นอกเหนือจากนี้ การรักษาของฉู่เฉินยังทำให้เสียงของเจียงรั่วเหยียนที่ในตอนแรกฟังดูอ่อนแอไร้กำลัง ตอนนี้เริ่มฟังดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้วเอื๊อก!เธอถึงขั้นเริ่มรู้สึกอิจฉาเจียงรั่วเหยียนขึ้นมาแล้ว รักษาอาการป่วยสบายขนาดนี้เลยเหรอ?แต่ทำไมฉู่เฉินถึงไม่รักษาเธอด้วยวิธีเดียวกันล่ะ?เวลาค่อยๆ ร่วงเลยไป กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไอน้ำทั้งหมดจางหายไป ฤทธิ์ของยาก็จางลงเรื่อยๆ เช่นกันกระทั่งสุดท้าย รุ่นพี่ที่เจียงรั่วเหยียนเห็นอยู่ตรงหน้า ก็ค่อยๆ กลายเป็นฉู่เฉิน“อ๊ะ!”เจียงรั่วเหยียนตัวสั่นสะท้าน จากนั้นก็รู้สึกราวกับมีไอเย็นยะเยือกทะลักขึ้นมาที่ท้องน้อยมือของฉู่เฉินที่อยู่ในอ่างอาบน้ำหยิบผนึกน้ำแข็งสีขาวน้ำนมก้อนหนึ่งขึ้นมาเมื่อถึงตอนนี้ ฉู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนเจียงรั่วเหยียนตกใจรีบยกมือขึ้นมาปิดตา ไม่กล้ามองฉู่เฉินอีกแม้แต่แวบเดียว“เอาเสื้อผ้าของผมมา”ฉู่เฉินสั่งเสียงเบา หลินชือหย่ารีบกอบเสื้อผ้าของฉู่เฉินมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าอ่างอาบน้ำฉู่เฉินสวมใส่เสื้อผ้า พลางยื่นผนึกน้ำแข็งสีน้ำนมก้อนนั้นไปตรงหน้าเจียงรั่วเหยียน “เมื่อกี้ผมแค่รักษาให้คุณ คุณไม่ต้องคิดมาก”“ขอ
“นี่มัน…”เจียงไห่ตงประคองผนึกน้ำแข็งก้อนนั้นไว้ในมือ ก่อนจะหันไปมองฉู่เฉินอย่างไม่อยากเชื่อของสิ่งนี้ออกมาจากร่างกายของลูกสาวเขาจริงๆ เหรอ?“นี่คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตลูกสาวของคุณตกอยู่ในอันตรายหลายต่อหลายครั้ง ลองคิดดูแล้ว ไม่ว่าใครหากมีผนึกน้ำแข็งอย่างนี้ติดอยู่ในอก ก็คงไม่มีทางรอดแน่”ฮว่าจิ่วหยางอธิบายเสริมเจียงไห่ตงได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเลื่อมใสฉู่เฉินขึ้นมาทันทีในเวลานี้เอง เจียงรั่วเหยียนที่สวมเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวเดินเข้ามาในสวนดอกไม้หลังบ้าน ถึงตอนนี้เธอจะไม่ได้เกลียดผู้ชายเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่พอนึกถึงวิธีการรักษาเมื่อครู่ของฉู่เฉิน ก็ยังคงรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดีโดยเฉพาะยิ่งเธอถูกเอารัดเอาเปรียบต่อหน้าเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย“เสี่ยวเหยียน แกหายดีแล้วจริงเหรอ?”เจียงหยวนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง สองชั่วโมงก่อน เจียงรั่วเหยียนยังหายใจรวยรินอยู่เลย พริบตาเดียว เธอกลับปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างมีชีวิตชีวาอย่างนี้?ฉู่เฉินเป็นหมอเทวดาดังคาด!อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นโรคที่แม้แต่ฮว่าจิ่วหยางก็ยังไร้หนทางรักษา“เสี่ยวเหยียน ยังไม่รีบมาขอบคุณคุณฉู่ที่ช่วยชีวิตไว้อีก”เจียงไห่ตง
“ว่าไง? ฉู่เฉินโดนพิพากษาแล้วเหรอ?”หลิ่วหรูเยียนถามอย่างร้อนใจถ้าไม่ใช่เพราะโจวต๋าทำงานอยู่ที่กรมตำรวจสาขาซีเฉิง เธอคงไม่อยากสนใจคนที่ทั้งจนและขี้เหร่อย่างเขาหรอกโจวต๋าคนนี้ไล่จีบเธอมาสามปีแล้วแค่คำว่าจนยังไม่สามารถบรรยายเขาได้หมด!นอกจากโทรศัพท์ และคุยกันในไลน์ แม้แต่ดอกไม้ดอกเดียวก็ยังไม่เคยซื้อให้แม้กระทั่งชานมในฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่เคยซื้อให้เธอด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังเอาแต่พร่ำบอกว่ารักเธอแม่เอ็งเถอะ!หลิ่วหรูเยียนโตมาขนาดนี้ก็เพิ่งพบเจอคนหน้าไม่อายแบบนี้“หรูเยียน ไม่รู้ว่าไอ้ฉู่เฉินนั่นมันไปโชคดีมาจากไหน วันนี้ตอนผมเข้างาน ได้ยินว่าไอ้แซ่ฉู่นั่นถูกปล่อยตัวไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”ได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิ่วหรูเยียนแข็งทื่อไปทันที น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในพริบตา “ฉู่เฉินถูกปล่อยตัวไปแล้ว แล้วนายจะโทรหาฉันอีกทำไม บ้าหรือเปล่า!”พูดจบ เธอวางสายและบล็อกเบอร์ของโจวต๋าทันที!น่าโมโหจริงๆ เธอกำลังนอนหลับฝันดีอยู่แท้ๆ แถมในฝันก็กำลังทำเรื่องอย่างว่ากับราชามังกรอยู่ด้วย กำลังจะถึงฝั่งฝันอยู่แล้ว ดันถูกไอ้ยาจกนี่ทำพังหมดหลิ่วหรูเยียนที่โกรธจัดถ่มน้ำลา
วันนี้ฉู่เฉินตื่นเช้ามาก อาจเพราะเมื่อวานเหงื่อออกมาก ฉู่เฉินค้นพบว่าปราณแท้ในร่างกายเต็มเปี่ยมขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนหืม?นี่มันเกิดอะไรขึ้น?ย้อนนึกถึงเมื่อวาน เหมือนปัญหาจะอยู่ที่โจวน่าถ้าดูไม่ผิด โจวน่ามีลักษณะร่างกายแบบที่เสริมดวงให้สามีลักษณะร่างกายดังกล่าว ก็คือยิ่งผู้ชายมีอะไรด้วยก็จะยิ่งเป็นผลดี หากร่างกายอ่อนแอก็จะดีขึ้น หนำซ้ำยิ่งมีอะไรด้วยก็จะยิ่งแข็งแรงและมีพลังมากขึ้นเรื่องนี้เหนือความคาดหมายของฉู่เฉินไปมาก นึกไม่ถึงว่าเจียงจงจะเป็นแหล่งขอ’คนมีพรสวรรค์มากมาย ทุกที่ล้วนมีอัญมณีซ่อนอยู่ดูท่าต่อไปเขาคงต้องตั้งใจเฟ้นหาให้มากกว่านี้แล้ว ไม่งั้นคงเสียของแย่หลังจากกินมื้อเช้าง่ายๆ เสร็จ ฉู่เฉินก็ชี้แนะการฝึกยุทธ์ให้อินซู่ซู่เล็กน้อยด้วยความเร็วในการฝึกยุทธ์ในตอนนี้ของอินซู่ซู่ อย่างมากก็อีกหนึ่งเดือนน่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเมื่อเห็นว่าอินซู่ซู่เริ่มมีสมาธิขึ้นเรื่อยๆ ฉู่เฉินเผยรอยยิ้มพึงพอใจที่จริงหากว่ากันตามจริง อินซู่ซู่นับเป็นต้นกล้าชั้นดี น่าเสียดายที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ค่าของอัญมณีบนโลกมนุษย์ ถึงได้เสียต้นกล้าชั้นดีแบบนี้ไปฟรีๆ!ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ฉ
ประธานฉู่อายุน้อยขนาดนี้ ไม่มีความต้องการแม้แต่น้อยเลยเหรอ?ตามบทในละคร เขาควรจะกอดเธอจากข้างหลัง เพื่อเอารัดเอาเปรียบเธออย่างเต็มที่ไม่ใช่เหรอ?กวนเหล่ยขมวดคิ้ว จ้องแผ่นหลังผึ่งผายของฉู่เฉินอย่างสงสัย เธอใช้นิ้วดุนแว่นกรอบดำ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงค่อยหมุนตัวเดินเข้าไปในลิฟต์กระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง ฉู่เฉินถึงหันมายิ้มมุมปากน้อยๆพี่ไม่ได้แอ้มง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะน้องคนที่รอให้พี่แอ้มมีอีกเยอะ ไปต่อคิวรอเอาก็แล้วกัน!จากนั้นฉู่เฉินก็ผลักประตูเดินเข้าไปในห้องทำงานของประธานห้องทำงานทั้งใหญ่และสว่าง ตรงกลางมีโต๊ะยาวสามเมตรวางอยู่หนึ่งตัว ไม่ว่าจะด้านบนหรือล่าง ล้วนมีพื้นที่กว้างขวางมากพอ และเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แม้แต่ที่วางปากกาก็ถูกถอดออกไปด้วยบนโต๊ะทำงานมีแต่หน้าที่เป็นกระจกใสลื่น ไม่ว่าจะนอนหรือนั่งก็สบายหมดทุกท่าโซฟาที่อยู่ข้างๆ จะนั่งหรือเอนหลังก็ได้ทั้งนั้น เหมาะแก่การเรียนรู้ท่าใหม่ๆ พอดีอืม!ฉู่เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดูท่ากู้รั่วเสวี่ยใส่ใจไม่น้อยเลยจริงๆในเวลานี้เอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉู่เฉินยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ประจำโต๊ะ “ว่าไงครับ?”ปลายสาย
“ปาก!”ฉู่เฉินโพล่งออกไปคำเดียว สายตาวนเวียนอยู่รอบๆ กลีบปากบางสีชมพูของถานหลิงต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้ดูแลตัวเองดีมาก เดาว่าปากเล็กๆ นั่นของเธอคงยังไม่เคยถูกจางปินใช้งานสินะโดยเฉพาะฟันสีขาวที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบนั่น กับลิ้นเรียวเล็กของเธอ แค่เห็นแวบเดียวก็อยากลิ้มลองสักครั้งแล้ว“อะไรนะ?!”ถานหลิงนึกว่าตัวเองหูฝาดปาก?หมายความว่ายังไง เธอตกอยู่ในภวังค์มึนงงทันที“คุณถาน ทุกคนต่างก็เคยผ่านโลกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องมาแสร้งทำตัวไร้เดียงสาต่อหน้าผมแล้วมั้ง?”ฉู่เฉินเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว และชี้ลงไปใต้โต๊ะถานหลิงเข้าใจในพริบตา!“นี่เธอ…เธอจะทำเกินไปแล้วนะ!”ดวงหน้าเรียวเล็กของถานหลิงเย็นชา เธอตบโต๊ะเสียงดัง ลุกขึ้นยืนอย่างโกรธเกรี้ยวแต่เธอเพิ่งจะหมุนตัวหันหลัง ไม่นานก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ ดวงหน้าเรียวยาวปรากฏแววอับอายปนโกรธขึ้ง ทั้งยังมีรอยแดงระเรื่อผุดขึ้นมาด้วย“คุณฉู่ ฉันจริงใจนะคะ”เธอจริงใจจริงๆ ถึงขั้นที่ก่อนจะมาหาฉู่เฉิน เธอได้คาดเดาถึงทุกเงื่อนไขที่ฉู่เฉินอาจเรียกร้องแต่กลับไม่คาดคิดว่าฉู่เฉินกลับต้องการปากของเธอ
เมื่อถึงวัยของถานหลิง ยามเผชิญสถานการณ์อย่างนี้เธอไม่ได้กลัวอะไรแต่แรกอยู่แล้ว เธอกังวลก็แต่ว่าจะถูกจ้าวเจวียนเห็นเข้าอย่างเดียวอย่างไรเสียในฐานะภรรยาของจางปิน เธอมักปรากฏตัวในงานเลี้ยงต่างๆ และเป็นแขกรับเชิญประจำของข่าวช่วงเช้าและข่าวช่วงเย็นของเจียงจงคนเจียงจงที่รู้จักจางปินอาจมีไม่มาก แต่ถานหลิงกลับเป็นบุคคลสาธารณะอย่างแท้จริงถ้าเกิดจ้าวเจวียนจำเธอได้ งั้นเธอก็ต้องถูกอีกฝ่ายกำจุดอ่อน และข่มขู่ไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นน่ะสิ?แต่ยิ่งแตกตื่น ก็ยิ่งผิดพลาดได้ง่ายถานหลิงตั้งใจจะขยับไปที่มุมโต๊ะหนึ่งก้าว แต่พอโต๊ะแกว่ง เธอไม่ระวังเพียงพริบตา หัวก็ไปโขกเข้าที่มุมโต๊ะปึง!“โอ๊ย!”ถานหลิงหลุดร้องออกไปโดยสัญชาตญาณ ทำเอาจ้าวเจวียนที่อยู่ในภวังค์ลืมตัวสะดุ้งตกใจ ร่างกายสะดุดกึก หมายจะลุกขึ้นท่ามกลางความลนลานฉู่เฉินขมวดคิ้วมองถานหลิงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะแวบหนึ่ง ซ่อนน่ะซ่อนไม่มิดอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจดึงถานหลิงขึ้นมาจากใต้โต๊ะพอได้ยินว่ามีเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สามอยู่ในห้องนี้ด้วย จ้าวเจวียนแตกตื่นไปทันที!เธอทำกับฉู่เฉินในห้องสอบสวนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้คนแปลกหน้ามานั่งดูด
แต่เพิ่งจะกลับถึงห้องทำงานของตัวเองไม่ถึงห้านาที ข้างบนก็เริ่มมีเสียงความเคลื่อนไหวอีกแล้วกวนเหล่ยจิตใจสับสนลังเล“ประธานฉู่คงไม่ได้ชอบแต่สาวใหญ่หรอกนะ?”กวนเหล่ยแหงนหน้ามองเพดาน ห้องทำงานชั้นบนกำลังทำการแสดงครั้งใหญ่แห่งยุคอยู่ ราวกับสั่นกระดิ่งเตือนเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองกำลังสั่นคลอนในเวลานี้เอง สายจากแฟนหนุ่มขี้ประจบของกวนเหล่ยก็ดังขึ้นกวนเหล่ยตกใจจนเกือบทำมือถือหลุดจากมือ เธอรับสายด้วยความลนลาน มือเผลอกดไปโดนลำโพง เสียงอึกทึกครึกโครมจากชั้นบนจึงถูกดูดเข้าไปในโทรศัพท์ทั้งหมด“เหล่ยเหล่ย เสียงอะไรน่ะ?”กวนเหล่ยตกใจจนหน้าซีดหนึ่งวันก่อนหน้านั้น เธอเพิ่งบอกแฟนหนุ่มขี้ประจบของเธอว่าประธานของบริษัทนี้เป็นสาวสวย ให้เขาวางใจได้แต่ว่า…ภายใต้สถานการณ์คับขัน กวนเหล่ยพูดกับแฟนหนุ่มที่อยู่ปลายสายว่า “หา…เปล่า บริษัทของเรากำลังจัดกิจกรรมฝึกร้องเพลงอยู่ อีกไม่กี่วันต้องเข้าร่วมการแสดงของแวดวงการแพทย์ของเมืองเจียงจง ฉันกำลังยุ่งอยู่ วางก่อนนะ”กวนเหล่ยวางสายอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะกวาดตามองนาฬิกาบนผนัง เธอถึงขั้นอึ้งงันไปทันที“หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ทำไม…ทำไมถึกขนาดน
ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวคือถังเทียนอวี่ ยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งตระกูลถังในอวิ๋นเฉิง“นั่นคือยอดอัจฉริยะถังเทียนอวี่แห่งตระกูลถังใช่ไหม? เขาเองก็มาที่นี่เหรอ?”“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อห้าปีก่อน ผู้ชายคนนั้นได้เข้าร่วมสำนักบำเพ็ญพรตชื่อดังทางตะวันตกเฉียงใต้ และยังได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ของสำนักอีกด้วย”ขณะที่ผู้คนรอบข้างกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด เกาเซิ่งอี้ก็เดินออกมาต้อนรับด้วยตนเองพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปหาอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร“ฮ่า ๆ ๆต้องขอบคุณคุณชายถังที่ให้เกียรติมาร่วมงาน”“สมกับเป็นยอดอัจฉริยะของตระกูลถังแห่งอวิ๋นเฉิงจริง ๆ ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่สี่ แค่รัศมีที่แผ่กระจายออกมาก็กดดันพวกเราได้แล้ว”ถังเทียนอวี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจับมือกับเกาเซิ่งอี้ แล้วตอบกลับ“ลุงเกาชมเกินไปแล้ว”ในขณะนั้นเอง รถหรูอีกคันก็แล่นมาจอดอย่างช้า ๆ จากนั้น ผู้อาวุโสในชุดขาวเรียบง่ายก็ก้าวลงจากรถพวกเขาเห็นว่าบนมือทั้งสองของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยร่องรอยจากการฝึกฝน และทั่วทั้งร่างแผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้า“ซี้ด ๆ! นั่น…นั่นมันจางจิ่งหลง ผู้นำตระกูลจาง
อีกด้านหนึ่ง ในห้องทำงานของประธานฉู่ซื่อกรุ๊ปหลิ่วหรูเยียนกำลังตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง ราวกับผึ้งงานที่กำลังเก็บน้ำหวานแต่ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลิ่วหรูเยียนตกใจสะดุ้งจนตัวโยน เธอรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยฉู่เฉินติดกระดุมกางเกง และกลับไปนั่งลงบนโซฟา พลางยกมือฟาดเบา ๆ ลงบนสะโพกกลมกลึงของหลิ่วหรูเยียน “พักนี้ เธอพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ”“อ๊ะ…”หลิ่วหรูเยียนหน้าแดงขึ้นมาทันทีหลังจากถูกฉู่เฉินตี เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน“เข้ามา”ทันทีที่เสียงของหลิ่วหรูเยียนดังขึ้น ต้าหลิงจื่อก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถือการ์ดเชิญสีทองใบหนึ่ง“ประธานหลิ่ว นี่เป็นคำเชิญที่หอการค้าตะวันออกใหญ่ให้คนนำมาให้ค่ะ คนที่นำมาให้ยังเน้นย้ำเป็นพิเศษอีกว่า อยากให้คุณฉู่มาเข้าร่วมงานด้วย”ขณะที่พูด ต้าหลิงจื่อก็ยื่นการ์ดเชิญไปให้ตรงหน้าหลิ่วหรูเยียนการ์ดเชิญจากหอการค้าตะวันออกใหญ่?หลิ่วหรูเยียนอดไม่ได้ที่จะรับการ์ดเชิญมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะกวาดตามอง ข้อความในการ์ดเชิญเรียบง่ายมาก เป็นการเชิญสองแม่ลูกตระกูลหลิ่
หากกองทัพเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้จริงๆ คงจะเป็นปัญหาใหญ่แน่“ออกไปเถอะ”ฉีอวี่ไท่โบกมือกับฟางเหว่ย ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังเฉียนหลงวิลล่าอย่างไม่รอช้าขณะเดียวกัน ในห้องใต้ดินของเฉียนหลงวิลล่า เกาเซิ่งอี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยก รอบตัวเขาถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจาง ๆ ชั้นหนึ่งที่เหมือนจะเห็นแต่ก็ไม่เห็นพลังปราณอันแข็งแกร่งระดับสร้างรากฐานขั้นที่สามแผ่ซ่านออกจากร่างเกาเซิ่งอี้ภายนอก เขาเป็นเพียงแค่นักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้ว เกาเซิ่งอี้ก็มาจากตระกูลเกาซึ่งเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญพรตอันดับหนึ่งแห่งหลิ่งหนานเช่นกันห้าปีก่อน เขาก็บรรลุพลังที่น่าสะพรึงระดับสร้างรากฐานขั้นที่สามแล้ว นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วที่เขาพยายามทะลวงระดับสร้างรากฐานขั้นที่สี่ แต่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสนั่น ทำให้เกาเซิ่งอี้เกือบธาตุไฟเข้าแทรกโครม!เกาเซิ่งอี้ลืมดวงตาแดงก่ำขึ้นพึ่บ ควันฝุ่นฟุ้งอยู่โดยรอบ“ใคร! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าใครก็อย่ารบกวนเวลาฉันฝึกตน?!”เมื่อได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของเกาเซิ่งอี้ ฉีอวี่ไท่ที่อยู่ด้านนอกประตูก็ถึงก
“คุณคงไม่ได้บ้าหรอกใช่ไหม?”ฉู่เฉินกลอกตามองเซียวเสวี่ยอิ๋ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยอารมณ์โมโห“ฉู่เฉิน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ คุณใช้ประโยชน์จากกองทหารรักษาการณ์อยู่ชัดๆ”ดวงตาคู่สวยเจือน้ำค้างแข็งของเซียวเสวี่ยอิ๋งจ้องฉู่เฉินอย่างเย็นชาเธอเห็นภาพเมื่อครู่นี้ชัดเจน ฉู่เฉินบอกให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดโฮ่วส่งคนมาที่ฉู่ซื่อกรุ๊ปเพื่อเซ็นสัญญา เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วเขาจะยืมมือของกองทหารรักษาการณ์จัดการกำจัดฉีเฮ่อเซวียนและคนอื่น ๆเขากล้าวางแผนถึงกองทหารรักษาการณ์ ฉู่เฉินใจกล้าเกินไปแล้วมั้ง“โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย พวกเราร่วมมือกันต่างหาก แล้วคุณรู้ไหมว่าการร่วมมือกันคืออะไร? มันคือการที่ทุกฝ่ายเอาผลประโยชน์ของตัวเอง มีปัญหาอะไรเหรอ?”ฉู่เฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “คุณ…?”ใบหน้าเล็กของเซียวเสวี่ยอิ๋งโกรธจนขาวซีด เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแม้แต่คำเดียว“คุณอะไรล่ะ? สัญญาก็อยู่บนโต๊ะ ถ้าคุณไม่เซ็น ก็ไปได้แล้ว”ฉู่เฉินไม่อยากเสียเวลาเถียงกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่สภาพร่างกายที่พิเศษของเธอ ฉู่เฉินคงไล่เธอออกไปตั้งนานแล้วเซียวเสวี่ยอิ๋งโกรธฉู่เฉินจน
ฉู่เฉินจะไปมีคอนเนคชั่นคนใหญ่คนโตขนาดนี้ได้ยังไง?“ผู้นำหลู สำนักงานพาณิชย์ของพวกเราก็ปฏิบัติตามกฎเช่นกันนะ อีกทั้งคุณชายฉีก็ถือครองหุ้นฉู่ซื่อกรุ๊ปถึงหกส่วน ดังนั้นพวกเราจึง…”ในช่วงระหว่างที่หลิวจื้อซินพยายามพูดพลิกลิ้น เซียวเสวี่ยอิ๋งก็เอามือไพล่หลังก้าวเข้ามาตูม!ลำพังเพียงกลิ่นอายเฉพาะตัวของทหารก็ทำให้หลิวจื้อซินตกใจจนกลืนคำพูดหลังจากนั้นจนหมดสิ้น“ตอนนี้ฉันมีเหตุผลที่จะสงสัยในตัวพวกคุณว่ากำลังร่วมมือบ่อนทำลายความร่วมมือระหว่างกองทัพกับฉู่ซื่อกรุ๊ป และคุกคามความมั่นคงของชาติ”กล่าวเสร็จเซียวเสวี่ยอิ๋งเอาเอกสารตบโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเมื่อเห็นคำว่าลับที่สุดบนซองเอกสารที่มีตราประทับสีแดงของผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทหารรักษาการณ์เมืองเจียงจงแล้ว ไม่เพียงแค่ฉีเฮ่อเซวียนคนเดียวที่ตะลึงสุดขีด แม้แต่หลิวจื้อซินก็อ่อนแรงฟุบลงไปกองที่พื้นเขาถูกใส่ความถ้ารู้ว่าฉู่ซื่อกรุ๊ปยังมีความสัมพันธ์ในการร่วมงานกับทางกองทัพ ให้ความกล้าเขามาใช้มากแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าทำถึงขนาดนี้หรอก“ท่าน...ท่านผู้นำ พวกเรา…พวกเราถูกใส่”ฟางเหว่ยและผู้ถือหุ้นทั้งหมดต่างตกใจจนคุกเข่าวิงวอนบนพื้นการข
บรรดาผู้ถือหุ้นที่เมื่อกี้ยังดูเหตุการณ์อยู่ก็คาดเดาล่วงหน้าได้ว่าหลิ่วหรูเยียนและฉู่เฉินจะถึงทางตันแน่ในเวลานี้แต่ละคนต่างออกหน้ามาทีละคนโดยมีฟางเหว่ยเป็นผู้นำหลัก“ท่านผู้นำหญิง ก็คือไอ้คนแซ่ฉู่ไม่เพียงทำร้ายต้วนเคอจนสลบ แถมยังทำร้ายผู้อำนวยการหลิวจนบาดเจ็บสาหัส ไอ้เด็กเวรนี่สมควรจะถูกยิงตายคาที่”“ใช่แล้ว ผมก็เห็นเหมือนกัน ต้วนเคอเขาก็แค่ให้นังเลวหลิ่วหรูเยียนเซ็นชื่อ ใครจะไปรู้ว่า ฉู่เฉินไม่พูดอะไรก็ลงมือทำร้ายคนทันที”“ใช่ครับ ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาบ้างเลย คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้นะครับ”ผู้ถือหุ้นที่ก่อนหน้าที่ยังอยู่ฝั่งฉู่เฉินต่างทยอยกล่าวโทษฉู่เฉินขึ้นมาในเวลานี้หลิ่วหรูเยียนรู้สึกสิ้นหวังทันทีเมื่อได้ยินเสียงกล่าวโทษของผู้คนรอบข้างถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าตระกูลฉีเรียกคนจากฝ่ายทหารมา เธอจะต่อต้านไปทำไม?“ฉู่เฉิน นายไม่รู้หรือว่านายทำลายพวกเราสองแม่ลูก!”ในขณะพูดหลิ่วหรูเยียนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาราวกับไข่มุกที่ขาดออกจากสร้อยเสียแรงที่เธอเชื่อใจฉู่เฉินขนาดนั้น แต่ผลลัพธ์เป็นไงล่ะ?ก็เพราะฉู่เฉินก่อเรื่องจนยุ่งเหยิงวุ่นวายครั้งนี้ไม่ใช่แค่มอบบริษัทไปแล้วจะจบง
“ในฐานะที่นายเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพาณิชย์ พูดคำว่านังสารเลวสินะ มา วันนี้ถ้านายไม่อธิบายกับฉันอย่างชัดเจน ว่าอะไรถึงเรียกว่านังสารเลว เชื่อไหมว่าฉันจะฆ่านายให้ตาย”สิ้นเสียงฉู่เฉินก็ชกเข้าที่ท้องน้อยของหลิวจื้อซินผลัวะ!พลังแกร่งขุมหนึ่งทะลุร่างอวบอ้วนของหลิวจื้อซินจนกระแทกเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังเขาลำพังแค่พลังแกร่งขุมเดียวก็ทำให้เก้าอี้ตัวนั้นกลายเป็นขี้เลื่อยปลิวว่อนกลางอากาศเลยทีเดียว“ต่อต้านแล้ว…ต่อต้านแล้ว เร็ว…รีบโทรแจ้งความกรมตำรวจ!”หลิวจื้อซินในเวลานี้ ทั้งปาก จมูก หูมีแต่เลือดไหลราวกับเหงื่อไหลไคลย้อยตอนนี้เขาไม่สนหน้าตาอะไรแล้ว จิตใจคิดแต่จะรอให้คนของกรมตำรวจรีบมาถึงแล้วจัดการฉู่เฉินให้ตายซะ……เวลานี้เอง รถตำรวจสิบกว่าคันและรถทหารสองคันได้มาจอดที่หน้าอาคารฉู่ซื่อกรุ๊ปแทบจะในเวลาเดียวกันหลูติ้งไห่และเซียวเสวี่ยอิ๋งที่ผลักประตูรถลงมามองสบตากันแล้วก็ตะลึงทันที“ผู้นำหลู?”“ผู้นำเซียว?”ทั้งสองจับมือกันโดยมีสีหน้าประหลาดใจ เซียวเสวี่ยอิ๋งมองตำรวจกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหลูติ้งไห่แล้วก็ขมวดคิ้วกล่าว “ผู้นำหลู นี่คุณ…”เธอได้รับคำสั่งจากโฮ่วเจี้ยนอิง
ฉีเฮ่อเซวียนชำเลืองมองฉู่เฉิน แล้วเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่าอย่างกะทันหันแล้วกล่าว “ไอ้หนุ่ม นายดีใจเร็วเกินไปไหม? นายคิดว่าทำร้ายต้วนเคอแล้วนายจะไม่เป็นอะไรหรือ?”กล่าวเสร็จฉีเฮ่อเซวียนก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ จากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนตบบ่าฉู่เฉินและกล่าว “ไอ้หนุ่ม เรื่องสนุกมันต่อจากนี้”ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเท้าวุ่นวายดังขึ้นจากในทางเดินฉีเฮ่อเซวียนฉีกยิ้มกล่าว “นายลองเดาดูว่าใครมา?”ฉู่เฉินเลิกคิ้วแล้วยิ้มกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ไม่ว่าเป็นใคร อย่าคิดจะได้ฉู่ซื่อกรุ๊ปไป”“ใช่เหรอ?”ฉู่เฉินกล่าวจบก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นวินาทีต่อมา ประตูห้องประชุมก็เปิดออกโดยชายวัยกลางคนสวมเสื้อลำลองเดินพุงพลุ้ยเข้ามาด้วยท่าทางที่หยิ่งผยองด้านหลังเขามีชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบประมาณหกคนเดินตามมาด้วยเมื่อเห็นชายวัยกลางคนแล้ว หลิ่วหรูเยียนถึงกับตกใจหน้าซีดในทันที ชายวัยกลางคนคนนั้นก็คือหลิวจื้อซินซึ่งเป็นผู้อำนวยการกรมพาณิชย์ของเมืองเจียงจงเหตุการณ์เริ่มร้ายแรงแล้วสิแบบนี้“ฉู่เฉิน แย่แล้ว เป็นเรื่องแล้วรอบนี้”หลิ่วหรูเยียนจับแขนของฉู่เฉินไว้และกระซิบกล่าวหน้าซีดฉู่เฉินยิ้มให้หลิ่วหรูเยียน
“ฉัน…”หลิ่วหรูเยียนหน้าซีด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสินะเธอกำปากกาเซ็นเอกสารในมือแน่น พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนไปทางฉู่เฉินฉู่เฉินควานหาบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วพ่นควันออกมาเป็นวงกลม ควันนั้นจึงลอยไปปะทะหน้าฟางเหว่ย จนฟางเหว่ยไอแค่กๆ“เมื่อกี้นายพูดไม่ใช่หรือไงว่าห้ามสูบบุหรี่ในห้องประชุมน่ะ!” ฟางเหว่ยกล่าวด้วยความไม่พอใจ“ฉันนี่แหละคนกำหนดกฎ นายมาพูดเรื่องกฎกับฉันเหรอะ? นายมีคุณสมบัตินั้นไหม?”ฉู่เฉินเหลือบมองฟางเหว่ยอย่างดูแคลน จากนั้นก้าวไปที่หน้าโต๊ะแล้วหยิบกองเอกสารหนาปึกขึ้นมาโปรยราวกับดอกไม้จนกระจายไปทั่ว“นายทำอะไรน่ะ! เก็บเอกสารขึ้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”ต้วนเคอเห็นฉู่เฉินโปรยหนังสือสัญญาโอนหุ้นที่เขาเอาออกมาลงพื้นแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างซึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจฉู่เฉินยิ้มเยาะแล้วก้าวไปหาและพูดอย่างเฉยเมยกับต้วนเคอ “เรื่องไหนยังไงก็ต้องมีเหตุผลกันบ้างสิ ต่อให้ผู้ถือหุ้นโอนหุ้นให้คนแซ่ฉีแล้ว พวกเราก็มีสิทธิ์ไม่มอบบริษัทให้เหมือนกัน”“อย่างมากก็แค่ชดใช้เงินให้ก็เท่านั้น ในฐานะที่นายเป็นหัวหน้ากรมพาณิชย์ ไม่เข้าใจหลักเหตุผลข้อนี้หรือไง?”ต้วนเคอหัวเรา