เมื่อถึงวัยของถานหลิง ยามเผชิญสถานการณ์อย่างนี้เธอไม่ได้กลัวอะไรแต่แรกอยู่แล้ว เธอกังวลก็แต่ว่าจะถูกจ้าวเจวียนเห็นเข้าอย่างเดียวอย่างไรเสียในฐานะภรรยาของจางปิน เธอมักปรากฏตัวในงานเลี้ยงต่างๆ และเป็นแขกรับเชิญประจำของข่าวช่วงเช้าและข่าวช่วงเย็นของเจียงจงคนเจียงจงที่รู้จักจางปินอาจมีไม่มาก แต่ถานหลิงกลับเป็นบุคคลสาธารณะอย่างแท้จริงถ้าเกิดจ้าวเจวียนจำเธอได้ งั้นเธอก็ต้องถูกอีกฝ่ายกำจุดอ่อน และข่มขู่ไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นน่ะสิ?แต่ยิ่งแตกตื่น ก็ยิ่งผิดพลาดได้ง่ายถานหลิงตั้งใจจะขยับไปที่มุมโต๊ะหนึ่งก้าว แต่พอโต๊ะแกว่ง เธอไม่ระวังเพียงพริบตา หัวก็ไปโขกเข้าที่มุมโต๊ะปึง!“โอ๊ย!”ถานหลิงหลุดร้องออกไปโดยสัญชาตญาณ ทำเอาจ้าวเจวียนที่อยู่ในภวังค์ลืมตัวสะดุ้งตกใจ ร่างกายสะดุดกึก หมายจะลุกขึ้นท่ามกลางความลนลานฉู่เฉินขมวดคิ้วมองถานหลิงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะแวบหนึ่ง ซ่อนน่ะซ่อนไม่มิดอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจดึงถานหลิงขึ้นมาจากใต้โต๊ะพอได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สามอยู่ในห้องนี้ด้วย จ้าวเจวียนแตกตื่นไปทันที!เธอทำกับฉู่เฉินในห้องสอบสวนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้คนแปลกหน้ามานั่งดูด
แต่เพิ่งจะกลับถึงห้องทำงานของตัวเองไม่ถึงห้านาที ข้างบนก็เริ่มมีเสียงความเคลื่อนไหวอีกแล้วกวนเหล่ยจิตใจสับสนลังเล“ประธานฉู่คงไม่ได้ชอบแต่สาวใหญ่หรอกนะ?”กวนเหล่ยแหงนหน้ามองเพดาน ห้องทำงานชั้นบนกำลังทำการแสดงครั้งใหญ่แห่งยุคอยู่ ราวกับสั่นกระดิ่งเตือนเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองกำลังสั่นคลอนในเวลานี้เอง สายจากแฟนหนุ่มขี้ประจบของกวนเหล่ยก็ดังขึ้นกวนเหล่ยตกใจจนเกือบทำมือถือหลุดจากมือ เธอรับสายด้วยความลนลาน มือเผลอกดไปโดนลำโพง เสียงอึกทึกครึกโครมจากชั้นบนจึงถูกดูดเข้าไปในโทรศัพท์ทั้งหมด“เหล่ยเหล่ย เสียงอะไรน่ะ?”กวนเหล่ยตกใจจนหน้าซีดหนึ่งวันก่อนหน้านั้น เธอเพิ่งบอกแฟนหนุ่มขี้ประจบของเธอว่าประธานของบริษัทนี้เป็นสาวสวย ให้เขาวางใจได้แต่ว่า…ภายใต้สถานการณ์คับขัน กวนเหล่ยพูดกับแฟนหนุ่มที่อยู่ปลายสายว่า “หา…เปล่า บริษัทของเรากำลังจัดกิจกรรมฝึกร้องเพลงอยู่ อีกไม่กี่วันต้องเข้าร่วมการแสดงของแวดวงการแพทย์ของเมืองเจียงจง ฉันกำลังยุ่งอยู่ วางก่อนนะ”กวนเหล่ยวางสายอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะกวาดตามองนาฬิกาบนผนัง เธอถึงขั้นอึ้งงันไปทันที“หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ทำไม…ทำไมถึกขนาดน
พรืด!จ้าวเจวียนที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะหันไปพูดกับถานหลิงว่า “มีอะไรน่าโมโหกันล่ะคะ เมื่อวานในห้องสอบสวน ฉันก็เป็นเหมือนกัน”“พวกเราก็อายุปูนนี้แล้ว จะแสร้งทำตัวใสซื่อไปทำไม มีผู้ชายรูปร่างกำยำสมส่วนอยู่ข้างตัวสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เมื่อกี้คุณก็ฟินมากไม่ใช่เหรอ?”ถานหลิงหมดคำจะพูด นี่มันคนละเรื่องกันแล้วไหม?ภายใต้ความจนใจ เธอทำได้เพียงยินยอมอย่างจำใจยังไงจางไห่หยางก็ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เพื่อลูกชาย ยังไงเธอก็ต้องทน“ได้ ฉันรับปากคุณทุกอย่าง แต่คุณต้องรีบไปช่วยลูกชายของฉันให้เร็วที่สุด ขาของเขาเริ่มติดเชื้อแล้ว แผลบวมจนน่ากลัว แม้แต่หมอเองก็หมดหนทาง”ถานหลิงใส่เสื้อผ้า พร้อมกับพูดอย่างกังวลกระโปรงตัวนั้นถูกฉู่เฉินกระชากจนขาด เห็นได้ชัดว่าใส่ไม่ได้แล้วโชคดีที่ท้ายรถเธอมีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนใส่หลายตัว ใส่กระโปรงที่ขาดเป็นรูตัวนี้ลงไปจนถึงข้างล่างคงไม่มีปัญหาอะไร“ตกลง!”ฉู่เฉินยิ้มตาหยีจ้าวเจวียนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ยอม รีบพลิกตัวขึ้นไปนั่งบนตัวฉู่เฉิน ก่อนจะเขย่าทรวงอกอันเอิบอิ่ม ทำปากจู๋แล้วพูด
เนื่องจากบาดแผลติดเชื้อ เวลานี้จางไห่หยางกำลังไข้ขึ้นสูง ใบหน้าบวมแดง บาดแผลที่ขาบวมจนเหมือนซาลาเปา ทำให้เฝือกที่เพิ่งใส่ปริออก! “ฮึ!” จางปินกัดฟันกรอดจ้องมองฉู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะคุณ ลูกชายของผมจะเป็นแบบนี้เหรอ! เดิมทีอีกห้าวัน เขาก็จะจัดงานแต่งแล้ว แต่เขาเป็นแบบนี้ คุณจะให้ตระกูลจางของเราเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” งานแต่ง?! ฉู่เฉินได้ยินสองคำนี้ ปลายคิ้วพลันกระตุกขึ้นมาสองที จางไห่หยางเห็นเซี่ยฉีฉีเป็นอะไร?ทางนี้จัดเตรียมงานแต่งกับคนอื่น ทางนั้นยังอยากครอบครองเซี่ยฉีฉีไว้ไม่ยอมปล่อย?ไอ้สารเลวนี่! “ลูกชายของคุณโดนซ้อมเพราะอะไร คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ ทำไม คนตระกูลจางของพวกคุณเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นตามใจชอบได้เหรอ?”“โชคดีที่เซี่ยฉีฉีเป็นคนใสซื่อ ไม่ได้โดนลูกชายของคุณทำให้แปดเปื้อน ไม่อย่างนั้นจะมีคดีฆาตกรรมเพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า?”ฉู่เฉินจ้องมองจางปินอย่างเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ“แล้วจะทำ...”เพียะ!ถานหลิงรีบเดินเข้ามา ตบหน้าตัดบทจางปินไปหนึ่งฉาด ก่อนจะมองจางปินอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เก็บการกระทำของคุณได้แล้ว ตอนนี้ช่วยลูกสำคัญที่สุดนะ!” “ขอ
ขณะที่ความคิดแล่นวาบ ถานหลิงแสร้งทำเป็นใจเย็นกลอกตาใส่จางปินแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เมื่อคืนคุณไม่อยู่บ้านฉันอยากอีกแล้วก็เลยจัดการเอง มีอะไรน่าตกใจ!” “หลีกไปนะ! ฉันจะดูว่าลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้างแล้ว!”ถานหลิงผลักจางปินแล้วรีบเดินไปที่หน้าเตียงผู้ป่วย หัวใจของเธอเต้นระรัวจนมาถึงคอแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าข้ออ้างนี้จะหลอกจางปินได้หรือเปล่า จางปินได้ยินคำกล่าวก็ไม่ได้คิดมาก ถึงอย่างไรถานหลิงก็อยู่ในวัยสามสิบสี่สิบ อารมณ์คึกคักมีความต้องการที่ไม่ธรรมดา ใช้ของเล่นไฟฟ้าเป็นบางครั้งบางคราวก็เข้าใจได้ จางปินที่ไม่สมหวังก็อารมณ์เสียมาก เขานั่งลงบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง สองตาจ้องเขม็งไปที่สะโพกงอนของถานหลิง เหมือนกับมีไฟกำลังลุกโชนอยู่ในใจ .....ฉู่เฉินเพิ่งออกจากโรงพยาบาลก็ได้รับสายจากหลินซือหย่า “คุณฉู่ ตอนนี้คุณว่างไหมคะ?” เสียงของหลินชือหย่าดูขัดเขินนิดหน่อย เมื่อคิดถึงฉากที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลเจียงเมื่อคืน ตอนนี้ดวงหน้าของเธอยังคงร้อนผ่าวเล็กน้อยแม้เธอจะเข้าใจดีว่าฉู่เฉินทำแบบนั้นต่อหน้าเจียงรั่วเหยียนก็เพื่อรักษาโรคทางใจของเธอ แต่มันทำให้หลินชือหย่ารู้สึกกระดากใจมากอยู
“อุบัติเหตุดีนี่!” หลินชือหย่ากัดฟันแน่น จ้องมองหลินฟางเจิ้งอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “อาจะอธิบายเรื่องหนอนกู่กลืนวิญญาณยังไง!”ซี้ด!หลินฟางเจิ้งอดตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ทั่วตัว นัยน์ตาสองข้างมองไปทางหลินชือหย่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อถูกเธอจับได้แล้วเหรอ?เป็นไปไม่ได้!หลินฟางเจิ้งปฏิเสธความคิดนี้อย่างรวดเร็ว นอกจากเหมียวเจียงแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องการมีอยู่ของหนอนกู่กลืนวิญญาณเลยหลินชือหย่าไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปเหมียวเจียงเลย เธอจะรู้ว่ามีหนอนกู่กลืนวิญญาณได้อย่างไร? ไม่ถูกสิ!ต้องมีคนบอกเธอแน่ ๆ! พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่หลินฟางเจิ้งมองไปทางหลินชือหย่าแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง! ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้หลินชือหย่ายังมีประโยชน์ หลินฟางเจิ้งคงลงมือกำจัดภัยแอบแฝงนี้ไปนานแล้ว!หลินฟางเจิ้งฝืนข่มกลั้นความคิดพยายามฆ่าคนปิดปากไว้ในใจ ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดว่า “เสียวหย่า หนอนกู่กลืนวิญญาณอะไร อย่าไปฟังคนนอกพูดส่งเดช นั่นเป็นของที่มีแค่ในหนังเท่านั้นแหละ” “ช่วงนี้อารองร้อนใจนิดหน่อย แต่หลานต้องเข้าใจความลำบากของอารองด้วย พ่อแม่ของหลานทิ้งปัญหาเละเทะใหญ่ขนาดนี้ให้อา อาจะเบิกตามองหลินซื
“สวัสดีครับ” เสียงของฉู่เฉินเย็นชา ทักทายหลินเจิ้งฟางอย่างไร้อารมณ์แล้วก็นั่งลงตรงมุมโซฟา“ชือหย่า แจ้งคนใช้ให้รีบยกอาหารมาเถอะ ได้เวลาแล้ว”หลินฟางเจิ้งรีบสั่งหลินชือหย่าเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด ไม่นานนัก โต๊ะอาหารก็จัดเสร็จเรียบร้อย คนรับใช้หลายคนเข็นรถเข็นอาหารที่ทำจากเงิน ก่อนจะวางจานอาหารต่าง ๆ ไว้บนโต๊ะกลม“คุณฉู่ คุณนั่งรอสักครู่ก่อนนะครับ ผมจะไปหยิบไวน์ดี ๆ จากในห้องเก็บไวน์ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาทานอาหารที่บ้าน ไม่ว่ายังไงก็ต้องดื่มสักแก้ว” หลินฟางเจิ้งกล่าวจบก็ไม่รอให้ฉู่เฉินตอบกลับ รีบเดินออกไปนอกประตูขณะที่เดินผ่านข้างกายหลินชือหย่า เขาจงใจถลึงตาใส่เธอทีหนึ่งแล้วค่อยเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หลินชือหย่ามองแผ่นหลังของหลินฟางเจิ้งที่เดินไปทางห้องเก็บไวน์ จากนั้นถึงค่อยรีบเดินมาใกล้ฉู่เฉินแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉู่เฉิน อีกเดี๋ยวถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องสนใจฉันเด็ดขาด เข้าใจไหม?” “ถ้าเกิดฉันเจอเรื่องไม่คาดคิดอะไร จำไว้ว่าล้างแค้นให้ฉันด้วยนะคะ!”หลินชือหย่าพูดพลางเบนหน้าเล็กหน้า มองไปทางหลินฟางเจิ้งฉู่เฉินขมวดคิ้ว เอานิ้วชี้ไปทางด้านบนแล้วยิ้มให้หลินชือหย่าด
เมื่อเห็นฉู่เฉินกับหลินชือหย่าดื่มไวน์แดงกันแล้ว หลินฟางเจิ้งถึงค่อยวางแก้วไวน์ลงด้วยความโล่งใจ เขาลุกขึ้นมาพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มร้าย“เชิญตามสบายครับ”ฉู่เฉินสังเกตหลินฟางเจิ้งอย่างเย็นชา เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบไอ้แก่สารเลวนี่ ขนาดหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเองก็ยังหลอกลวงได้หลินฟางเจิ้งพยักหน้าให้ฉู่เฉินแล้วหันไปพูดกับหลินชือหย่าว่า “เสียวหย่า ห้ามละเลยการต้อนรับคุณฉู่เด็ดขาด เดี๋ยวไม่นานอาก็กลับมาแล้ว”ขณะที่พูด มือของหลินฟางเจิ้งกดลงบนไหล่ละมุนของหลินชือหย่า แม้แต่ลมหายใจก็หนักหน่วงขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด จากมุมมองของเขาสามารถมองเห็นหน้าอกใหญ่สะบึ้มขาวเนียนของหลินชือหย่าได้พอดี เพลิงราคะแทบจะทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ หลังจากที่กำชับง่าย ๆ อีกหลายประโยค หลินฟางเจิ้งก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้อง เขากลับมานั่งในรถ เปิดภาพกล้องวงจรปิด สองตาจับจ้องไปที่ทั้งสองคนในห้องโถง“แม่งเอ๊ย ให้คนแซ่ฉู่ได้กำไรแล้ว ให้ฉันเอาของเหลือต่อจากนายหน่อยละกัน” หลังจากที่ควบคุมอารมณ์กระสับกระส่ายแล้ว หลินฟางเจิ้งค่อย ๆ สตาร์ทรถ สุดท้ายก็จอดรถในป่าละเมาะใกล้ ๆ.....และอีกทางด้านหนึ่ง หล
คนที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ มีเพียงเฉียวเทียนฉี่และโฮ่วเจี้ยนอิงสองคนเท่านั้นแม้แต่โจวอวี้หมิงก็ได้แต่นั่งดื่มเป็นเพื่อนที่โต๊ะด้านข้างเท่านั้นเมื่อนับรวมเฉินเยว่เอ๋อร์ที่เป็นรองขุนพลของซ่งหนิงซวง ทั้งโต๊ะก็มีแค่สี่คนเท่านั้นฉู่เฉินไม่เกรงใจเช่นกัน เขานั่งลงตรงข้ามซ่งหนิงซวงทันที ก่อนจะยิ้มให้ซ่งหนิงซวงแล้วพูดว่า “คิดว่าถึงยังไงวันนี้ขุนพลหญิงเรียกผมมา คงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อดื่มเหล้าแน่นอนหรอกใช่ไหม?”“ผมเป็นคนชอบพูดจาตรงไปตรงมา มีเรื่องอะไรก็ขอให้ขุนพลหญิงพูดให้ชัดเจน”ถึงแม้ว่าฉู่เฉินจะเอ่ยคำพูดนี้ด้วยความเกรงใจมาก แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ดูเอาอกเอาใจเลยแม้แต่น้อยซ่งหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ฉันก็ชอบพูดคุยกับคนฉลาดเหมือนกัน” ซ่งหนิงซวงพูดพลางล้วงใบสั่งยาแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก แล้วส่งให้เฉินเยว่เอ๋อร์เฉินเยว่เอ๋อร์รับใบสั่งยาก่อนจะลุกขึ้นมาเดินไปหาฉู่เฉิน จากนั้นก็กางใบสั่งยาออกแล้ววางไว้ตรงหน้าฉู่เฉิน“ฉันได้ยินว่าคุณฉู่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์ ฉันคิดว่าคุณฉู่จะต้องเข้าใจใบสั่งยานี้แน่นอนเลยใช่ไหม”ซ่งหนิงซวงพูดพลางดื่มน้ำชา ฉู่เฉินกวาดตามองใบส
เมื่อคำพูดนี้ออกมา โฮ่วเจี้ยนอิงกับเฉียวเทียนฉี่ รวมไปถึงทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนทอดสายตาไปยังฉู่เฉิน“น้องฉู่ การมองท่านขุนพลตรง ๆ มันเป็นการไม่เคารพอย่างมากเลยนะ รีบ...” ฉู่เฉินไม่รอให้ฟางอวี่เจิ้งกล่าวจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมป่วยเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ โค้งตัวไม่ได้ อีกอย่าง คุณให้พวกเขาโทรเชิญผมมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ผมอยากมาเองนะครับ” “คุณคงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อให้ผมกราบไหว้หรอกใช่ไหม? คุณไม่ใช่เจ้าพ่อหลักเมืองเสียหน่อย”เชี่ย!เมื่อฉู่เฉินเอ่ยคำพูดนี้ออกม ทุกคนในงานต่างตกตะลึงจนตาค้าง เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาแล้ว ส่วนหลิ่วชิงเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งหนิงซวงก็ตกใจกลัวจนดวงหน้าเล็กซีดเผือด กระทืบเท้าไม่หยุด ฉู่เฉินบุ่มบ่ามเกินไปแล้วมั้ง?กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้อย่างไร?ฟางอวี่เจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินยิ่งตกใจกลัวจนขาสองข้างอ่อนแรง กระตุกชายเสื้อของฉู่เฉินไม่หยุดซ่งหนิงซวงหรี่นัยน์ตาหงส์ลงเล็กน้อย จ้องมองฉู่เฉินอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยว่า “คุณก็คือฉู่เฉินสินะ?” “ถูกต้อง”ฉู่เฉินยืดหลังตรง ตอบ
ฉู่เฉินก้าวเข้ามาใกล้ฟางอวี่เจิ้ง จับมือกับฟางอวี่เจิ้ง หลังจากนั่งลงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานฟาง เรื่องยาบำรุงสวรรค์หลี่จิงจิงทางนั้นจัดการให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”ฟางอวี่เจิ้งยิ้มประจบ รินน้ำชาให้ฉู่เฉินไปพลาง พยักหน้าและกล่าวไปพลาง “เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนสิบปีนี้ ฉันก็อาจได้เลื่อนตำแหน่งไปที่ที่ว่าการมณฑลแล้ว”“เรื่องนี้ ต้องขอบคุณน้องฉู่ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อไป ถ้ามีอะไรที่ฉันฟางอวี่เจิ้งช่วยได้ น้องฉู่แค่เอ่ยปากมา”ทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง ฉู่เฉินมองไปรอบๆ ไปพลาง ก่อนจะกล่าวว่า “ประธานฟางครับ งานเลี้ยงคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย ขุนพลเทียนเฟิ่งคนนี้มีที่มายังไงกันแน่ครับ?”พอได้ยินคำนี้ ฟางอวี่เจิ้งรีบยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวว่า “ชู่... เบาเสียงหน่อย”“ขุนพลเทียนเฟิ่งไม่ธรรมดาเลย นับตั้งแต่เข้ากองทัพเมื่อห้าปีก่อน ก็สร้างผลงานทางการรบมานับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นหนึ่งในแปดยอดขุนพลดินแดนมังกร ฉันได้ยินมาว่าอีกสามเดือนให้หลัง เธอยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของสี่ยอดขุนพลพิทักษ์ชาติด้วย”“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอควรจะเป็นคนรุ่นใหม่เพียงค
ฉู่เฉินหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนก้นของหลี่จิงจิงอย่างแรงครั้ง จากนั้นเปิดหน้าต่างระบายอากาศออกและจะกระโดดลงไปทันทีซี้ด!หลี่จิงจิงเห็นฉู่เฉินกระโดดลงจากหน้าต่าง ทันใดนั้นก็ตกใจจนใบหน้าเล็กซีดเผือดนี่ชั้นหกเลยนะ!แต่ในวินาทีถัดมา เมื่อฉู่เฉินเดินไปที่ลานจอดรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่จิงจิงจึงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา“ปัง!”ขณะที่หลี่จิงจิงยังตกใจจนพูดไม่ออก ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเปิดอย่างแรงชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบสี่หรือสามสิบห้าปี ทันทีที่ผลักประตูเข้ามา คนทั้งคนก็ชะงักไปทั่วทั้งห้องทำงานอบอวลไปด้วยกลิ่นฮอร์โมน และหลี่จิงจิงสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเล็กตัวเดียว กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อมองออกไปด้านนอกภาพนี้ทำให้ชายวัยกลางคนพลันสัมผัสได้ถึงลางร้าย เหมือนกับถูกคนสวมเขาโดยเฉพาะในห้องทำงาน เครื่องออกกำลังกายที่แม้แต่เขายังไม่รู้จักชื่อ และเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนนั้น ยิ่งทำให้ความคิดในใจเขาชัดเจนขึ้น“จิงจิง! คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ชายวัยกลางคนโกรธจัด รีบก้าวไปที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะยื่นมือผลักเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก แล้วโผล่ตัวออกไปชะเง
......อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการหลี่จิงจิงย้ายเครื่องออกกำลังกายที่ตนจัดเตรียมไว้อย่างดีออกมา ขณะเดียวกันก็หยิบรองเท้าบาเลนเซียกาคู่ใหม่สองคู่จากลิ้นชักเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมฉู่เฉินยังไม่มาสักที?เธอร้อนใจมากจริงๆเวลาเป็นเงินเป็นทอง เวลาคือชีวิตสิ่งสำคัญก็คือบ่ายวันนี้สามีของเธอจะมารับเธอไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลอีกด้วยรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง หลี่จิงจิงรีบร้อนจนรอไม่ไหว สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาฉู่เฉินผ่านไปเกือบครึ่งนาที ฉู่เฉินถึงจะรับสาย แต่ในวินาทีถัดมา หลี่จิงจิงก็ได้ยินเสียงหอบหายใจคุ้นเคย และเสียงการปะทะที่รุนแรงคงไม่ใช่มั้ง?ร่างของหลี่จิงจิงแทบจะกลายเป็นหิน เพื่อการพบกันครั้งนี้ เธออุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวอย่างดีมาแล้วหลายวัน แต่กลับถูกลีน่าชิงตัดหน้าไปก่อน?“รอผมอยู่ในออฟฟิศ อีกเดี๋ยวก็ถึง”ฉู่เฉินพูดจบ โดยไม่รอให้หลี่จิงจิงเอ่ยปาก ก็ตัดสายโทรศัพท์ไปขณะที่หลี่จิงจิงรออย่างกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก และฉู่เฉินก็ผลักประตูก้าวเข้ามา“คุณก็กล้าเกินไปแล้ว ในห้องผู้ป่วยก็..
ฉึก!ขณะที่ลีน่ากำลังส่ายก้นอวบอิ่มและโพสท่าเย้ายวน ทันใดนั้นฉู่เฉินก็ดึงเข็มเงินออกมา แทงเข้าที่ภายในจุดฝังเข็มกลางยอดศีรษะของแรนด์แรนด์เพียงรู้สึกว่าเลือดลมทั้งหมดในร่างกาย ราวกับจะพุ่งไปที่ยอดศีรษะพร้อมๆ กันในทันที และสมองที่มึนงงก็เปลี่ยนเป็นตื่นตัวขึ้นไม่น้อยบางทีอาจเป็นเพราะเลือดลมสูบฉีด แรนด์เพียงรู้สึกว่าปากและลิ้นแห้งผาก ภายในปากราวกับว่ามีไฟลุกโชนอยู่“ลีน่า…”เดิมที แรนด์คิดจะขอให้ลีน่าช่วยเทน้ำให้เขาสักแก้ว แต่เมื่อหันศีรษะไป กลับเห็นก้นกลมกลึงและอวบอิ่มของลีน่า ทันใดนั้นก็สับสนไปหมด“โอ้ พระเจ้า คุณ...คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ในวินาทีถัดมา ดวงตาของแรนด์ก็แดงก่ำเขาเกือบจะพิการแล้ว ลีน่าหญิงโสมมนี่ ถึงกับถกชายกระโปรงขึ้นและส่ายก้นงั้นเหรอ?อ๊าย?!เมื่อได้ยินเสียงของแรนด์ ลีน่าก็ตกใจเหมือนกันไม่ใช่ว่าเพิ่งวางยาชาทั้งตัวมางั้นเหรอ?ทำไมถึงฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ล่ะ?ไม่มีเวลาคิดมาก ลีน่ารีบร้อนดึงชายกระโปรงลง หันกลับมาแล้วกล่าวกับแรนด์ว่า “เอ่อ... ฉัน... ฉันรู้สึกร้อนนิดหน่อย จึงคลายร้อนสักหน่อยน่ะ”เมื่อเห็นเข็มเงินแทงลงบนไปที่จุดไป่ฮุ่ยบนยอดศีรษะของแรนด์ ลีน่าจึงเหล
เมื่อถูกสองก้อนเนื้ออ่อนนุ่มถูไปไถมาบนแขน ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะตีสะโพกอวบของหลี่จิงจิงหนึ่งครั้ง“แหมๆ ชั่วร้ายจังเลย ไปดูคนไข้ก่อนเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปรอคุณอยู่ที่ออฟฟิศนะ”พูดถึงตอนนี้ หลี่จิงจิงจึงกัดริมฝีปากสีแดงโดยไม่รู้ตัวอย่างอดใจไม่ไหว ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย ยิ่งเต็มไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิ“ไปเถอะ ไปดูคนไข้กัน”ฉู่เฉินโอบรอบเอวของหลี่จิงจิง แล้วเดินไปยังตึกผู้ป่วยในเมื่อมาถึงหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษชั้นห้า พบว่าหน้าประตูรายล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลประชาชน“ทุกคนหลีกทางหน่อยค่ะ”ทันทีที่เสียงของหลี่จิงจิงดังขึ้น เหล่าแพทย์พยาบาลต่างพากันถอยออกไปด้านหนึ่งมีเพียงผู้เชี่ยวชาญอาวุโสสวมแว่นกรอบดำวัยประมาณห้าสิบกว่าปี เขาใช้คีมคีบส่วนนั้นที่เฉาใกล้ตายของแรนด์ ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “จากประสบการณ์ทางการแพทย์กว่าสามสิบปีของผม ทางที่ดีที่สุดคือการตัดออกครับ”“ไม่งั้น เนื้อเยื่อที่ตายแล้วอาจลุกลามไปทั่ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”แรนด์ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เมื่อได้ยินคำพูดนี้ถึงกับหมดอาลัยตายอยากแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกสับสน ตอนกินข้าวกับฉู่เฉินยังดีๆ อ
ฉู่เฉินฝืนใจกล่าวว่า “ก็ได้ ก็ถือว่าให้เกียรติผู้ว่าการเฉียวแล้วกัน”“เฮ้อ น้องฉู่ เกรงใจกันเกินไปแล้ว เรียกพี่ใหญ่สิ บอกนายกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่!”เฉียวเทียนฉี่วางสายด้วยความโล่งอกฉู่เฉินเพิ่งเดินกลับมาที่ห้องโถงหน้า โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหลี่จิงจิงโทรมา ฉู่เฉินก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ขุนพลเทียนเฟิ่งท่านนี้ นี่คือสืบลำดับวงศ์ตระกูลของตนมาจนหมดแล้วสินะ?แม้แต่ความสัมพันธ์ของหลี่จิงจิงล้วนงัดมาใช้แล้ว!“ผมตอบรับคำเชิญผู้ว่าการเฉียวแล้ว คืนนี้จะไปร่วมงานเลี้ยง”ฉู่เฉินรับสายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหลี่จิงจิงที่ปลายสายเงียบไปถึงสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “คุณฉู่ คุณพูดเรื่องอะไรคะ? ฉันไม่เข้าใจเลย?”ฉู่เฉินก็กล่าวด้วยความสับสน “คุณไม่ได้โทรมาเชิญผมไปเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอะไรนั่นเหรอ?”“ไม่ใช่นะคะ! ฉันตั้งใจโทรมาขอความช่วยเหลือจากคุณต่างหาก”หลี่จิงจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน“เกิดอะไรขึ้น? พูดเถอะครับ”ฉู่เฉินกล่าวไปพลาง ดื่มชาหนึ่งอึกไปพลาง“คุณฉู่ เราเพิ่งรับคนไข้เข้ามา อาการวิกฤตอย่างมาก ด้วยระดับการแพทย์ของโรงพยาบาลเรา เกรงว่า… เกรงว่าจะท
งานเลี้ยง?ฉู่เฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “คงไม่ใช่งานเลี้ยงของหอการค้ากิเลนอีกใช่ไหม? ถ้าใช่ล่ะก็ งั้นก็ช่างเถอะ”ในเมื่อทุกคนเปิดไพ่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาพูดจาเกรงใจกันให้มากความอีก ใช้พลังพูดแทนก็พอ“หอการค้ากิเลน? ไม่ใช่หรอก ฉู่เฉิน แกเข้าใจผิดแล้ว เป็น... งานเลี้ยงต้อนรับของขุนพลเทียนเฟิ่ง เมื่อถึงเวลา ผู้มีชื่อเสียงมากมายในเจียงจง แม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างจะมาร่วมงานเหมือนกัน”“ฉันคิดว่า… ถ้าสามารถผูกมิตรกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้ ก็น่าจะเป็นการข่มขวัญหอการค้ากิเลนได้ด้วย แกคิดว่าอย่างไร?”ฉู่เฉินหัวเราะเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า “ถ้าจะแกร่งก็ต้องแกร่งให้ได้ด้วยตัวเอง การผูกมิตรกับเธอจะให้อะไรฉันได้บ้าง? โทษทีนะ ฉันไม่สนใจ”พูดจบ ฉู่เฉินก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที......ขณะนั้น บนทางด่วนข้ามมณฑล หลิ่วชิงเหอมองโทรศัพท์ที่สายไม่ว่าง มองไปซ่งหนิงซวงด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง แล้วกล่าวว่า “ท่านขุนพลคะ ฉู่เฉินเขา...”ซ่งหนิงซวงแค่นเสียงเบาหนึงเสียง ฉู่เฉินคนนี้ช่างบ้าบิ่นไร้ขอบเขตจริงๆเมื่อกี้บทสนทนาระหว่างหลิ่วชิงเหอกับฉู่เฉิน เธอได้ยินอย่างชัดเจนทั้งหมดถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้คง