ใช่แล้ว!ทันใดนั้น ถานหลิงก็ได้สติขึ้นมา ฉู่เฉินฝังเข็มเข้าไป พอเพียงแค่เรียกฉู่เฉินมาทางอีกครั้งก็น่าจะได้แล้วนี่?เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ถานหลิงก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา วิ่งไปที่ทางเดิน และกดหมายเลขโทรศัพท์ของฉู่เฉินผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ปลายสายถึงจะมีเสียงของฉู่เฉินดังขึ้นมา “มีอะไร คุณอยากได้อีกเหรอ?”ถานหลิงหน้าแดงเมื่อถูกถาม และพูดตะกุกตะกัก “คะ...คุณฉู่ มีบางอย่างเกิดขึ้น!”เมื่อพูดอย่างนั้น ถานหลิงก็บอกจ้าวอีม่านเกี่ยวกับการดึงเข็มออกมา แล้วพูดอย่างกังวล “คุณฉู่ ไห่หยางร่างกายชักอย่างรุนแรงตอนนี้ คุณคิดว่าคุณจะฝังเข็มอีกเล่มให้เขาได้ไหมคะ”ฉู่เฉินเยาะเย้ยและพูดว่า “ถานหลิง ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ? ผมไม่ได้เป็นหนี้ครอบครัวของคุณเลย ถ้าคุณบอกให้ผมดึงเข็มออกผมก็จะดึงมันออก และถ้าคุณบอกให้ผมฝังเข็มเข้าไป ผมก็จะฝังมันเข้าไปงั้นเหรอ?”ถานหลิงก็ถูกถามโดยฉู่เฉินเช่นกันถ้าจะพูดกันตามหลักแล้ว เป็นเพราะเธอและจางปินสงสัยในตัวฉู่เฉิน พวกเขาจึงยอมให้จ้าวอีม่านดึงเข็มออกตอนนี้ฉู่เฉินเขาจะไม่ยอมช่วย นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ“คุณฉู่ ฉัน... ฉันผิดไปแล้ว ขอร้องคุณล่ะ เห็น
จ้าวอีม่านทรุดตัวลงบนโซฟา และหลังจากต่อสู้ภายในใจอย่างขมขื่น ในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหมายเลขของฉู่เฉินโทรศัพท์ดังอยู่นานก่อนที่ฉู่เฉินจะรับสายและพูดว่า “นี่ใคร?”“สวัสดี ฉันเป็นหมอที่โรงพยาบาลประชาชน ฉันชื่อจ้าวอีม่าน คุณคือคุณฉู่ใช่ไหมคะ?”เมื่อฟังเสียงสั่นเครือของจ้าวอีม่านทางโทรศัพท์ ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรูปถ่ายที่หลี่จิงจิงแสดงให้เขาเห็นในวันนั้นผมลอนสีทองขนาดใหญ่ที่ไหวปลิวไปตามสายลม ดวงตาที่สดใสและฟันสีขาว และปากเล็กๆ ที่เย้ายวนใจมาก!“อืม ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินถามอย่างตั้งใจ เพราะรู้คำตอบอยู่แล้วโดยไม่ต้องเดา เขาสามารถเดาได้ว่าต้องเป็นผู้หญิงไร้สมองที่มีหน้าอกใหญ่คนนี้แน่ๆ ที่เผลอเอาเข็มเงินออกจากร่างของจางไห่หยางโดยไม่ได้ตั้งใจ“คุณฉู่ ฉัน... ฉันเผลอเอาเข็มเงินออกจากร่างของจาง คุณช่วยมาช่วยฝังเข็มกลับคืนให้หน่อยได้ไหม”จ้าวอีม่านพูดอย่างตรงไปตรงมาในความเห็นของเธอ ฉู่เฉินอาจพยายามเอาใจตระกูลจางเช่นกัน ตราบใดที่เธออธิบายอาการปัจจุบันของจางไห่หยาง ฉู่เฉินก็รีบมาทันที“ไม่ว่างครับ”ฉู่เฉินตอบอย่างเย็นชาอะไรนะ?ไม่ว่าง?!เมื่อได้ยินคำตอบส
หลังจากเรียนต่อต่างประเทศมาหลายปี จ้าวอีม่านก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก และความบริสุทธิ์ก็ไม่สำคัญกับเธอเท่าไหร่นักอย่างไรก็ตาม ให้ยอมจำนนต่อคนที่เหมือนกับหมอเถื่อนทำให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยการดิ้นรนและไม่ยินยอม“คุณหมอจ้าว เวลาของผมมีค่ามาก ถ้าคุณตกลงก็ช่างมันไปเถอะ ถึงยังไงผมไม่จำเป็นต้องพึ่งคุณแค่คนเดียว”ระหว่างที่พูดฉู่เฉินก็เตรียมตัวจะกดวางสายเมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวอีม่านก็ร้อนใจขึ้นมาทันทีและรีบพูดกับฉู่เฉินที่ปลายสายว่า “คุณฉู่! ฉัน... ฉันรับปากค่ะ แต่คุณต้องรับประกันว่าคุณสามารถช่วยจางไห่หยางได้!”เธอไม่สามารถเสียสละตัวเองไปเปล่าๆ สุดท้ายจางไห่หยางก็ไม่รอด แบบนั้นความพยายามทั้งหมดของเธอจะสูญเปล่าใช่ไหม?“ได้”ฉู่เฉินอย่างใจเย็นและพูดว่า “รอผมข้างในห้องผู้ป่วยของเขา”พูดจบ ฉู่เฉินก็ตัดสาย แล้วพูดกับหลูไคซานที่กำลังขับรถอยู่ว่า “เลขหลู กลับรถ พวกเราไปที่โรงพยาบาลประชาชน”หลูไคซานได้ยินบทสนทนาของฉู่เฉินกับจ้าวอีม่านอย่างชัดเจน หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น และขณะที่เขาเลี้ยวรถกลับ เขาก็ถามหยั่งเชิงว่า “คุณฉู่ ผมอยากทราบว่าเสียวอิ่งช่วยอะไรคุณไว้ในวันนั้นครับ?”อย่าเห็น
เมื่อไม่สามารถรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองไว้ได้ ราชันมังกรจะทอดทิ้งเธอเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า?หลิ่วหรูเยียนที่กำลังตกอยู่ในความคิด ก็มีเสียงหลิ่วชิงเหอดังขึ้นมาจากข้างล่าง “หรูเยียน”หลิ่วหรูเยียนถอนหายใจ คว้าชุดนอนบางๆ จากตู้เสื้อผ้ามาใส่อย่างสบายๆ แล้วเดินลงบันไดพร้อมกับสะโพกอวบอิ่มที่แกว่งไกว“มีอะไรคะแม่?”หลิ่วหรูเยียนถามอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ตอนนี้หมดหวังกับโครงการที่โรงพยาบาลประชาชนแล้ว จึงได้แต่หาทางออกอื่นอย่างไรก็ตาม เธอไม่เชื่อว่าคนๆ หนึ่งจะสามารถถูกทำให้จนตรอกเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้?หากใช้ชื่อเสียงของฉู่ซื่อกรุ๊ปจะต้องมีหนทางอื่นอย่างแน่นอน“นอกจากเรื่องของไอ้ฉู่เฉิน ยังจะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ”ในขณะที่พูด หลิ่วชิงเหอสวมชุดนอนซีทรูสีดำและพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “แม่ให้คนไปถามมาแล้ว ไอ้สัตว์เดรัจฉานนั่นมันช่วยชีวิตนายท่านใหญ่เฉียวที่เกือบตายเอาไว้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของหลิ่วหรูเยียนก็หล่นตุบอย่างห้ามไม่อยู่หากเฉียวเทียนฉี่ตัดเส้นทางการเงินของฉู่ซื่อกรุ๊ปเพียงเส้นทางเดียว นั่นก็คงจะพอเจรจาได้ แต่ถ้าฉู่เฉินมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อตระกูลเฉียวเช่นนั้น เพื่อตอบแ
อีกด้านหนึ่ง ฉู่เฉินที่พึ่งถึงหน้าห้องผู้ป่วยของจางไห่หยาง ก็กดรับสายหลิ่วชิงเหอเมื่อมองไปที่หมายเลขผู้โทรและเห็นว่าเป็นหลิ่วชิงเหอ ฉู่เฉินจึงวางสายทันทีและเพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ของทั้งหลิ่วชิงเหอและหลิ่วหรูเยียนลงในแบล็กลิสต์ของเขาเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณสายไม่ว่างกะทันหันที่ปลายสาย หลิ่วชิงเหอก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมา“บ้าเอ๊ย!”เมื่อเห็นหลิ่วชิงเหอกัดฟัน หลิ่วหรูเยียนขมวดคิ้วและถามว่า “แม่เป็นอะไรไปคะ?”“มัน... มันถึงกับบล็อกแม่!”ตอนที่หลิ่วชิงเหอพูดออกมา ใบหน้าของเธอบูดบึ้งไปหมด!ไอ้สารเลวฉู่เฉินนั้น คงเดาได้ว่าเธอกำลังจะขอความช่วยเหลือ ดังนั้นเขาจึงบล็อกเธอ เพื่อบังคับให้เธอมาหาเขาถึงที่จะเกินไปแล้วนะ!หลิ่วชิงเหอกำหมัดแน่นและเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่นด้วยขาขาวราวกับหิมะของเธออย่างโกรธจัดเพื่อฉู่ซื่อกรุ๊ปแล้ว เธอสามารถให้ฉู่เฉินย่ำยีเธออย่างไรก็ได้ แต่เธอไม่มีทางเอาตัวเองไปหาเขาถึงที่แน่นอนมันจะมีใครบ้างที่เอาตัวเองใส่พานเสนอตัวให้เขาทดลองสินค้าดูก่อน?อีกอย่างตอนนี้เธอเป็นถึงประธานของบริษัท เธอจะไม่รักษาศักดิ์ศรีนี้ไว้เลยเหรอ?“อะไรนะคะ?”หลิ่วหรูเยียนได้ยินเช่นนั
...ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู จ้าวอีม่านรีบลุกขึ้นจากโซฟาและมองไปยังฉู่เฉิน ร่างกายสูงโปร่งกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็น และหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ จ้าวอีม่านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสักครู่นี้เธอยังคงกังวล จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอีกฝ่ายเป็นชายอายุห้าสิบหรือสี่สิบปี?เธอไม่สามารถปล่อยให้ร่างขาวราวกับหิมะของเธอถูกตาแก่เอาเปรียบหรอกนะแต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าเธอกำลังเอาเปรียบฉู่เฉินแทนเมื่อเห็นผิวที่บอบบางของฉู่เฉินและความจริงที่ว่าเขาดูอ่อนกว่าเธออย่างน้อยสี่หรือห้าปี จ้าวอีม่านก็มีคำว่าวัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเธอก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูกทุกครั้งที่เธอนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้“คุณคือหมอจ้าวใช่ไหมครับ?”ฉู่เฉินมองไปที่จ้าวอีม่าน ซึ่งหน้าอกที่ใหญ่โตมโหฬารที่ไม่สามารถปกปิดได้แม้จะสวมเสื้อกาวน์สีขาวของเธอ และถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบจ้าวอีม่านพยักหน้าเล็กน้อยและปลดกระดุมเสื้อกาวน์ของเธอออกขณะที่เธอเปิดหน้าอ
“ออกไป!”บอดี้การ์ดสวมชุดสูทสีดำสองคนออกแรงผลักจางหลงจนเขาเกือบล้มลงกับพื้นจางเฉิงหลงยืนตัวตรงด้วยสีหน้าไม่พอใจ และมองไปทางห้องผู้ป่วยอย่างเย็นชาก่อนจะจากไปอย่างโกรธเคืองแม้ว่าเขาจะไม่กล้าตอบโต้ฉู่เฉินโดยตรง แต่จางไห่หยางยังอยู่ในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ?หากเขาเพิ่มบางสิ่งลงในน้ำเกลือ การฆ่าจางไห่หยางก็ไม่ใช่ปัญหาหากจางไห่หยางตาย จางปินจะปล่อยฉู่เฉินไปง่ายๆ งั้นเหรอ?เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จางเฉิงหลงก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและเดินกลับไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการด้วยสีหน้าชั่วร้ายในอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเฟอร์นิเจอร์ขยับมาจากห้องผู้ป่วยอีกครั้ง จางปินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่ฉู่เฉินมา เขาก็ได้ยินเสียงคล้าย ๆ กันเป็นไปได้มากว่าฉู่เฉินน่าจะมาถึงแล้วหรืออยู่ระหว่างฝังเข็มให้จางไห่หยาง ดังนั้นเขาจึงหันศีรษะแล้วพูดกับฉินอวี่ซานว่า “อวี่ซาน ไปดูว่าอาการของไห่หยางยังคงที่ไหม”“ค่ะ”ฉินอวี่ซานพยักหน้าอย่างแรงและรีบเดินไปที่ห้องผู้ป่วยเมื่อมาถึงที่ประตู ฉินอวี่ซานเหลือบมองบอดี้การ์ดที่ยังคงยืนอยู่ที่นั่นแล้วพูดว่า “พวกนายถอยออกไปก่อน ฉันจะเข้าไปดูสักหน่อย”บอดี้กา
ฉินอวี่ซานถูกฉู่เฉินจับเอวเล็กๆ ของเธอไว้จากด้านหลัง ร่างกายของเธอเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย โดยปกติแล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่เพราะว่าวันนี้อากาศร้อนมาก ฉินอวี่ซานจึงสวมเพียงกระโปรงสั้น และไม่ได้ใส่ถุงน่องด้วยซ้ำท่าตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างดันที่ขาของเธอ ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต ตกใจจนบหน้าเล็กๆ ของเธอซีดลงฉู่เฉินคงไม่ได้มีพลังเหลือที่จะทำศึกอีกครั้งใช่ไหม?“ตะโกนเรียกคนงั้นเหรอ? ได้สิ”ฉู่เฉินกดใบหน้าของเขาแนบกับใบหน้าเล็กๆ ของฉินอวี่ซานแล้วยิ้ม “อย่างมากคุณก็ค่ตะโกนเรียกคนมา ผมก็แค่กลับไป แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นจางไห่หยางคงจะอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนะครับ”“ถ้าเขาตาย ความฝันที่จะได้แต่งงานในตระกูลที่ร่ำรวยของคุณก็จะสลาย”“ฉะนั้นผมขอเตือนให้คุณอยู่เงียบๆ แล้วเชื่อฟังผมเถอะครับ”เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉิน ฉินอวี่ซานก็ตกตะลึงที่จริงเธอไม่ได้รักจางไห่หยางเลย เธอแค่ต้องการปอกลอกความร่ำรวยของตระกูลจางแค่นั้นเองหากเป็นสถานที่อย่างอื่น เธอจะไม่ลังเลที่จะโถมตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฉู่เฉินแต่ตอนนี้ไม่ได้อย่างไรนี่คือโรงพยาบาล จางปินและถานหลิง
สิ้นเสียง คนในตระกูลหลินต่างก้าวเท้าไปข้างหน้าและล้อมจ้าวเต๋อฉวนไว้ดูเหมือนว่าถ้าพูดไม่ถูกใจก็จะลงมือทันทีจ้าวเต๋อฉวนโกรธจนหัวเราะกับคนตระกูลหลิน มองสำรวจหลินเจิ้งไท่และกล่าวอย่างเย็นชา “ให้คำอธิบายกับคุณน่ะเหรอ? ผมจะอธิบายอะไรให้คุณล่ะ”หลินเจิ้งไท่สีหน้ามืดมน กัดฟันกล่าวว่า “พวกเราดักฆ่าฉู่เฉินที่นี่แล้วผิดอะไร? เจ้าสำนักก็เคยกล่าวไว้ ถ้าได้หยกโลหิตกิเลนมาก็เป็นประโยชน์ต่อสำนักชิงอวิ๋นของเราอย่างยิ่ง หัวหน้าจ้าวไม่รู้เหรอครับ?”“หึ ดักฆ่าฉู่เฉิน?”จ้าวเต๋อฉวนกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก มองหลินเจิ้งไท่อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกคุณคิดว่ามีแค่พวกคุณที่ได้รับข่าวว่าฉู่เฉินนำหยกโลหิตกิเลนเข้าสู่โลกแห่งการหยั่งรู้งั้นเหรอ?”“จนถึงตอนนี้ ฉู่เฉินยังคงปลอดภัยดี พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไม?”หมายความว่ายังไง?เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเจิ้งไท่ก็มองไปที่จ้าวเต๋อฉวนด้วยความไม่เข้าใจ“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักดูถูกพวกคุณตระกูลหลิน พวกคุณสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเก่งจริงๆ”ตอนนี้จ้าวเต๋อฉวนโกรธจนอยากจะด่าคน ไม่เคยเจอใครโง่งมขนาดนี้มาก่อน“หัวหน้าจ้าว หวังว่าคุณจะอธิบายให้ชัดเจนครับ”หลินเจิ้งไท่
ในขณะนี้ หลิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกันเพราะไม่ใช่แค่หลินเจิ้งไท่เท่านั้น รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลหลินทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแม้ว่าตอนนี้หลิงเสวี่ยจะอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นแปด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเจิ้งไท่อย่างแน่นอนยิ่งกว่านั้น เหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินเจิ้งไท่ก็ล้วนมีพลังระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ เธอและฉู่เฉินก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย“ฉู่เฉิน ฉันบอกคุณนานแล้วว่าอย่าอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้นานเกินไป คุณก็ไม่ฟัง”หลิงเสวี่ยกระซิบตำหนิฉู่เฉินไปพลาง มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายไปพลางเมื่อเห็นว่าหลิงเสวี่ยเริ่มลนลานแล้ว หลินฮ่าวที่กำลังเอามือกุมหน้าก็ปาดเลือดที่มุมปากออก ก้าวไปข้างหน้าและมองสำรวจฉู่เฉินด้วยความดูถูกพลางกล่าวว่า “ไอ้คนแซ่ฉู่ ตอนนี้รู้แล้วหรือยังล่ะ?”ขณะกล่าว ก็กวาดตามองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลหลินและกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนี้ จงส่งหยกโลหิตกิเลนมาซะ และทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้น ตาย!”ทันทีที่คำว่าตายหลุดออกมา คนในตระกูลหลินแทบจะก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกันแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่คนในตระกูลหลินกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คนแซ่ฉู่คนนี้ช่างมีดวงผู้หญิงของผู้หญิงจริงๆ“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินเหลือบมองหลินฮ่าวและคนอื่นๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย“เหอะๆ มีอะไรงั้นเหรอ?”หลินฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉู่เฉิน แกคงไม่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของแกแล้วสินะ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้ว มองสำรวจหลินฮ่าวและคนอื่นๆ พร้อมกับสงสัยว่า “ใกล้ถึงวาระสุดท้าย? ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนะครับ?”ขณะกล่าว ฉู่เฉินและหลิงเสวี่ยต่างก็มองไปที่สมาชิกตระกูลหลินด้วยความระแวดระวังแม้ว่าคนเหล่านี้จะอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นหกเท่านั้น แต่ฉู่เฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อหลินฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “คนแซ่ฉู่ แกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปทำไม เจ้าสำนักให้เวลาแกสามวันเพื่อไปรับโทษตายที่สำนักชิงอวิ๋น แกคิดว่าแกซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้แล้วจะไม่มีใครหาแกเจองั้นเหรอ?”“ฉันแนะนำให้แกส่งหยกโลหิตกิเลนมาจะดีที่สุด แล้วทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างไม่เหลือซาก
ในความเป็นจริงทั้งเมืองชิงหลง แทบจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักชิงอวิ๋นตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเช่นกันถ้าตระกูลหลินเป็นฝ่ายเริ่มเสนอการสังหารฉู่เฉินพื่อแย่งชิงสมบัติ จากนั้นนำหยกโลหิตกิเลนไปมอบให้กับธรรมมาจารย์สำนักชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตระกูลหลินของพวกเขาก็คงจะได้ความดีความชอบเป็นอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเต๋อฉวนเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลจ้าวและยังเป็นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอีกด้วยถ้าใจร้อนอยากได้ความดีความชอบโดยปกปิดตระกูลจ้าว ทันทีที่เป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าในอนาคตจะไม่ถูกจ้าวเต๋อฉวนกีดกันดังนั้น ข้อเสนอของหลินฮ่าวจึงได้รับการเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลินอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ตระกูลหลินก็เริ่มดำเนินการ โดยส่งยอดฝีมือจำนวนมากติดตามหลินฮ่าวไปดักรอฉู่เฉินนอกเมืองชิงหลงอีกด้านหนึ่ง ยังได้ส่งลูกหลานตระกูลหลินไปจำนวนไม่น้อยไปแจ้งตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่แค่ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่หกของตระกูลหลิน ก็มีมากถึงสิบกว่าคนแล้วเมื่อรวมกับตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูล ไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ