่งหู่โงนเงนอยู่ไม่กี่ทีก็หงายตกลงไปในแม่น้ำ เงียบสนิท! รอบข้างมีเพียงเสียงสายน้ำไหลเท่านั้น ทุกคนต่างมองอย่างตะลึงงันไปยังฉู่เฉินที่ค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาบนศาลาเจียงซิน แววตาเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม! “พวกเราไปกันเถอะ ยังมีเรื่องที่อยากพูดกับคุณ”ฉู่เฉินทำเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรแล้วเดินมาอยู่ข้างหน้าโจวเทียนเฟิ่งที่มีแววตาตกตะลึงอยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยชา “หา...ดะ...ได้ค่ะ” โจวเทียนเฟิ่งเหมือนกับสะดุ้งตื่นจากฝัน เธอพยักหน้าติดต่อกัน จากนั้นก็ควงแขนของฉู่เฉินแล้วพูดกับจงอาหู่ว่า “เสียวหู่ พวกเราไปเถอะ” จงอาหู่พยักหน้าอย่างมึนงง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา วิ่งตามหลังฉู่เฉินกับโจวเทียนเฟิ่งไปพรวด!จินเจิ้นหลงมองเงาหลังของฉู่เฉินก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่อีกครั้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ กะ...แกรัง
“ใช่แล้ว หมอเทวดาซุน ได้โปรดเมตตาด้วย!”“หมอเทวดาซุน...” ลูกศิษย์หลายสิบคนของสำนักมวยจินเจิ้นหลงพากันล้อมวงเข้ามา จ้องมองซุนเซี่ยวเหรินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพลางถามซักไซ้“ตามที่ผมรู้มา เจียงจงยังมีหมอเทวดาคนหนึ่งที่มีฝีมือทางการแพทย์เหนือกว่าผมมาก ถ้าเกิดเขายอมลงมือช่วย ย่อมรักษาเจ้าสำนักจินให้หายได้อย่างแน่นอน คนผู้นี้แซ่ฉู่ ชื่อว่าฉู่เฉิน”ว่าไงนะ?!เมื่อได้ยินคำว่าฉู่เฉิน ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงโดยสิ้นเชิง! โดยเฉพาะจินเจิ้นหลงกับหลี่ก่านยิ่งเบิกตาโต จ้องมองซุนเซี่ยวเหรินด้วยความไม่อยากจะเชื่อและเอ่ยว่า “หมอเทวดาซุน คุณไม่ได้พูดผิดใช่ไหม? แน่ใจหรือว่าหมอเทวดาคนนั้นชื่อฉู่เฉิน?” ซุนเซี่ยวเหรินพยักหน้าหนัก ๆ และเอ่ยว่า “ใช่แล้ว เป็นฉู่เฉิน นอกจากนี้หมอเทวดาฉู่ยังเป็นหนุ่มที่มากความสามารถ อายุแค่ยี่สิบกว่า ทักษะทางการแพทย์ของเขาก็สูงส่งจนผมเทียบไม่ติดเลย”พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของซุนเซี่ยวเหรินก็เผยความเคารพนับถือออกมา พรวด! จินเจิ้นหลงฟังซุนเซี่ยวเหรินพูดจบก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมาอีกทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่ตัวเองดูแคลนฉู่เฉินทุก ๆ
ทุกคนเพิ่งมาถึงหน้าประตู สาวสวยที่ทำผมมวยสวมชุดกี่เพ้าผ่าสูงสีฟ้าลายดอกไม้ก็เดินตรงเข้ามา เนื่องจากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เรียวขางามที่ขาวผ่องราวกับหยกคู่นั้นยิ่งกระชับมีรูปทรงดี ต่อให้มีเสื้อผ้าปิดไว้ก็เดาได้ไม่ยากว่ารอยกล้ามตรงท้องน้อยของหญิงสาวกับเอวเพรียวบางเท่ากำมือนั้นดูเย้ายวนใจเพียงใด ภายใต้องคาพยพทั้งห้าที่ประณีตงดงาม ดวงตากลมโตสดใส กลับมีจิตสังหารแอบแฝงอยู่ในดวงหน้า “คุณหนูใหญ่?” หลี่ก่านเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือจินหลิงเอ๋อร์ ลูกสาวคนโตของจินเจิ้นหลง “ศิษย์พี่หลี่ พ่อของฉันเป็นอะไรไปคะ?” จินหลิงเอ๋อร์เห็นจินเจิ้นหลงหน้าซีดเซียว แถมยังมีเลือดเปรอะเปื้อนตรงหน้าอก ดวงตางดงามก็หดลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปประคองจินเจิ้นหลงแล้วเอ่ยถาม “เฮ้อ” หลี่ก่านเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในศาลาเจียงซินและคำพูดที่ซุนเซี่ยวเหรินเอ่ยก่อนจะจากไปอีกครั้ง จินหลิงเอ๋อร์ฟังหลี่ก่านพูดจบ ดวงตางามก็หรี่ลง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าวางอำนาจว่า “เฮอะ! ไม่ยอมพูดถึงข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบของเรื่องนี้อยู่ที่คนแซ่ฉู่ชัด ๆ”“เขามีสิทธิ์อะไรที่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลื
ด้วยเหตุนี้เองถึงทำให้เกาเซิ่งอี้บ้าคลั่งขึ้นมาโดยสิ้นเชิง “ครับ! พอถึงเวลานั้น ผมจะให้เฮ่อเซวียนบีบบังคับให้แม่ลูกตระกูลหลิ่วมอบของออกมา” ฉีอวี่ไท่เอ่ยด้วยความมั่นใจแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหยกโลหิตกิเลนมีประโยชน์อะไร แต่ว่าขอเพียงได้ของชิ้นนี้มาก็เท่ากับทำให้ตระกูลฉีมีต้นทุนที่จะได้ก้าวขึ้นไปสู่ตระกูลชั้นนำอย่างแท้จริง ตามผลประโยชน์ที่เกาเซิ่งอี้รับปากว่าจะมอบให้ตระกูลฉี ลูกหลานของตระกูลฉีในสามรุ่นจะสามารถกราบเข้าสำนักบำเพ็ญเพียรได้ทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ถึงสิบปี ตระกูลฉีก็สามารถก้มลงมองไปยังตระกูลธุรกิจกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้แล้ว หากทำงานให้สมาคมกิเลนสำเร็จ ตระกูลฉีจะสามารถใช้โอกาสนี้เป็นสะพานเชื่อมเพื่อเข้าร่วมสมาคมกิเลนอย่างเป็นทางการเช่นนั้นก็หมายความว่าตระกูลฉีจะมีเส้นสายกับคนที่น่ากลัวในโลกแห่งการหยั่งรู้ได้ อนาคตในวันข้างหน้าก็จะไร้ขีดจำกัด.....เพิ่งจะกลับมาถึงเจียงจง โทรศัพท์ของฉู่เฉินก็ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขแปลก ฉู่เฉินก็ลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะกดรับสาย“คุณฉู่ ตอนนี้คุณมีเวลาว่างไหมคะ?”ไม่นานก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนของจางม่านดังมาจากป
เมื่อเห็นท่าทางอ่อนต่อโลกของโฮ่วเจี้ยนอิง ฉู่เฉินถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างน่าพรั่นพรึงว่า “ต้นทุนยาบำรุงปราณไม่ถึงหนึ่งร้อย แต่ราคาตลาดขายได้หลายล้านต่อเม็ดไม่ใช่เหรอ?”“ถ้าไม่เห็นแก่ที่พวกคุณต้องการปริมาณมาก ห้าแสนผมก็ไม่ขายหรอก”โฮ่วเจี้ยนอิงยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าจัดหาให้ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ?”“สัปดาห์ละหนึ่งร้อยเม็ด นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว อีกอย่างยาชนิดนี้ไม่มีผลกับคนตาย ตนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หนึ่งปีมีแค่ไม่กี่ราย จำนวนเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว” ฉู่เฉินเอ่ยอย่างเรียบนิ่งอันที่จริงวิธีการหลอมยาสร้างกล้ามเนื้อไม่ได้ซับซ้อนเลย เพียงแต่ว่าตอนที่ใช้ไฟกลั่นขั้นสุดท้าย จำเป็นต้องใช้เปลวไฟหยินบริสุทธิ์ในการกลั่นเท่านั้นด้วยเหตุนี้ในแง่ของการผลิตจึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉู่ซื่อกรุ๊ป สิ่งที่ฉู่เฉินต้องทำก็คือไปกลั่นไฟทุกอาทิตย์แต่ในระดับขั้นของฉู่เฉินในตอนนี้ การหลอมยาชั้นหนึ่งจำนวนหนึ่งร้อยเม็ดก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้วเห็นได้ชัดว่าโฮ่วเจี้ยนอิงไม่พอใจกับจำนวนเท่านี้ แต่เมื่อเห็นว่าฉู่เฉินไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนปรน ก็ได้แต่คว้าสิ่งที่ดีรองลงมา ถ
“งั้นก็ได้ครับ ยังไงผมก็จำเป็นต้องกลับไปกับคุณฉู่อยู่แล้ว”หลูติ้งไห่พูดด้วยใบหน้าจริงจัง“ได้ครับ คุณฉู่ เชิญด้านนี้ครับ”ขณะที่กำลังพาฉู่เฉินไปที่ห้องทำงานของโฮ่วเจี้ยนอิง โจวอวี้หมิงก็สั่งให้ทหารคนสนิทพาหลูติ้งไห่ไปยังห้องพักเมื่อเปิดประตูห้องทำงานของโฮ่วเจี้ยนอิงออก โจวอวี้หมิงก็เริ่มเข้ามาแนะนำโฮ่วเจี้ยนอิงให้ฉู่เฉินได้รู้จักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณฉู่ นี่คือท่านโฮ่วเจี้ยนอิงผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในแปดเทพนักรบแห่งแดนมังกรของเรา”ฉู่เฉินและโฮ่วเจี้ยนอิงสบตากัน ราวกับว่าพวกเขากำลังจะปล่อยประกายไฟที่รุนแรงออกมาหลังจากที่เงียบอยู่นาน โฮ่วเจี้ยนอิงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “คุณเป็นเด็กหนุ่มคนแรกที่สามารถจ้องตาผมได้นานขนาดนี้”“คุณเองก็เป็นชายแก่คนแรกที่ยังไม่ถูกคลื่นลูกใหม่ผลักตกจากชายหาดนะ”ฉู่เฉินยิ้มเยาะ“เหอะ ๆ คุณพูดอะไรน่ะ!”โจวอวี้หมิงรีบสะกิดไปที่ไหล่ของฉู่เฉิน และส่งสายตาเตือนเขาโฮ่วเจี้ยนอิงถูกย้ายไปที่มณฑลเจียงแล้ว ซึ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว แต่ฉู่เฉินยังมายั่วโมโหเขาอีก นี่มันหาเรื่องมีปากเสียงกันไม่ใช่เหรอ?“คุณมีความสามารถมากจริง ๆ”โฮ่วเจี้ยนอิงยิ้มเล็กน้
เซียวเฟิงถูกฉู่เฉินซักถามจนหน้าตาแดงก่ำ เขาอยากจะด่ากลับไปจริง ๆ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนหลายพันคน เขาด่าออกไปไม่ได้จริง ๆ “ผู้นำเซียว เขาพูดอะไรน่ะ กลางวันอะไร ชาวบ้านทำนาอะไร?” หานหลิงผ้าเช็ดหน้าให้เซียวเสวี่ยอิ๋งถามขึ้นอย่างสงสัย“หุบปาก!”ดวงตางามของเซียวเสวี่ยอิ๋งพลันเย็นชา แล้วถลึงตาใส่หานหลิงหนัก ๆไม่ได้เรียนหนังสือหรือไงแม้แต่ชาวบ้านทำนาในตอนกลางวันก็ยังไม่รู้อีก“ฉู่เฉิน! คุณเลิกพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนี้ได้แล้วนะ การประลองในวันนี้ถือว่าเสมอกันไป”เซียวเสวี่ยอิ๋งกัดฟันแน่นและจ้องฉู่เฉินอย่างแน่วแน่ฉู่เฉินยิ้มเยาะ “ไม่ต้องรีบหรอก ยังไงสักวันหนึ่ง ผมก็จะทำให้คุณยอมผมทั้งกายทั้งใจ และเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในโลกของผมด้วยตัวเองอย่างเต็มใจ”พูดจบฉู่เฉินก็โยนยาสร้างกล้ามเนื้อไปให้เซียวเสวี่ยอิ๋ง“ฉัน...ฉันไม่ต้องการ”ถึงแม้ปากจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เซียวเสวี่ยอิ๋งก็ยังคงเก็บยาสร้างกล้ามเนื้อไว้ในแขนเสื้อตามจิตใต้สำนึกของดีขนาดนี้เธอแค่ไม่อยากใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้นเองอีกอย่าง บาดแผลบนร่างกายของเธอก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ทนอีกสองวันก็หายแล้ว ที่เธอเก็บยาของฉู่เฉินเอ
ในฐานะผู้นำเขตทหารยศสองดาว หลัวคายไม่กลัวความตาย แต่เขาก็ไม่สามารถตายด้วยน้ำมือของคนจากแดนมังกรได้ เพราะมันเป็นการทำลายเกียรติของกองทัพจนหมดสิ้นในขณะนั้น ความอัดอั้นในใจของเขาก็พุ่งทะยานขึ้น ทำให้หลัวคายกระอักเลือดออกมา“ผู้นำหลัว คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”เซียวเสวี่ยอิ๋งมองไปยังหลัวคายที่อยู่ข้างล่างเวทีประลองด้วยสีหน้าเป็นห่วงปกติแล้วเมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจากเซียวเสวี่ยอิ๋ง หลัวคายน่าจะรู้สึกดีใจถึงจะถูก แต่ปัญหาคือ ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนตัวตลก ที่ถูกฉู่เฉินกดไว้กับพื้นและลากถูไปมาอย่างไร้ศักดิ์ศรีแม้แต่นางฟ้าในใจของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เขาจะยังมีหน้าอะไรไปเจอเซียวเสวี่ยอิ๋งได้อีก? ตอนนี้เขาแทบจะอยากจะมุดดินหนี“สบายใจได้ เขาไม่ตายหรอก ปกติแล้วเวลาที่ผมต่อสู้ก็มักจะมีขอบเขตเสมอ แค่แขนหักไปข้างหนึ่ง เสียหน้าเล็กน้อยเท่านั้น สูญเสียในช่วงวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ดี”ฉู่เฉินปัดฝุ่นออกจากมือแล้วพูดเมื่อได้ยินแบบนั้น หลัวคายก็ถึงกับสบถด่าแม่ของเขาในใจชนะก็ชนะไปแล้ว ยังจะคุยโวอีกทำไมกันจะมีความเป็นสุภาพบุรุษบ้างไม่ได้เลยเหรอ?หลัวคายในตอนนี้แทบจะเหมือนกิ้งก่าท
ปัง!เมื่อหมัดทั้งสองชนกัน คลื่นพลังสีเงินขาวก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงแม้แต่เวทีการประลองที่สร้างจากแผ่นหินสีเขียวก็ยังเกิดรอยแยกลึกกว่าหนึ่งฟุต เมื่อหมัดทั้งสองชนกัน เศษหินถูกพลังหมัดอันน่ากลัวของทั้งสองคนพัดปลิวขึ้นไปในอากาศ“อ๊ากกก!”ในวินาทีถัดมา เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดก็ดังลั่นสนั่นพร้อมกับที่ร่างหนึ่งพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนตุบ! ร่างนั้นพุ่งไปกระแทกเสาหินข้าง ๆ จนขาดออกเป็นสองท่อน ก่อนจะล้มลงไปยังด้านล่างของอัฒจันทร์อย่างแรงในขณะนั้น เวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งเซียวเสวี่ยอิ๋งที่อยู่บนเวทีประลองมองภาพนั้นด้วยความงงงวยเซียวเฟิงและหลูติ้งไห่ที่อยู่ข้างล่างช็อกนิ่งไปแม้แต่โหวเจี้ยนอิงและโจวอวี้หมิงก็ยังลุกขึ้นยืนและมองไปที่ผู้ชายร่างกายอันสูงใหญ่บนเวทีประลองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง“เป็นไปไม่ได้!”โหวเจี้ยนอิงเบิกตากว้าง มือทั้งสองข้างกำแน่น ก่อนจะคำรามออกมาเสียงต่ำในขณะนั้นเอง หลัวคายที่อยู่ด้านล่าง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดและกำลังกอดแขนที่ขาดอยู่ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะมองไปที่ฉู่เฉินด้วยสีหน้าที่ไม่ยอม“แก...แกซ่อนเข
“แต่ตอนนี้ พวกคุณคิดที่จะใช้วิธีการต่อสู้แบบผลัดเปลี่ยนโจมตีคุณฉู่เหรอครับ?”ทั่วทั้งกองทัพรักษาการณ์มียอดฝีมือเก่ง ๆ แบบหลัวคายอย่างน้อยสามสี่คนถ้าทุกคนผลัดกันขึ้นมาท้าประลองกับฉู่เฉินคนละรอบ ฉู่เฉินก็คงจะเหนื่อยจนตายไปเสียก่อนนอกจากนี้ จากเครื่องหมายดาวสองดวงบนไหล่ของหลัวคาย ก็ไม่ยากที่จะคาดเดาเขาคือยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่สอง ซึ่งเหนือกว่าฉู่เฉินถึงหนึ่งระดับหากต้องการจะกลั่นแกล้ง ก็ไม่ควรจะใช้วิธีนี้กลั่นแกล้งสิโฮ่วเจี้ยนอิงยิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนจะมองไปที่ฉู่เฉินบนเวทีประลอง “จะยอมรับการท้าประลองหรือไม่นั้น สามารถให้คุณฉู่ตัดสินใจเองได้ ถ้าหากคุณฉู่ไม่อยากสู้ต่อ การประลองครั้งนี้ก็ถือว่าพวกเราแพ้ไป”อะไรนะ?เซียวเสวี่ยอิ๋งมองไปที่โฮ่วเจี้ยนอิงอย่างไม่ยอม “ผู้บังคับบัญชาสูงสุดโฮ่ว ฉัน…”โฮ่วเจี้ยนอิงส่ายหน้าเล็กน้อยให้เซียวเสวี่ยอิ๋ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เสวี่ยอิ๋ง คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกอย่าง เขายอมให้คุณมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้น ท่าอุ้มทุ่มเมื่อกี้คุณคงตายไปแล้ว”อะไรนะ?เซียวเสวี่ยอิ๋งถึงกับไม่กล้าเชื่อสิ่งที่หูตัวเองได้ยินฉู่เฉินยอมให้เธอมา
“กล้าหยามเกียรติฉัน แกสมควรตาย!”เซียวเสวี่ยอิ๋งในตอนนี้ ดวงตาคู่สวยของเธอกำลังเป็นสีแดงเพลิง พลังการต่อสู้ของเธอสูงจนเกินขีดสุดไปแล้ว แม้แต่โฮ่วเจี้ยนอิงยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับรัว ๆ ในพริบตาเดียว เซียวเสวี่ยอิ๋งก็ต้อนฉู่เฉินจนจนมุม ทำให้ผู้ชมที่นั่งอยู่ข้างล่างตื่นเต้นถึงขีดสุดนี่แหละคือลักษณะของนักรบหญิงอันดับหนึ่งแห่งกองทัพควรจะมีเมื่อเซียวเฟิงเห็นว่าฉู่เฉินกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ความโกรธในใจของเขาก็ลดลงไปไม่น้อย เขามองฉู่เฉินบนเวทีด้วยสายตาแข็งกร้าวแล้วพูดขึ้น “ฉู่เฉิน ยั่วโมโหน้องสาวฉัน นายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกนาน ๆ สินะ”แต่เมื่อฉู่เฉินถูกเซียวเสวี่ยอิ๋งบีบให้ถอยไปเรื่อย ๆ การโจมตีของเซียวเสวี่ยอิ๋งเองก็ถูกฉู่เฉินจับทางได้อย่างหมดเปลือกแค่ท่าของสิบสามกระบวนท่าเตะกับลูกเตะนกกระยางดาวตกเท่านั้นยังไงซะเซียวเสวี่ยอิ๋งไม่มีการสืบทอดพลังที่น่ากลัวเหมือนกับฉู่เฉิน การที่เธอสามารถฝึกฝนสองท่านี้จนถึงระดับสูงสุดได้ ก็ถือว่าหาได้ยากนักเมื่อจับทางวิธีการต่อสู้ของเซียวเสวี่ยอิ๋งได้แล้ว ฉู่เฉินก็ยิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้ผมจะเอาจริงแล้วนะ”ทันทีที่พูดจบ
นี่มันเวทีการประลองหรือเวทีแสดงความรักกันแน่!?โดยเฉพาะหลัวคาย นายพลสองดาวที่ตามจีบเซียวเสวี่ยอิ๋งอย่างบ้าคลั่งมานานเกือบปี เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็กัดฟันแน่นจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆนั่นมันนางฟ้าของเขานะ!ไอ้คนแซ่ฉู่กล้าดียังไง!เซียวเฟิงเองก็ลุกพรวดขึ้นเช่นกัน เขาชี้นิ้วไปที่ฉู่เฉินก่อนตะโกนลั่นด้วยความโกรธ “ฉู่เฉิน ปล่อยน้องสาวฉันเดี๋ยวนี้!”ไอ้เด็กฉู่เฉิน กล้าฉวยโอกาสน้องสาวเขาโดยอ้างว่าเป็นการประลองใช่ไหม?แบบนี้จะยอมได้ยังไง!แต่ในขณะเดียวกัน โจวอวี้หมิงที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ก็หันไปพูดกับโฮ่วเจี้ยนอิง “ผู้บังคับบัญชาสูงสุดโฮ่ว ยอดฝีมือแค่ขยับมือนิดหน่อยก็รู้ผลแล้ว ผมว่าการประลองครั้งนี้ คงไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นอีกแล้วใช่ไหม?”“หึ!”โฮ่วเจี้ยนอิงแค่นหัวเราะเบา ๆ “ไม่แน่เสมอไป”ทันทีที่โฮ่วเจี้ยนอิงพูดจบ เซียวเสวี่ยอิ๋งที่ถูกฉู่เฉินกอดไว้ ในอ้อมแขน เธอทั้งอายทั้งโกรธ เธอยกขาขึ้นแล้วหมุนตัวเตะไปยังจุดยุทธศาสตร์ของฉู่เฉินอย่างไม่ลังเล!ซี้ด!เมื่อเห็นว่าลูกเตะตัดทายาทนี้พุ่งเข้าใส่ฉู่เฉินรวดเร็วดั่งสายฟ้า หลูติ้งไห่ก็ถึงกับหลับตาปี๋โดยไม่รู้ตัวจบแล้ว!ระยะประชิดขนาดนี