ถามตัวเองก็ไร้ซึ่งคำตอบ เธอสลัดความคิดนั้นออกจากศีรษะแรงๆ และเอ่ยปากสนทนาขึ้นอีกครั้ง
"พี่วีร์ว่างเหรอ"
"เคยว่างที่ไหน"
น้ำเสียงเย็นชาทั้งเคร่งขรึมเอ่ยตอบ ขณะที่หญิงสาวไม่รู้ต้องใช้บทสนทนาไหนมาเป็นประโยคถัดไป บรรยากาศในรถที่เงียบกริบ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามา มีเพียงเสียงหัวใจของหญิงสาวมันเต้นตุบๆ แทบจะหลุดออก เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย
"ไม่ว่าง -- ทำไมไปส่งเอมได้"
"ทางผ่าน"
เกือบเข้าใจผิดว่าเขาคงหวังดีเสียแล้ว ที่แท้ก็แค่ทางผ่านของก็แค่นั้น จากที่แอบดีใจน้อยๆ ก็ฝ่อลง นั่งนิ่งและเงียบปากมองไปยังด้านนอกตัวรถ บรรยากาศที่อยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีก ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน ในขณะที่ชายหนุ่มก็เหล่มองเรือนร่างของคนด้านข้างด้วยสายตาขรึมเข้ม ทำเฌอเอมประหม่าอย่างหนัก ไม่ชินกับการอยู่สองต่อสองโดยปราศจากเรื่องแบบนั้น ครั้นทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง คือตอนปวีร์มีอารมณ์
“กลัวเหรอ"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นพลันทำให้หัวใจอีกฝ่ายเต้นตึกตัก ใช่เธอกลัว กลัวจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญเสียมากกว่า ได้แต่นั่งเม้มปากพลางขยับศีรษะส่ายไปมาแทนคำตอบว่าไม่ หอบหนังสือเข้าอ้อมกอดแน่นเหมือนหาที่ยึดเหนี่ยว ชายหนุ่มมองคนเด็กกว่าด้วยหางตาก่อนจะเบะปากกับท่าทีที่ดูกลัวเขามากเกินไป มันขัดกับตอนอยู่ใต้ร่างบนเตียงนอนอ้าขาสู้ตายไม่เหมือนตอนนี้
“พ่อฉันกับแม่ของเธอยังไม่กลับ”
“ทำไมยังไม่กลับ”
จากที่เอาแต่มองด้านนอก หันขวับคอแทบเคล็ดในทันที ลุงปุริมกับแม่ของตัวเองเดินทางไปต่างประเทศ จุดประสงค์หลักคือดูงานของนักธุรกิจชื่อดังระดับประเทศ จุดประสงค์รองคือการพักผ่อนหรือที่เรียกว่าฮันนีมูน
“ตกเครื่อง ได้ตั๋วบินกลับอีกทีคือวันมะรืน”
“ตกเครื่อง!!”
ตามกำหนดลุงและแม่ต้องมาถึงสนามบินนำไทยช่วงเย็นนี้ แต่เมื่อตกเครื่องเพราะการสื่อสารผิดพลาด ทำให้เลื่อนการเดินทางกลับออกไปอีกวัน เฌอเอมได้ยินก็แอบตกใจ คิดถึงแม่ก็มากเพราะห่างกันนานเป็นอาทิตย์ แล้วยังต้องมาหวั่น เมื่อต้องอยู่บ้านหลังนั้นตามลำพังกับพี่ชายนอกสายเลือด
“จะเข้าไปหา”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วยังกระซิบแผ่วเบาในระยะแค่คืบ
“พี่วีร์”
“ซื้อยาด้วยล่ะ”
อีกแล้ว..ปวีร์จะขึ้นไปนอนด้วย หมายความว่าคืนนี้ต้องเสียตัวให้กับชายคนนี้อีกแล้วเหรอ แม้ว่าเธอจะสมยอมแต่ไม่เคยปรารถนาให้ร่างกายตัวเองปรนเปรอผู้ชายเพราะความใคร่ หากต้องมอบให้อยากให้มันเกิดจากความรัก แต่เปล่าเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังและหมายกลั่นแกล้ง เขาพูดกรอกหูเธอทุกครั้งหลังเสร็จกิจ เขาไม่ชอบขี้หน้าเธอ รวมถึงแม่ของเธอที่เข้ามาครองตำแหน่งภรรยาคนใหม่ของพ่อ ก็พลอยทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจไปใหญ่
“เมื่อไหร่พี่จะเลิกทำแบบนี้”
“...”
“บอกว่าเกลียดเอม ทำไมยัง-”
“จะหยุดก็ต่อเมื่อ...เธอกับแม่ออกไปจากบ้านหลังนี้”
คำนี้ถูกย้ำมาตลอด ปวีร์อยากให้สองคนแม่ลูกออกไปจากบ้านของเขา บ้านหลังที่เคยมีความสุขแบบพ่อแม่ลูก ทว่ามันพังทลายเพราะชญาณัฐเข้ามาเป็นมือที่สาม แต่นั่นเป็นความคิดอคติและไม่ยอมรับตั้งแต่แรก หลายครั้งเฌอเอมเคยขอออกไปอยู่เพียงลำพัง เหมือนว่าทนกับสิ่งที่เจอไม่ไหว ไม่กล้าบอกผู้ใหญ่เพราะรู้ดีว่าปวีร์ต้องโดนคนเป็นพ่อเล่นงานหนักมาก ทว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตจากปุริมผู้มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง อีกทั้งคนเป็นแม่ก็มองว่าลูกสาวยังเด็กเกินไปกับการออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง
แต่หารู้ไม่...การรั้งเธอไว้ในบ้านหลังนี้กลับกลายเป็นว่า ฝากเนื้อไว้กับเสือได้ละเลงร่างกายบำบัดความใคร่และความเกลียดชังมาเนิ่นนาน
หนึ่งคืนผ่านไปที่เฌอเอมนอนหลับเต็มอิ่ม ลืมตาตื่นพร้อมกับมองไปยังระเบียง ครั้นตัวเองลืมปิดม่านไว้เมื่อคืน ยามเช้ากับแสงพระอาทิตย์สาดกระทบใบหน้าสวย รู้สึกโล่งอกไม่น้อย เมื่อคืนเธอนอนอิ่มแล้วยังหลับสบาย ไม่ถูกกวนใจจากพี่ชายต่างสายเลือดอย่างเช่นทุกครั้ง
จากการคุยกับป้าราตรี พอทราบว่าปวีร์อยู่เจรจาเรื่องธุรกิจ ชายหนุ่มได้รับการไว้วางใจเป็นช่างภาพให้บริษัทแห่งหนึ่ง ถ่ายภาพนิ่งหากมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมา และน่าจะค้างอยู่กับเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าโจอี้
“วันนี้กินข้าวเช้าไหมคะคุณเอม”
“กินค่ะ – เมื่อคืนนอนเร็วไปหน่อย ลืมกินแม้กระทั่งข้าวเย็น”
“ถ้าอย่างนั้นนั่งรอเลยนะคะ วันนี้ป้าทำต้มเลือดหมู”
“เอมไม่เอาข้าวนะคะ ขอซดร้อนๆ แล้วกัน”
“ได้เลยค่ะ”
ถ้วยขนาดใหญ่วางไว้ตรงหน้า ตักจากหม้อที่ป้าราตรีทำไว้ให้หญิงสาวคนเดียว ครั้นวันนี้ลูกชายเจ้าของบ้านยังไม่โผล่หัวกลับมา
มหาวิทยาลัย
คาบสุดท้ายของการเรียนจบลง นักศึกษาต่างทยอยกันออกจากห้อง
"เอม -- คืนนี้ไปเที่ยวกันไหม"
เธอถูกเพื่อนสาวคนสนิทอย่างแนนนี่กล่าวชวนไปท่องราตรี โดยปกติเฌอเอมไม่ชอบการเข้าสถานที่อโคจรเสียเท่าไหร่ จังหวะที่เดินก็แอบคิด เธอกำลังกังวลใจกับคืนนี้ หากพี่ชายของเธอกลับบ้าน เธอกลัว กลัวว่าเรื่องนั้นมันจะเกิดขึ้นอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์พี่น้องท้องชนกัน จึงจำเป็นต้องตอบตกลง
“ก็ได้นะ นานมากที่ไม่ได้ไป”
จำได้ว่าเคยเข้าผับประมาณสองครั้ง ครั้งแรกคือปุริมชวนไปร่วมงานผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จัก แนะนำเธอว่าเป็นลูกสาวอีกคนจนปวีร์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อีกครั้งคือไปเพราะรู้สึกอยากหาที่ผ่อนคลายครั้นถูกชายหนุ่มพูดจาทำร้ายความรู้สึกจนไม่อยากเห็นหน้า เมื่อตกลงกันได้และนัดหมายสถานที่ ต่างคนต่างแยกย้ายกัน แนนนี่ขึ้นรถไปกับแฟน ส่วนเฌอเอมนั่งแท็กซี่กลับไปยังบ้าน
เฌอเอมมีเวลาไม่มาก รีบจัดการตัวเองเพราะกลัวว่าปวีร์จะกลับมาเจอ ชายหนุ่มออกไปจากบ้านตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับ แม้จะแอบห่วงอยู่บ้าง ทว่าพอรู้ว่าเขาติดธุระเรื่องงานก็เบาใจอยู่บ้าง และหากไม่กลับมานอนบ้านก็ไม่พ้นอยู่คอนโดเพื่อนรักของเขาเช่นเคย
“แต่งตัวซะสวย – มีนัดกับหนุ่มๆ เหรอคะคุณเอม”
“ป้าตรีค่ะ เอมจะออกไปกับเพื่อน”
“ไปกับเพื่อน”
หญิงมีอายุทวนประโยคนั้น ย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายจะออกไปในตอนกลางคืน ลักษณะการแต่งตัวพอเดาออกว่าคนอายุน้อยนั้นไปไหน หากเป็นแต่ก่อนป้าราตรีคงเป็นห่วงมาก ทว่าตอนนี้เฌอเอมโตเป็นสาว จะออกเที่ยวราตรีตามประสาวัยรุ่นก็เป็นเรื่องธรรมดา
“ไม่ต้องห่วงนะคะ แต่ถ้าพี่วีร์กลับมาแล้วถามว่าไปไหน ป้าช่วยบอกว่าไม่รู้ก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะป้าจะบอกให้ตามนี้”
ป้าราตรีรู้ว่าปวีร์ไม่ชอบคนตรงหน้าและแม่ของเธอ พลันรับปากจะบอกให้ตามนั้นหากชายหนุ่มเอ่ยถามเพราะอยากให้คนอายุน้อยสบายใจ
ลาฟฟี่ก้าร์ผับในค่ำคืนของย่านบันเทิง เต็มไปด้วยแสงสีเสียงและผู้คนเริ่มพลุกพล่าน จุดนัดพบคือด้านหน้าของผับ เฌอเอมมาถึงก่อนและนั่งรอเพื่อนเกือบหนึ่งชั่วโมง มองไปทิศทางไหนก็มีแต่หนุ่มสวมควงกันมาเป็นคู่ ในส่วนตัวเองยังหน้าหน้างอตามลำพัง“ทำไมยังไม่มา”เพราะนั่งรอนาน ย่อมถูกสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองอย่างสงสัย จนรู้สึกเกิดความประหม่า เปิดกระเป๋าหยิบมือถือเพื่อหมายจะต่อสายตามเพื่อนของตัวเอง ก็ต้องเงยหน้าที่ก้มมองหน้าจอขึ้นไปมองต้นทางของเสียงเรียก“เอม!!”แนนนี่เดินมาพร้อมกับชายไม่คุ้นหน้า คนมองแอบแปลกใจ ในทีแรกนึกว่าเพื่อนจะควงแฟนหนุ่มที่มารับกลับบ้านไปเมื่อตอนเย็น ทว่ากับควงชายอีกคนมาผับแห่งนี้“กำลังจะโทรหา”“โทษทีนะเพื่อนรถติด ลานจอดรถก็เต็ม ต้องเอาไปจอดฝั่งโน้น เลยใช้เวลาเดินนานไปหน่อย”"อืม"“นี่พี่พอล”แนนนี่แนะนำชายที่ควงมาได้ แม้เฌอเอมจะยกยิ้มแสดงท่าทียินดีที่ได้รู้จัก ทว่ายังงงๆ แต่กระนั้นก็พอเดาออกว่าคนที่เพื่อนหนีบมาด้วยเป็นชายในสต๊อกหรือที่เรียกว่ากิ๊กนั้นเอง“แล้วนี่เพื่อนแนนเอง ยัยเอมที่เคยเล่าให้ฟัง”“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องเอม ได้เจอตัวจริงก็วันนี้”หญิงสาวยกมือไห
สติอันน้อยนิดพลันแตกกระเจิง เพราะชายที่มีศักดิ์เป็นพี่ส่งเกลียวลิ้นร้อนสอดมุดสัมผัสกับคนเด็กกว่าอย่างช่ำชอง หว่างขาคนตัวเล็กถูกมือหนาสัมผัสจุดอ่อนไหว ปลายนิ้วกลางกรีดลงร่องอันคุ้นเคยแล้วขยี้ลงจุดที่เรียกว่าคลิตอริส เฌอเอมสะดุ้งจนยกปลายเท้ายืนสองข้าง ดันข้อมือหนาเพื่อให้เขาเอานิ้วออก ทว่าอีกฝ่ายกลับกลั่นแกล้งด้วยการยังบี้ลงหนักๆ“อ้ะ!! เอามือออกนะ”“ทำอยู่”“เอาออก ฮื่อ...”คำขอร้องที่เอื้อนเอ่ยเป็นเพียงอากาศ ครางอื้ออ้าทว่าถูกคนอายุมากกลืนเสียงนั้นหายไปในลำคอ ประกบดูดดึงริมปาก พลางบดเบียดลงหนักๆ จนแตกจากบดและขบขยี้ ด้านล่างยังส่งเรียวนิ้วเข้าไปควานหาปุ่มอ่อนไหวในช่องทางนุ่มนิ่ม พลันสายตาคมกริบก็ทอดมองเบื้องล่างที่กำลังขยับเข้าออกได้จนสุดข้อ กระตุ้นตัวตนของเฌอเอมให้แสดงออกมา ครั้นเธอพยามจะปกปิดและอดกลั้นเอาไว้"พี่ พะพอ อึก""ต้องการก็บอก อย่าทำเป็นแอ๊บหน่อยเลยสาวน้อย"“อ่ะฮื้อ...”เฌอเอมปล่อยมือร้ายนั้น ลูบใบหน้าที่ชุ่มน้ำจนแทบหายใจเป็นปลา ยามด้านในตำจุดกระสันย้ำๆ เสียจนฉี่แทบแตก ทำใบหน้าสวยแดงก่ำเชิดสูงอ้าปากครางกระเส่าเมื่ออีกฝ่ายโถมเรียวนิ้วแรงขึ้นจนตัวสั่นกระเพื่อม ปวีร์ยืนสูดปาก
เช้าต่อมา“คุณเอม!!”ป้าราตรีที่กำลังเช็ดจานล้างแล้วหันออกทางประตูห้องครัวเจอคนอายุน้อยเดินเข้าบ้านในช่วงเวลา 10 โมงเช้า รีบวางสิ่งของที่อยู่ในมือวิ่งออกไปหาลูกเลี้ยงของเจ้านายด้วยความเป็นห่วง คนเด็กกว่าเมื่อถูกเรียกก็พลันชะงักหยุดนิ่งทั้งยกรอยยิ้มส่งให้ป้าแม่บ้านด้วยท่าทีข่มขืนใจ“คะป้า”“ป้าโทรหาตั้งแต่เช้าตรู่ไม่ติดเลย ถ้าเที่ยงนี้ยังไม่เห็นมา ป้าจะโทรบอกคุณปุริมกับคุณชญาแล้วนะคะ”“แบตหมดค่ะป้า”“แล้วไปค่ะ ป้านึกว่าเกิดอุบัติเหตุหรือมีใครทำมิดีมิร้าย”ไม่มีใครกล้าทำหรอก ถ้าไม่ใช่ปวีร์...เฌอเอมจำเป็นต้องโกหกเพื่อให้คนแก่กว่าสบายใจ พลันมือเหี่ยวยกมือทาบอกแล้วถอนหายใจ เมื่อเฌอเอมกลับมาอย่างปลอดภัย สภาพร่างกายภายนอกที่เป็นปกติ แต่ใครจะไปรู้ว่าภายในใจมันยับเยินมากแค่ไหน“ถ้าไม่มีอะไร เอมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนะคะ”คนอายุน้อยรีบพาตัวเองขึ้นห้อง เมื่อเปิดประตูได้ก็โยนกระเป๋าสะพายใบเล็ก แล้วกระโดดตัวเองลงบนเตียงนิ่ม มองเพดานครุ่นคิดเรื่องระหว่างตัวเองกับผู้เป็นพี่ชาย เธอปล่อยให้ชายหนุ่มได้ใจมาเนิ่นนาน ปล่อยให้เขาอยู่เหนือทุกอย่างและทุกครั้ง แต่เพราะแม่สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน สอนให้มองปวีร์ในแง่ดี
ในครัวช่วงห้าทุ่ม ป้าราตรียังทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เตรียมเอาไว้ เมื่อพรุ่งนี้เมียเจ้าของบ้านอยากตื่นมาใส่บาตรในตอนเช้า พลันเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นอุปกรณ์ทำครัวให้เข้าที่ ทว่าก็ต้องตกใจเมื่อหันมาประจันหน้ากับปวีร์ที่เดินมายืนไม่พูดไม่จา“คุณวีร์ !! ป้าตกใจหมด”“ดึกป่านนี้ ป้าทำอะไร”“เตรียมของไว้ทำอาหารแต่เช้ามืด และเก็บของที่วางเกะกะค่ะ”“...”“ผม...ขอนมอุ่นแก้วหนึ่ง”คนแก่กว่าได้ยินถึงขั้นขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะวางสิ่งของในมือแล้วหันไปทำนมอุ่นให้ชายหนุ่ม แม้จะสงสัยอยู่บ้าง เพราะโดยปกติปวีร์ไม่ใช่คนชอบดื่มนม นอกจากน้ำเปล่าก็มีแอลกอฮอล์หรือไม่ก็น้ำอัดลมที่เขาชอบกลืนลงท้อง นึกสงสัยก็ได้แต่เงียบไว้อย่างนั้น จัดการอุ่นนมให้ชายหนุ่มแล้วเทลงแก้วกันความร้อน แล้วยื่นให้ปวีร์“ได้แล้วค่ะ”“ขอบคุณครับป้า”เขาเดินถือแก้วนมนั้นขึ้นชั้นบน ไม่ได้กลับเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แต่ทว่ายืนอยู่หน้าห้องของเฌอเอม มือหนากำลังจะเคาะที่บานประตูก็ดึงลง ก่อนจะลองหมุนลูกบิดประตูแล้วปรากฏว่าห้องนอนนี้ไม่ได้ล็อก เขากำลังถือวิสาสะเข้าไปในห้องของน้องสาวผู้ที่จงเกลียดจงชังมาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่ขออนุญาตแกร๊ก !!ด้านในปิด
อดีตห้องประชุมเล็กที่ยกเลิกการใช้งาน กลายเป็นพื้นที่เก็บโต๊ะเก้าอี้เก่าที่ชำรุดเพื่อรอการย้ายและทำลายบางส่วน ทว่ามีเด็กชายวัยสิบสองขวบและเด็กหญิงที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นประฐมศึกษาที่หนึ่งนั่งอยู่ด้านใน คนพี่กำลังทำการบ้านตามคำสั่งครู ส่วนคนน้องนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษอยู่ข้างๆ“พี่วีร์...”เสียงหวานของเด็กหญิงเฌอเอมเอ่ยเรียก ครั้นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องงานที่วางไว้ตรงหน้าไม่ยอมคุยกัน ตั้งแต่แม่รับมาจากโรงเรียนก็เหมือนว่าจะไม่มีเพื่อนเล่น ตุ๊กตากระดาษในมือก็แทบเปื่อยเพราะเล่นซ้ำๆ แทบทุกวัน“เอมเรียกพี่ทำไม”“ไม่มีเพื่อนเล่น – เอมเหงา”พูดพร้อมใบหน้าน้อยหงิกขึ้น เฌอเอมกำลังงอแงเมื่อพี่ชายที่รักของตนเอาแต่ทำการบ้าน เมื่อเห็นว่าน้องสาวทำท่าเหมือนจะร้อง ทั้งตุ๊กตายังยับยู่ยี่จากการเล่นต่อเนื่องมาหลายวัน พลันมือน้อยๆ ของปวีร์ลูบเข้ากลางศีรษะของเฌอเอมแล้วยิ้มกว้างๆ ให้หนึ่งที“งั้นเอมรอตรงนี้นะ – พี่จะพาเพื่อนมาเล่นด้วย”ว่าเสร็จก็ลุกตัวปลิวเปิดประตูออกไป ทิ้งคนอายุน้อยกว่าอ้าปากพะงาบเพราะกำลังจะถามว่าเป็นเพื่อนที่ไหน นั่งปากยู่ยี่เพียงลำพังรอพี่ชายตัวเองกลับมา ผ่านไปเพียงสิบนาทีเท่านั้น พี่ชายที่รักของ
11:40ห้องพักผู้ป่วยยังเปิดเข้าเปิดออกตั้งแต่เช้าเพราะพยาบาลต้องเข้ามาวัดไข้อยู่เรื่อยๆ เฌอเอมที่หลับเพียงตาทว่าความรู้สึกยังตื่น เลยคิดว่าผู้มาใหม่นั้นคือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนำข้าวเที่ยงมาเสิร์ฟ“วางไว้ก่อนนะคะ เอมยังไม่หิว”“…”ถาดอาหารถูกวางลงโต๊ะกินข้าวและมีเสียงลากใกล้เข้ามา ทั้งยังสัมผัสได้ว่ามีคนขยับเข้ามาใกล้เตียงพักฟื้นของตัวเอง“เดี๋ยวลุกไปกินค่ะ หนูยังไม่-”จากที่นอนตะแคงหันไปมุมระเบียง พลิกตัวมาอีกฝ่ายเพื่อหมายจะสนทนากับเจ้าหน้าที่ ก็อ้าค้างกลางอากาศ เมื่อคนที่เข้ามาคือปวีร์ ชายหนุ่มขยับนั่งบนเตียง ใช้เรียวแขนโอบคนนอนลุกขึ้นแล้วยังดันคนอายุน้อยเข้ามาใกล้จนแผ่นหลังแนบชิดอยู่ที่แผงอกแกร่งและยังลากโต๊ะกินข้าวเหมือนว่าจะบังคับให้เธอกินมื้อเที่ยงนี้“อะไรของพี่”“กินข้าว”“ยังไม่หิว”“ไม่หิวก็ต้องกิน”เขาออกคำสั่งทางสายตา จ้องมองเสียจนใบหน้าน้อยๆ ร้อนผ่าว อุณหภูมิในกายสูงขึ้นอีกครั้ง ครั้นเอวบางถูกแขนแกร่งโอบกระชับเอาไว้ เธอได้แต่นั่งนิ่งพ่นลมหายใจหอบถี่ ไม่มีเรี่ยวแรงต่อปากต่อคำหรือขัดขืนใดๆ“...”“จะกินข้าวดีๆ หรืออยากให้-”“ออกไปนะ!! เอมไม่สบาย อย่าคิดอะไรบ้าๆ”กำปั้นน้อยๆ ท
บทสนทนาสองแม่ลูกยังต่อเนื่อง ชญาณัฐมองหาอีกคน ก็ว่าปวีร์ยืนอยู่นอกระเบียง เขาปล่อยให้แม่ลูกคุยกันโดยไม่เข้ามาขัดจังหวะ อีกทั้งไม่อยากอยู่เสวนากับแม่คนเลี้ยงที่เขาไม่ปลื้มชญาณัฐเดินออกมา พลันดวงตาคู่คมมองหญิงสาวที่ไม่เคยเรียกแม่เลยสักครั้ง เธอปิดประตูจกหวังจะคุยกับปวีร์เพียงลำพัง ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งมองผู้ใหญ่ด้านนอกด้วยความสงสัยแม่กับพี่วีร์จะคุยอะไรกันนะ...“ขอบคุณที่ช่วยพายัยเอมมาส่งโรงพยาบาล”“ก็ฉันเข้าไปเจอ”ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตามองไปด้านนอกชมบรรยากาศพลบค่ำแทนการสบตาคุยกับแม่เลี้ยง น้อยครั้งที่เขาสองคนจะคุยกันดีๆ นอกจากมีสื่อกลางอย่างปุริมอยู่ด้วยถึงจะได้เอ่ยถึงกันบ้างยามจำเป็น“ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบเราสองคนแม่ลูก”“...”พอเธอพูดออกมาแบบนั้น คนที่นิ่งกลับเป็นปวีร์ มันเป็นเรื่องที่เขาสองคนต่างคนต่างรู้ ชญาณัฐไม่มีอะไรคาใจกับลูกเลี้ยง แต่อีกฝ่ายตั้งแง่มองในทางลบมาตลอดเวลา เลยเป็นผลให้แม่เลี้ยงอย่างเธอเข้าทำงานในบริษัทของผู้เป็นสามี รับเงินเดือนไม่ต่างจากพนักงานคนอื่น และยังไม่จดทะเบียนสมรสเพื่อพิสูจน์ให้ปวีร์ได้เห็นว่าเธอและลูกไม่ได้เข้ามาหวังฉาบฉวยในทรัพย์สินห
สองวันต่อมาอาการป่วยของเฌอเอมดีขึ้นกว่าวันแรกจนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันพรุ่งนี้ และเป็นคืนสุดท้ายที่เธอต้องพักรักษาตัว เวลานี้ก็เกือบเที่ยงคืน เฌอเอมรู้สึกว่าตัวเองนั้นปวดฉี่ แต่เพราะความขี้เกียจบวกกับความง่วง ทั้งยังต้องหอบสายน้ำเกลือไปด้วยตลอดเวลา พยายามกลั้นเอาไว้เพื่อตื่นเช้ามาปลดปล่อยออกทีเดียว แต่ทว่าในตอนนี้เธอเริ่มปวดหนักและเหมือนว่าจะอั้นเอาไว้ต่อไปไม่ไหว“อ่า -- ปวดจนฉี่จะราดอยู่แล้ว”ร่างเล็กลงจากเตียง จับเสาน้ำเกลือลากไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลอย่างทุลักทุเล ความกลั้นเอาไว้เนิ่นนานแทบเผลอปล่อยออกมา ณ วินาทีนั้น จังหวะที่กำลังจะรั้งกางเกงลง ความอดกลั้นก็ขาดจนน้ำสีเหลืองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ เฌอเอมฉี่ราดกางเกงที่ยังถอดไปสุดเป็นผลให้เปียกจนไม่สามารถใส่กลับมานอนได้“ตายแล้ว เปียกแบบนี้จะใส่เดินออกไปยังไง”หน้ามุ่ยกับตัวเอง หากลุกมาแต่แรกคงไม่เป็นแบบนี้ จากนั้นหยิบที่ฉีดล้างคราบปัสสาวะที่ไหลตามขา แล้วใช้เท้ากวาดกางเกงเปียกกองไว้กับพื้น ก่อนจะดึงทิชชูซับคราบน้ำที่เปียกเฌอเอมเดินออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อคนป่วยตัวยาวที่พอปิดมิดทั้งแก้มก้น ค้นตัวใหม่ในตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก ทว่าชุดส
“เอมท้องได้สองเดือนแล้วครับน้าชญา”“...”ชญาณัฐที่ได้ยินก็เงียบปาก มองเด็กทั้งสองด้วยแววตาและสีหน้าเรียบเฉย พลันอีกฝ่ายนึกว่าเธอต้องไม่พอใจกับพฤติกรรมเกินงาม รู้ถึงไหนคงโดนนินทาไปถึงนั่น แต่ในสังคมปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว อยู่ก่อนแต่งหรือท้องก่อนแต่งมันมีเยอะแยะ ฉะนั้นเอามาวัดกันไม่ได้นอกจากความรักและความซื่อสัตย์ที่มีให้กัน สิ่งสำคัญในชีวิตคู่จะประคองอย่างไรให้ตลอดรอดฝั่งไม่เหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เคยล้มเหลวมาก่อน“หนูขอโทษ”“ขอโทษทำไม แม่กับลุงอยากอุ้มหลานจะตาย”“แม่!”“แค่ตกใจที่หลานมาไวกว่าที่คิด”บรรยากาศจากตึงๆ กลายเป็นความรอยยิ้มของคนทั้งสี่ มีแม่บ้านอย่างป้าราตรียืนมองครอบครัวสุขสันต์อยู่ห่างๆ ครั้งที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในสมรภูมิของสงครามมานานหลายปีห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมของเฌอเอม หากนับเวลาก็รวมๆ หกเดือนได้ที่เธอไม่ได้กลับมาใช้ห้องนี้อีกเลย มันดูโล่งไปนิด มีเพียงแจกันและโซฟาที่ยังตั้งวางไว้ ทว่าวันนี้เธอได้กลับมาใช้มันอีกครั้ง“เมื่อไหร่จะขึ้นเตียง มาให้พี่นอนกอด”ปวีร์เอ่ยถามขณะที่ตัวเองนั้นนอนยกแขนเท้าศีรษะแล้วตะแคงออกมาทางระเบียง เฌอเอมอยู่ในชุดนอนสีขาวตัวบางชนิดที่ว่ามองเ
ปวีร์ก็ไม่ฟังอยู่ดี เพิ่มข้อนิ้วเข้าไปอีก ล้วงผนังอุ่นเพื่อหาจุดกระสัน ตำถี่ๆ ให้คนอายุน้อยเสพความสุขได้อย่างเต็มที่ ขณะที่บั้นท้ายอวบอัดมีท่อนลำแข็งขดอยู่ด้านล่าง ความต้องการทำปวีร์ปวดหนึบ อยากควักมันออกมาแล้วสอดกระแทกเสียให้จบๆ แต่เมื่อเฌอเอมบอกว่าไม่ไหว ก็ทำได้เพียงเกี่ยวเบ็ดให้อย่างถึงใจ หลังจากนั้นค่อยจัดการตัวเองด้วยการชักว่าว“เสียวไหมคะ”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เชิดดวงตามองคนอายุน้อยที่เอาแต่กัดริมฝีปากแล้วหลับตาแน่น เฌอเอมตัวแดงขึ้นเพราะความซาบซ่าน นั่งแอ่นเร่าร่างกายบนตักของชายหนุ่มราวกับยั่วเย้าอารมณ์ทางเพศของอีกฝ่าย เรียวนิ้วจิกเข้าที่หัวไหล่หนา ส่วนเรียวขานั้นก็อ้าออกกว้างให้ปวีร์ขยับเข้าออกได้ถนัด“อ่ะ ฮื่อ”ดวงตาคมหลุบต่ำลง มองผลงานตัวเองที่กำลังเล่นงานคนอายุน้อย กระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าน้ำเสียวของเฌอเอมไหลเยิ้มออกมาเป็นสวย“อ่า เอมมองหน่อย”“มะไม่...ไม่มอง”“สวยนะ...มองหน่อย”เขาหว่านล้อมให้คนอายุน้อยก้มมอง จากที่หลับตาก็ปรือปรอยแล้วหลุบมองตามคำสั่ง ช่องทางรักของตัวเองมีข้อนิ้วขอชายคนรักสอดไปตั้งสามนิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่ กลีบกุหลาบแยกออกเป็นทางเห็นแม้กระทั่ง
จากเดิมที่ตั้งใจมาอยู่เพื่อพักฟื้นจากอาการป่วย กลายเป็นว่าชายหนุ่มกลับย้ายมาอยู่ถาวร ขนข้าวของจำเป็นบางส่วนเข้ามาไว้ในคอนโด ปวีร์ยังคงทำงานที่รักตามเดิมคือช่างภาพ แม้ออฟฟิศกับคอนโดอยู่กันหลายกิโลเมตรก็ไม่เป็นอุปสรรค สามารถขับรถไปกลับรวมๆ เกือบสามสิบกิโลเมตรต่อวันได้แบบสบาย และอดทนต่อการจราจรติดขัดจนเฌอเอมแอบประหลาดใจ เพราะชายที่รักไม่ชอบอะไรที่แออัดโดยเฉพาะรถบนท้องถนนขณะที่คนอายุน้อยเริ่มทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งคู่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของปุริม ปล่อยให้คนอายุมากกับภรรยาได้ช่วยกันบริหารอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรหากปุริมเกษียณตัวเองและวางมือลง แน่นอนว่าปวีร์ต้องเข้ามารับช่วงต่อเพราะเป็นลูกชายคนเดียวครัวเล็กๆ กำลังถูกใช้อุ่นอาหารสำเร็จที่ซื้อมาจากตลาด มื้อนี้เฌอเอมเลือกเป็นเมนูโปรดของปวีร์ เป็นแกงพะแนงเนื้อมะเขือพวงและยังมีหมูทอดแดดเดียวและน้ำจิ้มแจ่วรสจี้ดจ้าด ยังไม่ทันเสร็จดี ร่างน้อยๆ ถูกแขนแกร่งโอบกอดทางด้านหลังในจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัว ปวีร์เปิดประตูเข้าห้องหลังจากกลับจากทำงานเพียงเงียบๆ แล้วเดินย่องมากอดคนอายุน้อยเหมือนเช่นทุกวัน“ตกใจหมดเลย”เอ่ยเพียงประโย
เขาสูดดมกลิ่นตัวทั่วกายบาง ความหอมรัญจวนทำสติที่มีแทบคลั่งอยู่รอมร่อ เพราะหลงรักเฌอเอมมานานแต่ทว่าดันซ่อนความรู้สึกเอาไว้แบบมิดชิดและบิดเบือนความจริงที่มี กระทั่งได้เปิดเผยออกมาทุกอย่างมันก็กระจ่างชัดเจนและทำให้เขากล้าแสดงออกมากขึ้นร่างนุ่มนิ่มแดงซ่านขึ้นมาราวกับว่ามีสีละเลงบนกาย ชุดนอนผ้าซาตินบนกายสาวหลุดออกอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของชายหนุ่ม เรือนร่างขาวเนียนยามแสงไฟตกกระทบลงสู่ผิวขาวก็ปลุกตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดีที่เขาเคยบอกว่าร่างกายของเฌอเอมไร้ราคา ตอนนี้มันกลายเป็นของห่วงและของมีค่าที่ประเมินราคาไม่ได้สำหรับเขา...ริมฝีปากหยาบประกบลงที่ต้นขาขาว ลากไซ้ไปมาแล้วยังพ่นลมหายใจรดริน ทำเฌอเอมขนลุกขนซันราวกับว่าที่ตรงนี้มีอุณหภูมิติดลบทั้งที่เปิดแอร์ในอุณหภูมิปกติ“อ่ะพี่วีร์...”เฌอเอมหลุดร้องทั้งสะดุ้ง ปวีร์งับเข้าที่ง่ามขาเพียงเบาๆ แต่ว่าแลบลิ้นเลียบริเวณนั้นก่อนจะปาดมายังช่องทางรักที่อยู่ใกล้แค่คืบ จับเรียวขาขาวให้แยกกว้างออกจากกัน มองรอยหยักที่ปิดไม่เสมอเพราะมันถูกความใหญ่โตของปวีร์มุดเข้าไปสำรวจด้านในมาแล้วครั้ง ชายหนุ่มมุดหน้าลงอย่างตั้งใจ ดูดดึงเนื้อสีอ่อนราวกับว่าเป็นหอยขม มอบค
“เอมเคยโกรธพี่ ที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ยัดเยียดให้เอมกับแม่เป็นผู้ร้ายมาตลอด”“...”เขาตั้งใจฟังอย่างมาก รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ ขณะที่คนอายุน้อยก็หายใจแรงเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ“แม่เคยสอนไว้ว่า การให้ที่ดีคือการให้อภัย – ถ้าเอมให้แล้ว พี่สัญญาได้ไหมจะไม่ทำให้เอมเสียใจอีก”“...”“เอมให้โอกาสพี่วีร์นะ”“เอม!!”ปวีร์ที่ได้ยินใจเต้นรัวมากกว่าเดิม แต่มันเป็นความดีใจ เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู เฌอเอมให้โอกาสเขาแล้ว รีบจับร่างระหงหันหน้าเข้ามาหา ยกมือเกลี่ยข้างแก้มเนียนละเอียดแผ่วเบา พลันมองเห็นใบหน้าละมุนมีรอยยิ้มขึ้นมามันทำให้หัวใจของเขาพองโต ความพยายามง้อให้เธอกลับมาหากนับก็เวลาเป็นเดือนๆ อาจยังน้อยกับการกระทำป่าเถื่อนที่เขาเคยทำ แต่ถือว่านานมากสำหรับเขากับการใจแข็งของเธอ แต่ตอนนี้มันอ่อนลงแล้ว เฌอเอมให้โอกาสอย่างที่เขาขอ“พี่รักเอม”มือหนายังประคองข้างแก้ม เขาโฉบหน้าต่ำลง ป้อนเรียวปากให้คนอายุน้อยอย่างละมุน ปวีร์ค่อยๆ เล็มงับไปทีละน้อย แตกต่างจากที่เคยเอาแต่บดเบียดแรงๆ เพื่อความสะใจ มันอ่อนโยนขึ้นจนหญิงสาวหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง“พี่วีร์หยุด...”“พี่คิดถึง พี่โหยหาแต่เอม”ยิ่งเขาพูดออกม
“วันนี้กลับบ้านเลย ไม่มีอะไรน่าหวงแล้ว”“ขอบใจนะหมอ”ปุริมที่เอ่ยขอบคุณเมื่อคุณหมอที่รู้จักดูแลลูกชายอย่างดีตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้“ค่ารักษาใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพ ไม่ต้องสำรองจ่ายอะไร – กลับบ้านไปก็ดูแลตัวเองดีๆ นะวีร์”“ครับอาหมอ”อาการป่วยของปวีร์ในตอนนี้ ตัวไม่ร้อนและไม่มีอะไรน่าห่วง เมื่อดีขึ้นตามลำดับคุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ข้าวของบางอย่างมีเฌอเอมช่วยเก็บและขนลงไปไว้ในรถให้ก่อน ภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงพ่อลูกที่อยู่กันลำพัง ปวีร์สวมชุดลำลองตัวโปรดของตัวเอง และนั่งรอเฌอเอมขึ้นกลับมาประคองเดินลงไปด้วยกัน“กลับบ้านนะวีร์”“กลับคอนโดครับ”“...”ได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ลูกชายไม่มีคอนโดส่วนตัวแล้วจะไปอยู่กับใคร“คอนโดของเอม – ผมอยากไปอยู่กับน้อง”“จะไม่กวนใจน้องเหรอวีร์”เพราะความสัมพันธ์ของเด็กสองคนมันยังไม่ดีขึ้นและยังคลุมเครือ ปุริมเกรงว่าลูกชายจะไปสร้างความรำคาญให้คนอายุน้อย ครั้นเฌอเอมยังมีธุระเรื่องของงานที่เธออาจจะต้องทำเป็นจริงเป็นจังในเร็วนี้ แต่กระนั้นปวีร์ยังยืนยันที่จะติดสอยห้อยตามไปพักฟื้นตัวเองต่อที่คอนโดของหญิงสาว และเหตุผลหลักเขาอยากอยู่ที่นั่นเพื่อง้อและปรับคว
นิสัยก้าวร้าวและความไม่เป็นสุภาพบุรุษคือเปลือกนอกที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็งและสร้างเกราะปกป้องกันความรู้สึกให้ตัวเองในยามที่ครอบครัวแยกสลายจากกัน แม้มันจะเป็นวิธีที่ผิดก็ตาม“ปล่อยเอม”“อาบให้พี่หน่อย”ดวงตาคู่สวยเลิกมองคนที่นั่งสูงกว่า แม้ว่าเฌอเอมจะยืนก็อยู่เพียงระดับหน้าอกเท่านั้น เพิ่งอาการดีขึ้นจะอาบน้ำเธอก็กลัวว่าไข้ชายหนุ่มจะขึ้นมาอีก แต่กระนั้นก็ยังถูกคะยั้นคะยอเพราะปวีร์เหนียวตัวไม่น้อย ร่างกายหมักหมมมาหลายวันหากได้ฟอกตัวด้วยสบู่หอมๆ ก็คงสดชื่นขึ้นไม่น้อยห้ามไม่ได้ก็คงต้องทำตาม ปวีร์มีอภิสิทธิ์ของคนป่วยทำให้เธอตามใจได้ ถอดชุดผู้ป่วยออกจากตัวแล้วใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวยานที่มีติดตู้เสื้อผ้าผู้ป่วยเอาไว้ เฌอเอมปลดฝักบัวลงแล้วเปิดน้ำในระดับอุณหภูมิห้อง ไม่ให้หนาวมากจนชายหนุ่มสะท้าน รดริดบนผิวกายหยาบก่อนจะบีบสบู่เหลวลงมือแล้วลูบไล้ลงแผ่นหลังและไปยังจุดอื่นๆปวีร์หันด้านหน้าให้คนอายุน้อยถูให้ทั่ว มือบางลูบไล้บนหน้าอกที่เปล่งกล้ามออกเป็นมัดๆ ยามสัมผัสเข้ากับเม็ดกลมแข็งๆ ก็ทำปวีร์ขนลุกขนชันไม่น้อย“พี่หนาวเหรอ”“เปล่า พี่แค่...”เขาโอบกอดเฌอเอมโดยอีกฝ่ายไม่ตั้งตัว ดันเข
ปวีร์ยังคงกอดแน่น คราวนี้กลับมีแรงยื้อคนอายุน้อยเอาไว้ เมื่อเฌอเอมไม่มีทางหลุดจากอ้อมกอดของชายหนุ่มก็ทำได้เพียงกดออดเรียกพยาบาล แม้ว่านางพยาบาลจะเข้ามาแทงเข็มแล้วใส่สายน้ำเกลืออีกรอบ มืออีกข้างของปวีร์ก็ยังโอบเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย“เสร็จแล้วพี่พักผ่อนต่อเถอะ”“เอม...”“พี่ป่วยอยู่”“ฟังพี่”เฌอเอมยืนนิ่ง สูดหายใจเข้าแรงๆ เมื่อหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ ยอมอดทนฟังกับคำขอโทษเดิมๆ ของปวีร์อย่างร้าวราน“มันช้าไปไหมถ้าพี่จะบอกว่า...รักเอม”ราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้ากลางใจ เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินจากปากของปวีร์ ชายหนุ่มสารภาพความรู้สึกที่มี มันชัดเจนตั้งแต่เฌอเอมก้าวเท้าออกมาจากบ้านหลังนั้น จุดอ่อนของปวีร์มันก็อยู่ที่หัวใจและความรัก ตอนนั้นเขากลัวแม่และลูกมาแย่งความรักพ่อมีให้ กลัวความไม่สมบูรณ์ของคำว่าครอบครัว แต่ตอนนี้กลับกลัวว่าจะไม่มีผู้หญิงที่ชื่อเฌอเอมอยู่ข้างกาย“ไม่มีเอมอยู่เหมือนขาดอะไรบางอย่างไปจากชีวิตพี่ ให้ปวีร์แสนร้ายคนนี้กลายเป็นปวีร์แสนดีไหม”เขากำลังขอโอกาสจากคนอายุน้อย เฌอเอมกลืนความรู้สึกกระอักกระอ่วนลงคอ จุกแน่นภายในใจไปเสียหมด นิ่งเสียจนปวีร์เดาความคิดและความรู้สึกเธอไม่ได้ ก่
เช้าต่อมาแสงสีทองสาดส่องทั่วทั้งท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมนในยามค่ำคืน เฌอเอมรู้สึกตัวตื่นเมื่อแดดแยงตา เมื่อคืนเธอไม่ได้เข้าไปนอนในห้อง เผลอหลับเพราะแอบมองปวีร์บนระเบียง ก่อนจะลุกขึ้นกะทันหันแล้วมองลงไปด้านล่าง ไม่มีชายใจร้ายยืนอยู่ตรงนั้น เขาหายไปแล้วหรือยอมแพ้ไปตั้งแต่เมื่อคืน ถอนหายใจแล้วยกมือลูบใบหน้าตัวเอง โดนกระทำขนาดนี้ปวีร์คงไม่มาราวีเธออีกแล้ว“ก็ดีเหมือนกัน คงทนไม่ไหวหรอก”เดินเข้ามาด้านในทิ้งตัวลงเตียงนอนนุ่มนิ่ม ครั้นรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวเพราะนั่งหลับทั้งคืน หลับตาลงหวังจะพักผ่อนต่อก็ต้องลืมตาเมื่อมือถือดังเพราะมีสายเรียกเข้า“แม่...”เฌอเอมย่นคิ้วโก่งเล็กน้อย เมื่อชญาณัฐโทรมา“ค่ะแม่ เอมเพิ่งตื่น”(จะกลับมาบ้านไหมลูก)“ยังค่ะ”(เหรอ...แม่แค่โทรมาบอก พี่วีร์ป่วยนะลูก ไข้ขึ้นสูงตัวร้อนมาก ตอนนี้แอดมิตในห้องผู้ป่วยวิกฤต)“วิกฤติ”เฌอเอมถึงกับงงมากกว่าเดิม ชายหนุ่มยืนตากฝนทั้งคืนพอเข้าใจได้ว่าต้องเป็นไข้ แต่มันถึงขั้นไหนถึงต้องอยู่ห้องวิกฤตความไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนใจร้าย เฌอเอมใช้เวลานี้ในการสมัครงานหน้าออฟฟิศและระบบออนไลน์ ไม่อยากคิดฟุ้งซ่านและไม่อยากเป็นห่วงปวีร์ นอนกระวนกร