“ครับ”แม้ว่าอู๋กังจะยอมจำนนต่อหน้า แต่เขาก็แอบเถียงในใจไอ้ฉู่ ฉันก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าแกจะเก่งขนาดไหนกัน!ผ่านไปสักพัก กูจะเปิดโปงต่อหน้าเจ๊เองว่าแกมันเป็นคนหลอกลวง เมื่อคิดได้เช่นนี้อู๋กังก็ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ เขาวิ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวกวักมือเรียกลูกน้องมาสองคน นำแผนที่ของบ้านใหญ่ตระกูลฉู่มอบให้“ไปรับตามคำสั่งของเจ๊ ไปรับปรมาจารย์ฉู่มา!”ลูกน้องสองคนที่ได้ยินเช่นนั้นรีบรับกระดาษนั่นมา พร้อมกับรับคำสั่งสามสิบนาทีผ่านไป ลูกน้องสำนักเฟิ่งสองคน จากนั้นเขาก็พาฉู่เฉินไปที่ประตูห้องเทียนจือในตึกเทียนเฟิ่ง และแสดงท่าทางแสดงความเคารพ พร้อมกับผายมือเชิญ “ปรมาจารย์ฉู่ เชิญด้านในครับ เจ๊รอคุณอยู่ในนี้นานแล้วครับ”ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ผลักประตูเข้าไปมองไปที่แผ่นหลังของฉู่เฉินแป๊ปหนึ่ง ลูกน้องหนึ่งในนั้นยักคิ้วขึ้นมา เขากระซิบกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ “นี่คือปรมาจารย์ฉู่ที่อายุน้อยนั่นใช่ไหม?”“ฉันว่าเขาดูเด็กกว่าฉันไปสามสี่ปีเลยนะ”เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้สีหน้าของพี่อู๋แย่แค่ไหน? ฉันเดาว่าเด็กนี่ลำบากแล้วล่ะ”เมื่อได้ยินคำนี้ทั้งสองคนส
อู๋กังอดทนกับฉู่เฉินมานานแล้วตั้งแต่ที่ฉู่เฉินเดินเข้ามา อู๋กังก็ไม่ถูกชะตาฉู่เฉินแล้วโจวเทียนเฟิ่งสละที่นั่งให้เขา มันเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วตึกเฟิ่งก็คือถิ่นของสำนักเฟิ่งอยู่ดีหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น จะไม่มีใครกล้านั่งที่หลักแน่นอน เพราะนั่นมันเป็นสิ่งต้องห้ามในโลกใต้ดินแต่ไอ้เจ้าหน้าจืดนี่มันช่างกล้า นั่งลงไปซะดื้อๆ แบบนั้นเขาอดทนแล้ว ใครใช้ให้โจวเทียนเฟิ่งเอาแต่ปกป้องไอ้หน้าจืดนี่ล่ะ? พอเมื่อพูดถึงซงหู่ ไอ้เจ้านี่มันก็เอาแต่แสร้งทำเป็นอำนาจบาตรใหญ่ พูดออกมาว่าเรื่องเล็กน้อยงั้นเหรอ?คำพูดแบบนี้ไอ้ฉู่มันก็พูดออกมาได้งั้นเหรอ?ในตอนนั้นกำราบซงหู่ พร้อมทั้งนำคนไปทำลายเหมิงหู่ถังกว่าสิบกว่าแห่งก็คืออู๋กังในขณะนั้น อู๋กังมีพลังกำลังภายในระดับพื้นฐานแล้วแต่ถึงอย่างนั้น การต่อสู้อันนองเลือดกับเหมิงหู่ถังก็ยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของอู๋กังในตอนที่เข้าสู้กับซงหู่นั้น ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากคมมีดหลายจุด สุดท้ายก็เป็นเพียงชัยชนะอันหวุดหวิดไม่ได้เหมือนที่เขาพูดว่าชิวๆ เลยสักนิดผ่านไปก็หลายปีแล้ว ซงหู่พัฒนาไปถึงขั้นไหน แม้แต่อู๋กังก็ยังไม่สามารถเดาได้ที่จ
“แต่ถ้าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมแล้วจะว่ายังไงอีก?”ฉึบ!สายตาหลายคู่ภายในห้องหันมาทางฉู่เฉินทันที ขนาดชายฉกรรจ์สี่คนที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องส่วนตัวก็สังเกตฉู่เฉินด้วยแววตาสงสัย อู๋กังย่อมเป็นยอดฝีมือที่คู่ควรเป็นอันดับหนึ่งในความคิดของพวกเขา ไม่เพียงแต่มีกล้ามเนื้อทั่งทั้งร่างและแข็งแกร่งทรงพลังแล้ว เขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวในสำนักเฟิ่งที่บรรลุถึงกำลังภายในระดับสูง! ตามการแบ่งลำดับของผู้ฝึกยุทธ์ เรียงลำดับจากต่ำไปถึงสูงคือกำลังภายในเริ่มต้น กำลังภายในระดับต่ำ กำลังภายในระดับสูง สุดท้ายถึงเป็นปรมาจารย์! จากการทำความเข้าใจของฉู่เฉิน ปรมาจารย์เทียบได้กับการฝึกปราณชั้นสี่โดยประมาณ แต่ฉู่เฉินทะลวงถึงขั้นฝึกปราณชั้นห้ามานานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะบดขยี้โดยสิ้นเชิง แล้วเขาจะสนใจการยั่วยุของคนที่มีกำลังภายในระดับสูงได้อย่างไรแต่ความอดทนของฉู่เฉินก็มีขีดจำกัดเช่นกัน อู๋กังยั่วยุติดต่อกันสองครั้ง ฉู่เฉินเห็นแก่หน้าของโจวเทียนเฟิ่งเลยขี้เกียจสนใจเขาแต่ไม่ควรเกินสามครั้ง! ฉู่เฉินค่อย ๆ เชยตาขึ้นมาสังเกตอู๋กังและกล่าวว่า “ยังไงก็ได้ เพี
อู๋กังกัดฟันกำหมัดสองข้างแน่น พูดกับโจวเทียนเฟิ่งด้วยสีหน้าไม่เต็มใจว่า “เจ๊! เมื่อกี้ผมแค่ประมาทไปชั่วคราว ถ้าเกิดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง...” “เถียงข้าง ๆ คู ๆ!” นัยน์ตางดงามของโจวเทียนเฟิ่งเบิกกว้าง ตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ประมาทไปชั่วคราว? ขนาดฝาถ้วยนายยังรับไม่ได้เลย ต่อให้นายไม่ได้ประมาท นายจะทำอะไรได้อีก?” “ฉันไม่อยากทวนคำพูดเมื่อกี้ซ้ำเป็นรอบที่สองหรอกนะ!” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋กังก็อดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้ แต่คำพูดของโจวเทียนเฟิ่งมาถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายืนกรานต่อไปอีกก็เป็นการต่อต้านโจวเทียนเฟิ่งแล้ว พอคิดถึงตรงนี้ อู๋กังก็ฝืนข่มกลั้นความโกรธในใจ เดินเข้าไปใกล้ฉู่เฉินแล้วคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “ขอโทษด้วยครับ”ฉู่เฉินกวาดตามองอู๋กังเหมือนขี้เกียจจะยุ่งกับเขาแล้วโบกมือเอ่ยว่า “ก็แค่นั้น”จากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปทางโจวเทียนเฟิ่งอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “คุณรู้ที่อยู่ของซ่งหู่ไหม?”การจัดการกับซ่งหู สำหรับฉู่เฉินแล้วเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเฟิ่งมีความสำคัญมากต่อฉู่เฉินในเวลานี้ ยาบำรุงปราณจะสามารถเปิดตลาดชั้นสูงได้อย่
ถึงอย่างไรการขอความช่วยเหลือแบบนี้ ถ้าเกิดไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ฉู่เฉินเกิดความระแวงได้ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเกิดเขาจัดการซ่งหู่ได้ก็ ผมก็จะได้ไม่ต้องออกแรงเอง” ฉู่เฉินไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับโจวเทียนเฟิ่งอีกหลายประโยคแล้วก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว ฉู่เฉินก็ศึกษาค่ายกลในวิชาเก้าผันกลืนสวรรค์ต่อเพียงแต่ว่าระดับของเขาในตอนนี้ไม่เพียงพอ ดังนั้นค่ายกลที่สามารถศึกษาได้เลยมีจำกัดอย่างมาก อย่างไรก็ตามเคล็ดวิชาค่ายกลกันเสียงในนั้นกลับทำให้ฉู่เฉินค่อนข้างรู้สึกสนใจ ฉู่เฉินเขียนตัวอักษรโบราณสมัยราชวงศ์ฉินที่ซับซ้อนหลายตัวกลางอากาศตามที่บันทึกไว้ในนั้นแล้วก็สั่งเบา ๆ ว่า “ลุกขึ้น!” ตูม!พริบตานั้นเหมือนกับมีม่านแสงสีขาวระเบิดขึ้นทั่วทั้งห้อง แต่ก็เป็นแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นฉู่เฉินก็หาเครื่องบันทึกเสียงรุ่นเก่ามาปรับเสียงให้ดังที่สุดแล้วค่อยถอยไปที่ลานบ้านคิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ยินเสียงรอบ ๆ บริเวณเลยแม้แต่น้อย ประสิทธิผลของการกันเสียงดีมากจริง ๆ นอกจากนี้ฉู่เฉินยังค้นพบอย่างปาฏิหาริย์ว่าค่ายกลกันเสียงนี้ไม่เพียงสามารถเสียงได้เท่า
จงอาหู่พาฉู่เฉินมาที่ห้องส่วนตัวหรูหราชั้นบนสุดของภัตตาคารตรงข้ามศาลาเจียงซิน เวลานี้โจวเทียนเฟิ่งกับอู๋กังรวมถึงหัวหน้าหลายคนของสำนักเฟิ่งต่างนั่งล้อมวงอยู่ในห้องส่วนตัว เมื่อเห็นฉู่เฉินมาถึง โจวเทียนเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาต้อนรับก่อน “ปรมาจารย์ฉู่ เชิญนั่งเลยค่ะ”โจวเทียนเฟิ่งกล่าวจบก็รินน้ำชายื่นให้ฉู่เฉินด้วยตัวเอง คืนนี้โจวเทียนเฟิ่งสวมชุดกี่เพ้าผ่าสูงสีขาวลายดอกไม้แดง ขับเน้นทรวดทรงโค้งเว้าของเธอให้ดูเย้ายวนเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดหยกตรงหน้าอกสองลูกนั้น ดูไปแล้วยิ่งใหญ่อลังการมากขณะที่เธอยกขาขึ้นแล้ววางเท้าลงเผยให้เห็นชายลูกไม้สีชมพูวับ ๆ แวม ๆ ยิ่งสังหารผู้ชายนับไม่ถ้วน แม้แต่ท่อนไม้อย่างฉู่เฉินก็อดมองหลายครั้งไม่ได้แม้ว่าโจวเทียนเฟิ่งอายุเกินสามสิบแล้ว แต่เธอเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดลักษณะท่าทางเหมือนสาวเซ็กซี่รุ่นใหญ่ ทำให้หยุดปรารถนาไม่ได้ ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และแฝงไปด้วยออร่าของผู้มีอำนาจเช่นนี้ไม่ใช่คนที่พวกสาวสวยเยาว์วัยเหล่านั้นเทียบได้เลยภายใต้การขับเน้นของแสงไฟยามค่ำคืน โจวเทียนเฟิ่งดูงดงามราวกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งจริง ๆ “คนแซ่ฉู่ นายมองอะไรน่ะ!”
จินเจิ้นหลง!เจ้าของสำนักมวยทั้งสี่แห่งของเจียงจง ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่มีอยู่ไม่กี่คนในเจียงจงด้วยแค่อำนาจกดดันน่าสะพรึงกลัวเฉพาะตัวผู้ฝึกยุทธ์ก็ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันอันน่ากลัวกันหมดแล้ว ด้านหลังเขายังมีลูกศิษย์เยาว์วัยสวมชุดนักดาบตามมาอีกสองคนแค่กลิ่นอายรอบตัวลูกศิษย์สองคนนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่าอู๋กังเลยแม้แต่น้อย “คารวะท่านปรมาจารย์จิน!”“คารวะเจ้าสำนักจิน!” หลายคนที่นำโดยอู๋กังรีบลุกขึ้นประสานมือคำนับจินเจิ้นหลง โจวเทียนเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน เธอเดินเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะผงกศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสำนักจิน ขอบคุณที่ให้เกียรติมานะคะ” จินเจิ้นหลงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเย่อหยิ่งเย็นชา สายตาทอดมองไปที่ฉู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้แม้แต่เจ้าสำนักเฟิ่งก็ลุกขึ้นมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ไอ้เด็กนี่ยังคงนิ่งเหมือนกับภูเขาไท่ซานเนี่ยนะ?“สหายน้อยคนนี้แตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ”จินเจิ้นหลงเอ่ยเป็นนัยก่อนจะแค่นหัวเราะ มองฉู่เฉินอย่างละเอียดพลางกล่าว“คนแซ่ฉู่ นายยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบ
ฉู่เฉินดื่มน้ำชาหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ขอโทษด้วยนะครับ คุณยังไม่คู่ควรพอที่จะรู้ชื่อของท่านอาจารย์”นี่ไม่ใช่ว่าฉู่เฉินตั้งใจดูหมิ่นจินเจิ้นหลง แต่ว่าปรมาจารย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเขายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้นามอันยิ่งใหญ่ของราชันมังกรแห่งแดนเหนือจริง ๆ เพียงแต่ว่าคนรอบข้างกลับไม่คิดเช่นนี้ ในความคิดของพวกเขา ฉู่เฉินรนหาที่ตายเสียแล้วถึงแม้ว่าจินเจิ้นหลงเรียกนายว่าปรมาจารย์ แต่นายคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ระดับเดียวกับเขาจริง ๆ เหรอ? หากนี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายแล้วเป็นอะไร? จินเจิ้นหลงหรี่ตา เขากัดฟันมองฉู่เฉินอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “เหอะ ถึงแม้คนหนุ่มสาวต้องการแสดงความสามารถ แต่บางครั้งแสดงออกมากเกินกลับทำให้อายุสั้นลงได้นะ”อู๋กังก็แค่นเสียงเย็นเช่นกันแล้วเอ่ยกับฉู่เฉินด้วยสีหน้าดูแคลนว่า “คนแซ่ฉู่ นายรู้ไหมว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายคือใคร? เขาคือยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ของเจียงจงเรานะ!” “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักจินไม่อยากลดตัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอย่างนาย ตอนนี้หญ้าบนหลุมฝังศพของนายคงสูงสองฟุตไปแล้ว!”“ยังไม่รีบขอโทษเจ้าสำนักจินอีก!” ลูกศิษย์สองค