บูรณิการ์มองเพื่อนของตัวเองเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตรงหน้าแล้วก็ยิ้มแล้วหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มจิบเบาๆ พรุ่งนี้วันหยุดเลยรับนัดเพื่อนออกมาเที่ยว จริงๆ เธอมาเป็นคนขับรถให้เพื่อนมากกว่า เพราะตั้งแต่สมัยเรียนแล้วเธอมากับเพื่อนตลอด แต่ไม่เคยดื่มด้วยเพราะตัวเองคออ่อน เพื่อนๆ จึงให้เป็นคนขับรถ แต่เธอก็เอ็นจอยกับเพื่อนได้ถึงแม้ไม่ดื่ม มีแค่น้ำเปล่า น้ำหวานและกับแกล้มแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเธอ
เธอกินน้ำ กินกับแกล้มโยกตัวไปตามเสียงเพลงในผับแล้วก็ต้องหุบยิ้มร่าเริงเมื่อมีคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าตัวเอง เธอจำได้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร แม้จะเจอแค่ครั้งเดียว แต่ก็จำได้ดี ยิ้มแบบนี้ ใบหน้าหล่อๆ แบบนี้มีแค่คนเดียวที่เธอเคยเจอ แล้วทำไมเขามาอยู่ตรงนี้ล่ะ
“เจอกันอีกแล้วคนสวย” กองทัพเอ่ยทักทายหญิงสาวที่ตนเห็นแวบแรกก็จำได้ทันทีว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวเองเจอเธอที่ไหน และก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้ามาทักทายคนตัวเล็ก
บูรณิการ์ทำหน้างง เพราะไม่ได้ยินคำพูดของคนตัวโตตรงหน้า ด้วยเสียงเพลงที่กำลังดังทำให้เธอส่ายหัวเป็นคำพูดว่าไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด กองทัพเห็นแบบนั้นก็เดินมายืนข้างเธอที่นั่งกับเก้าอี้แล้วก้มโน้มหน้าลงไปใกล้แก้มเนียนจนเธอต้องหดคอเบี่ยงตัวหลบ แต่ใบหน้าทรงเสน่ห์ก็ตามมา
“เจอกันอีกแล้วนะครับ” กองทัพเอ่ยกระซิบข้างแก้มเนียน และครั้งนี้บูรณิการ์ก็ได้ยินชัด เพราะเขาพูดใกล้หูนิดเดียว เสียงเพลงที่กำลังดังก้องในผับนั้นไม่ได้ดังเท่าคำพูดของคนตัวโตคนนี้เลยสักนิด
“คุณจำฉันได้” หากจะบอกว่าตนเองจำอีกฝ่ายไม่ได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเธอมองเขาด้วยสายตาที่จำอีกฝ่ายได้
“แน่นอน ผมจำคุณได้และอยากเจอคุณอีกครั้งมาตลอด และคุณเองก็จำผมได้เหมือนกันใช่ไหมสาวน้อย” กองทัพตอบกลับและถามกลับ ก็คำพูดและสายตาของคนตัวเล็กนั้นบอกแทนคำพูดแล้วว่าจำตนได้
คำพูดที่ดังข้างหูทำให้ขนอ่อนในกายสาวลุกซู่ซ่าขึ้นอย่างประหลาด บูรณิการ์เองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เหมือนกัน อยากจะเดินหนี แต่แข้งขาก็ไม่มีแรงจะขยับเดิน อย่าว่าแต่เดินขนาดจะยืนก็แทบทรงตัวไม่อยู่และเหมือนว่าคนตัวโตจะรู้ว่าเธอแข้งขาอ่อนจึงตวัดแขนโอบกอดเอวเล็กของเธอรั้งเข้าไปหาเขา
“คะ...คุณจะทำอะไรของคุณ”
“ก็คุณเหมือนจะล้มนี่ ถ้ายืนไม่มั่นคงก็นั่งดีกว่าไหมคนสวย” พูดจบเขาก็ยกอุ้มคนตัวเล็กในวงแขนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังของเธอ จริงๆ อยากอุ้มกลับบ้านมากกว่าจะได้คุยกันแบบส่วนตัวและไม่มีเสียงเพลงรบกวน
“ปะ...ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ” บูรณิการ์ปัดแกะแขนแข็งแรงที่กอดโอบเอวตัวเองออก
“ให้ผมกอดไว้เถอะ ว่าแต่คุณชื่ออะไร ผมชื่อกองทัพ หรือจะเรียกว่าพี่เหิมก็ได้” เขาก้มหน้าพูดแนะนำตัวเองกับสาวน้อย
“ฉันชื่อบูรณิการ์ค่ะ” สาวน้อยบอกตอบกลับเสียงเบา แต่คนที่ก้มหน้าใกล้ได้ยินชัดเจนแม้เสียงเพลงในผับจะดังมากก็ตาม
“ชื่อเล่นล่ะ” กองทัพถามต่ออีก เพราะเขาอยากเรียกชื่อที่เป็นกันเองกับสาวน้อยในวงแขน
“บีบีค่ะ” ไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่บอกชื่อเล่นกับคนตัวโต
“น่ารัก พี่ชอบ” เขาบอกตอบกลับพร้อมเน้นทุกคำในประโยค
ตั้งแต่เล็กจนโตใช่ว่าจะไม่เคยโดนผู้ชายจีบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกจู่โจมแบบนี้ทำเอาใจสาวน้อยหวั่นไหวเต้นไม่เป็นจังหวะ ก็คนที่พูดหน้าตาหล่อเข้มแบบนี้ เป็นใครจะใจนิ่งได้ล่ะ ยิ่งถูกเขาโอบกอดแนบชิดแบบนี้ด้วยและลมหายใจของบุรุษก็เป่ารดข้างแก้มเนียนก็ยิ่งทำให้ใจสั่นไหวเต้นผิดจังหวะและดังรัวขึ้นเรื่อยๆ
“ไปทำความรู้จักกันไหม” กองทัพเห็นสาวน้อยไร้เดียงสาก้มหน้าเขินอายตัวเองก็เอ่ยชวนเธอตรงๆ ว่าตนอยากทำความรู้จักคนตัวเล็ก
“รู้จักกันแค่นี้พอแล้วค่ะ” เธอตอบเขากลับ เพราะเธอรู้สึกว่าหากรู้จักมากกว่านี้ ตนเองไม่ปลอดภัยแน่นอน และเรื่องราวของกองทัพ เธอก็ได้ฟังมาจากเพื่อนที่โรงแรมด้วยกันแล้วว่าเป็นยังไง เป็นผู้ชายที่ใช้ผู้หญิงสิ้นเปลืองและก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนเดิมกลับไปโรงแรมสักครั้ง ไปทีไรก็พาคนใหม่ไปตลอด
“คนสวยทำไมใจร้ายกับพี่เหิมแบบนี้ฮึ” เขาพูดตัดพ้อราวกับว่าสนิทกับคนตัวเล็กทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งที่สองเองและขยับตัวไปใกล้ชิดเธอกว่าเดิม แถมแขนก็กอดรัดเอวเล็กคอดแน่นขึ้น
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” เธอขืนตัวเองออกจากวงแขนแข็งแรงจนเกือบจะหงายหลังตกเก้าอี้ที่นั่ง แต่ก็ยังมีแขนใหญ่ของบุรุษโอบกอดรั้งประคองไว้ด้านหลัง
“ถ้าปล่อยเราก็ตกเก้าอี้ ให้พี่กอดไว้เถอะ” กองทัพตีหน้ามึนตอบกลับไม่ยอมปล่อย แต่ยังใช้มืออีกข้างที่ว่างดึงลากเก้าอี้มานั่งข้างเบียดคนตัวเล็กและกอดกระชับเอวเล็กคอดแน่นกว่าเดิม
“คุณไม่ควรทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จัก” เธอบอกเขาเสียงดุ
“ทำมากกว่านี้ก็ทำได้ ถ้าพี่เหิมจะทำกับบีบี”
“คนบ้ากาม!”
“บ้ากามต้องแบบนี้ อะ...อื้อ” แล้วกองทัพก็ปิดปากน้อยช่างเจรจาของบูรณิการ์ทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้คนตัวเล็กได้พูดสวนกลับ
บูรณิการ์ไม่คิดว่ากองทัพจะจูบตัวเอง เป็นจูบแรกของตนด้วย เธอทุบตีอกแกร่ง เสียงเพลงในผับที่ดังตอนนี้มันไม่ได้มีผลกับเธอและเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมผละปากถอยหนี ยังใช้มือโอบเอวเล็กแน่นแล้วอีกมือรั้งท้ายทอยของเธอให้แหงนเงยขึ้นรองรับปากตน
“อะ...อื้อ” ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา เพราะในผับแห่งนี้ไม่มีใครเขาสนใจกันอยู่แล้ว ทุกคนต่างดื่มและเต้นสนุกกัน กองทัพยกอุ้มคนตัวเล็กขึ้นจากเก้าอี้บดจูบพาเดินออกจากกลุ่มผู้คนไปด้านนอกที่ลับตาคน เขาต้องการมากกว่าจูบหญิงสาว
บูรณิการ์ถูกยกอุ้มเดินผ่านผู้คนมา อยากจะเรียกให้เพื่อนๆ ช่วยตน แต่เพื่อนก็ไม่หันมาทางตนสักคน ทุกคนกำลังสนุกกับการเต้นจนไม่สนใจเธอที่นั่งอยู่และตอนนี้ถูกคนที่เพิ่งรู้จักอุ้มเดินออกมาข้างนอกและปากของเขาก็บดจูบเอาแต่ใจจนแทบจะขาดอากาศหายใจ
“อะ...อื้อ” กองทัพรู้ทันทีว่าตนเป็นจูบแรกของบูรณิการ์ เขาพึงพอใจกับความหวานของโพรงปากน้อยแล้วผละถอนปากหนาออกห่างปากน้อยให้เธอได้หายใจ
อือ!
เมื่อปากได้รับอิสระ เธอก็รีบหอบหายใจนำอากาศเข้าไปเลี้ยงปอดตัวเอง เกิดมาเพิ่งเคยโดนจูบและเป็นจูบที่อุกอาจเหลือเกิน และเมื่อมองเห็นทางที่เขาจะอุ้มตนเองไป
“หะ...ห้องน้ำ คุณพาฉันมาทำไมที่ห้องน้ำ” “ก็มาทำความรู้จักยังไงล่ะ” “หมายความว่ายังไง อือ...” เธอเอ่ยถามเสียงหอบเหนื่อยอย่างสงสัย เพราะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงในประโยคของบุรุษ “เดี๋ยวก็รู้เองว่ายังไง” แล้วกองทัพก็เปลี่ยนเป็นอุ้มเธอขึ้นพาดไหล่แล้วเดินผ่านผู้คนเข้าไปในห้องน้ำ ไม่สนใจว่าห้องน้ำจะมีคนอื่นมองมาทางตนและหญิงสาว “คุณพาฉันมาในห้องน้ำชายทำไม” “ก็มาทำความรู้จักไงบีบี”แล้วเขาก็พาเธอไปยังห้องน้ำที่ว่างอยู่ เมื่อเข้าไปในห้องน้ำก็ปิดล็อกประตูแล้วปล่อยคนตัวเล็กยืนเอง แต่กักร่างเธอไว้กับผนังห้องน้ำป้องกันเธอหนีออกไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอุ้มผู้หญิงเข้าห้องน้ำชาย แต่ต่างกันที่ทุกคนยอมและเต็มใจที่จะตื่นเต้นไปกับตนเอง แต่กับสาวน้อยตรงหน้านี้ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจหวาดกลัว และนั่นมันทำให้เขารู้สึกอยากขย้ำแรงๆ ให้จมเขี้ยวฟัน อยากขบเม้มซอกคอระหง อยากขบเม้มริมฝีปากอ่อนนุ่มบางให้เกิดรอยราคี อยากกัดทุกซอกหลืบในร่างกายสาว “คุณมันบ้ากามอย่างที่ใครเขาพูดกันจริงๆ” “อยากรู้จักต้องสัมผัสเอง จะเชื่อคำพูดคนอื่นไม่ได้คนสวย เมื่อกี้จูบแรกส
เสียงเพลงจากด้านนอกดังเข้ามาถึงในห้องน้ำ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ดังเท่าเสียงหอบหายใจของเธอ บูรณิการ์แข้งขาอ่อนแรงหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านและสู้กับคนดิบเถื่อน ตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่าคนเราจะดูแค่หน้าตาไม่ได้ เพราะนิสัยและสันดานของคนเรามันต้องดูกันนานๆ อย่างผู้ชายคนนี้ เขาแทบไม่เหมือนคนไม่ดี แต่ตอนนี้เชื่อแล้วว่าไม่ดีและเลวมาก ‘ข่มขืน’ เขากำลังข่มขืนเธอในห้องน้ำของผับ แถมเป็นห้องน้ำชายด้วย “อะ...อื้อ” สมองของสาวน้อยแทบจะหยุดทำงานเมื่อถูกบดจูบเอาแต่ใจ เรียวลิ้นก็ถูกเรียวลิ้นของคนถ่อยรัดคลึงดูดกลืน ตอนนี้ทุกอย่างมันดูว่างเปล่าไปหมดสำหรับบูรณิการ์ เสียงผู้คนด้านนอกห้องที่ดังลอดเข้ามาในห้องน้ำมันไม่ได้ทำให้เธอตื่นกลัวแม้แต่น้อย “อ่า...ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้พี่เหิมอยากได้บีบีสุดๆ อ่า...”เขาดันร่างเล็กจนแผ่นหลังแนบเบียดจนจะกลืนกินเป็นเนื้อเดียวกับประตูด้านหลัง แล้วมือที่บีบขยุ้มขยำยกอุ
“ครั้งแรกที่มีคนด่าพี่เหิมแบบนี้ แต่พี่ยอมเพราะพี่ทำสารเลวกับบีบีจริงๆ แต่ตอนนี้บีบีก็เป็น ‘เมีย’ ของผู้ชายสารเลวคนนี้แล้วนี่ จะเสียใจทำไม พี่เหิมใช่จะหน้าตาไม่ดีเสียที่ไหน เผลอๆ หล่อกว่าพวกดารานายแบบเสียอีกนะทูนหัว” เขาเจ็บที่เธอด่า แต่ก็ยอมรับ เพราะตนทำกับเธออย่างคนบ้านป่าเมืองเถื่อนจริงๆ “ฉันเกลียดคุณที่สุด อะ...อื้อ” แล้วเธอก็ร้องครางเจ็บออกมาเมื่อคนตัวโตยกร่างเธอขึ้นขย่มลงบนตักของเขาด้วยจังหวะหนักหน่วงพร้อมเอวสอบแอ่นเด้งรับตอบสนองแรงขย่มที่เขาบังคับเอาแต่ใจไปด้วย “อ่า...แน่นเหลือเกิน ไม่ไหวจริงๆ อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวภายในของบีบีก็คุ้นเคยกับความใหญ่ยาวของพี่เองทูนหัว อ่า...เสียว” เขานั่งบนชักโครกแอ่นเด้งเร่าจังหวะขึ้นรับคนตัวเล็กที่ตัวเองบังคับยกอุ้มให้เธอขย่มโยกโคนเนื้อตัวเองตามใจปรารถนา “อะ...เจ็บ ได้โปรดหยุดเถอะ อ่า...ไม่ไหว เจ็บ อ่า...”ตอนนี้บูรณิการ์มีสองความรู้สึกเกิดขึ้นยามตั
กองทัพพาคนตัวเล็กกลับมาบ้านด้วย ก็เธอเล่นหลับคาอกของเขาในห้องน้ำจนต้องพามาด้วย อีกอย่างเขาก็ยังอยากจะเชยชมคนสวยตัวเล็กต่อ จึงไม่อยากปล่อยเธอกลับบ้าน พอมาถึงบ้านก็จัดการเปลื้องเสื้อผ้าเธอออกโยนทิ้งแล้วนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เธออย่างอ่อนโยน “สวยไปทั้งตัวเลยนะบีบีของพี่เหิม” เขาทั้งเช็ดทั้งก้มลงจูบขบเม้มผิวกายนวลเนียนลออไปด้วย และสองมือสากกร้านก็เคล้นคลึงสองเต้าอวบใหญ่ล้นมือเกินคาด ก่อนหน้านี้เขาได้แค่มองมันผ่านเสื้อ ตอนนี้ได้เห็นเนื้อแท้และได้สัมผัสเคล้นคลึงแล้ว เขาไม่สนใจว่าเจ้าของเต้าจะหลับ ก็เขาจะขยำซะอย่าง กองทัพทิ้งผ้าเปียกในมือแล้วใช้มือเปล่าๆ ตัวเอง บดเร่าหน้าอกอวบอูมล้นมือของสาวน้อยแล้วเคลื่อนตัวคร่อมทับดูดกลืนกินยอดอกแข็งตึงของคนที่หลับสนิท เขาทำขนาดนี้เธอยังคงหลับไม่ยอมตื่น ยิ่งเธอหลับเขาก็ยิ่งตื่นเต้นที่ได้สัมผัสเฉกเช่นโจรเถื่อนในตอนนี้ เขากำลังจะลักหลับ ‘เมีย’ ตัวเอง ใช่...ก็ตอนนี้เธอเป็นของตน มีเพียงคำนี้คำ
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด! กองทัพกำลังนอนกอดคนตัวเล็กหลับฝันหวานก็ต้องตื่นขึ้นมารีบกดรับโทรศัพท์เมื่อตอนเช้ามืด เพราะถ้าช้ากว่านี้เธอจะตื่น แต่จะว่าไปคนหลับลึกขี้เซาอย่างบูรณิการ์ไม่น่าตื่นถึงโทรศัพท์จะสั่นเตือนเสียงดังนานแค่ไหนก็ตาม แต่ก็เป็นเขาเองนั่นแหละรำคาญจนต้องลุกขึ้นมาคว้าหยิบโทรศัพท์ที่วางบนหัวเตียงมากดรับสายพร้อมกรอกเสียงห้วนส่งไปในสายบอกถึงอารมณ์ตัวเองในตอนนี้ “มีอะไรของมึงไอ้พี่หิน?” “เหมือนอารมณ์ไม่ดีที่กูโทรหา” “มึงแหกตาดูเวลามั่งว่ามันกี่โมงที่มึงโทรมา” “ตีห้า” “แล้วมึงคิดว่ากูต้องดีใจไหมที่มึงโทปลุกแต่เช้าไอ้พี่หิน” “แน่ใจว่าปลุก ไม่ได้รบกวนเวลามึงกับอีหนูที่ไหน” กองพลตอบกวนกลับมา
“ให้ตายสิวะ!” กองทัพเดินวนไปวนมาในห้องทำงานของตัวเองด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านใจ ก็ตั้งแต่วันนั้นจนตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบจะอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้เจอหน้าของบูรณิการ์ ใช่ว่าจะไม่ได้ไปที่โรงแรม เขาไปแทบทุกวัน แต่ไม่ได้หิ้วพาสาวไหนไปด้วย เขาไปนอนค้างที่นั่น จากที่เช่าไว้นอนเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่ตอนนี้ต้องไปทุกวันเพื่อที่จะได้เจอกับบูรณิการ์ เพราะหญิงสาวทำงานที่นั่น ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “เข้ามา!” เสียงเข้มห้วนอนุญาตคนที่หน้าประตูให้เข้ามาในห้องได้ แอค! ชายเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารหลายเล่มที่หอบมาด้วย “มีเอกสารมาให้คุณกองทัพเซ็นครับ” ชายเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของเจ้านายหนุ่มเมื่อเจ้านายเดินไปทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทำงานป
บูรณิการ์หนีมาหลบในห้องน้ำหวังให้กองทัพจากไป เธอหลบซ่อนตัวในห้องน้ำนานเกือบสิบนาทีจนมั่นใจว่ากองทัพน่าจะไปจากหน้าเคาน์เตอร์แล้วจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมาส่องกระจกเช็กดูความเรียบร้อยตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่พอเดินผ่านประตูออกมาก็ต้องหยุดเท้าที่เดิน เมื่อเสียงทุ้มเข้มคุ้นหูดังขึ้น “รอตั้งนาน” “คุณกองทัพ!” “เลิกเรียกห่างเหินสักทีบีบี ผัวง่วงจะตายแล้ว” แล้วเขาก็ฉวยโอกาสจับข้อมือเล็กดึงลากให้เดินตามตัวเอง ไม่สนใจว่าเธอจะขืนตัวจิกเท้าต้านแรงตัวเอง แต่มีหรือเรี่ยวแรงของเธอจะสู้เรี่ยวแรงช้างศึกอย่างตน “ปล่อยฉันคุณกองทัพ!” เธอสั่งเขาเมื่อถูกดึงลากมาหยุดยืนที่หน้าลิฟต์โดยสารท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมงานในโรงแรมที่อยู่ประจำกะดึกวันนี้กับตนเอง “ปล่อยเธอก็หนีพี่น่ะสิบีบี ถ้าไม่อยากอายคนไปมากกว่านี้ก็ยอมไปกับพี่เหิมดีๆ ไม่
เกษมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบน้ำชาหลังทานมื้อเช้าอิ่มแล้วพี่สาวก็เดินถือถาดผลไม้เข้ามาในห้องนั่งเล่นนั่งลงโซฟาตัวยาวอีกตัวที่อยู่ถัดทางขวามือของตัวที่ตนนั่ง เกษมปิดหนังสือพิมพ์แล้วพับหนังสือพิมพ์แล้ววางลงบนโต๊ะกลางโซฟาตรงหน้าแล้วหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบดื่ม “สีหน้าพี่บู่ไม่ค่อยดี มีอะไรรึเปล่าครับ” “ก็หลานทั้งสามน่ะสิ พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรไม่ค่อยสนใจพี่เลยพ่อเษม”บู่บอกน้องชาย กองพลก็ไปอยู่เหมืองไม่ยอมกลับมานอนบ้านทั้งๆ ที่ปกติมาค้างที่บ้านให้เห็นหน้าทุกวัน กองบินก็ไปฝรั่งเศสกว่าจะกลับก็เป็นอาทิตย์ แถมกลับมาก็ใช่จะกลับมาที่กำแพงเพชร เดี๋ยวก็อ้างงานที่กรุงเทพฯ ยุ่งเยอะอีก ส่วนไอ้หลานคนเล็ก กองทัพก็อยู่สระบุรี ไม่เข้าใจทำไมต้องไปมีธุรกิจที่นั่นด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ หลานชายของนางถึงต้องไปอยู่กันคนละที่ ส่วนไอ้คนโตว่าทำงานอยู่บ้านด้วย แต่พักนี้ทำตัวแปลก “พวกมันไม่สนใจ พี่ก็โทรหาพวกมันสิพี่บู่ จะรอให้พวกมั
เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ตอนนี้ลูกชายอายุได้สองขวบแล้ว เด็กชายทัพฟ้า สุปรีย์ หรือน้องบูม และกำลังจะเป็นพี่ชาย เพราะอีกสองเดือนเธอก็จะคลอดลูกคนที่สอง ใครจะคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานกับกองทัพของเธอจะมีความสุขขนาดนี้ และเธอไม่อยากเชื่อว่าเสือผู้หญิงอย่างเขาจะจมปลักรักเธอแค่คนเดียว แต่ทุกอย่างมันก็พิสูจน์แล้วว่าเขา ‘รัก’ เธอและมีเธอแค่คนเดียวได้จริงๆ “ยิ้มอะไรอยู่ฮึทูนหัว” กองทัพที่เพิ่งกลับมาจากทำงานเดินเข้ามาหาภรรยาที่กำลังทำมื้อเย็นในครัว ส่วนลูกชายอยู่กับคุณตา คุณยายและคุณลุงที่สนามเด็กเล่น “มีความสุขค่ะ อีกอย่างบีบีก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเราสองคนจะรักกัน” “เชื่อเถอะ ท้องสองแล้วนะ แล้ววันหยุดนี้เพื่อนของบีบีจะมากินข้าวที่บ้านด้วยกันไหม” กองทัพถามภรรยาพร้อมปลดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตแล้วพับขึ้นถึงข้อศอก อีกข้างก็ทำเช่นเดียวกัน&nb
พอตากลับมามองเห็นเป็นปกติ กองทัพก็ได้เห็นว่าตอนนี้บูรณิการ์ท้องแก่มากแล้ว และเขาเองก็มีความต้องการเหมือนกัน ตั้งนานแล้วแทบจะลงแดงตาย พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ไม่รอช้าจะอุ้มร่างอวบอิ่มของแม่ของลูกไปยังเตียงนอนนุ่มของตัวเองที่เคยพาบูรณิการ์มานอน “อือ...พี่เหิมอะไรกันคะเนี่ย” “ไม่อะไรแล้วทูนหัว บีบีก็รู้ว่าพี่เหิมเป็นคน ‘เซ็กซ์’ จัดแค่ไหนและก็รู้ว่าพี่เหิมต้องการเรามากแค่ไหนตอนตายังไม่เปิด” “แต่มันกลางวันอยู่นะคะ คุณพ่อ คุณแม่และพี่ชายของพี่เหิมทั้งสองก็อยู่ด้วย” “พวกเขาเข้าใจ ให้พี่เถอะนะ” แล้วเขาก็วางร่างอวบอิ่มที่อุ้มมานอนราบไปกับเตียง “แต่บีบีอายนะคะ” “มีอะไรต้องอายกันบีบี เราเป็นผัวเมียกันนะ พรุ่งนี้เราก็จะไปจดทะเบียนสมรสกันแล้ว”&nbs
นานหลายชั่วโมงกว่ากองทัพจะถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดหลังจากผ่าตัดตาเสร็จ หมอบอกว่าเขาจะกลับมามองเห็นได้ปกติ แต่ตอนนี้ให้ทุกคนช่วยดูแลคนป่วยก่อน บูรณิการ์มองคนที่นอนหลับบนเตียงพักฟื้นมีผ้าสีขาวพันที่แขนและที่ตา ยิ่งมองเขานอนนิ่งก็ยิ่งเจ็บปวดและกลัว กลัวว่าเขาจะจากไป โชคดีที่เขายังมีลมหายใจ มือน้อยยกขึ้นปาดป้ายเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มทิ้ง อึก! “ฉันไม่อยากให้คุณตาย ห้ามตายนะ ฮือ...” เธอรู้สึกผิดและเสียใจกับคำพูดตัวเองก่อนหน้านี้ที่พูดกับกองทัพที่บ้าน และคิดว่าเพราะตัวเอง กองทัพถึงเกิดอุบัติเหตุ “พี่เขาปลอดภัยแล้วลูก ไม่ต้องร้องนะหนูบีบี” นารีโอบกอดว่าที่สะใภ้คนเล็กของตัวเองที่กำลังยืนร้องไห้สะอื้นอยู่ข้างเตียง “เพราะหนู เพราะหนูพูดแบบนั้นกับเขา เขาถึงเป็นแบบนี้ อึก! ฮือ...” “ไม่เก
นารีกับเกษมพาลูกชายมาบ้านของผู้ว่าบันลือและครูจิตตราตั้งแต่เช้า มาถึงก็แนะนำตัวพร้อมบอกเจ้าบ้านว่าตนทั้งสามมาที่บ้านของทั้งสองในเช้าวันอาทิตย์นี้ทำไม เจ้าบ้านทั้งสองพอได้ยินเรื่องราวจากปากของกองทัพแล้วก็พากันเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความโกรธและไม่พอใจที่ชายหนุ่มทำลายศักดิ์ศรีลูกสาวตนเองและยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้บูรณิการ์กำลังตั้งครรภ์ก็ยิ่งโกรธ ทำให้คนที่เดินผ่านมาได้ยินพอดีอย่างบรรณวิช์เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของกองทัพขึ้นแล้วอัดหมัดหนักๆ เข้าหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยความโกรธ โดยที่พ่อกับแม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ตุ้บ! โอ๊ย! กองทัพโดนหมัดของพี่ชายบูรณิการ์จนหน้าหัน โหนกแก้มแตก แม้จะไม่พอใจอยากจะสวนกลับ แต่ก็ได้แต่เม้มปากกำมือแน่น เพราะยังไงตัวเองก็เป็นคนผิดและสมควรโดนแบบนี้แล้ว “มึงทำน้อ
ตอนนี้เขาตามหาบูรณิการ์เจอแล้ว จากที่ใช้เวลามาอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้พี่ชายทั้งสองก็ประสบปัญหาหัวใจพร้อมกับตนเองและทั้งสองก็ ‘เมีย’ อุ้มท้องหนีไปเหมือนกันกับตน แต่ทุกคนสมหวังกันแล้ว มีความสุขกับพี่สะใภ้แล้ว เหลือแต่เขาที่ยังคงตามง้อบูรณิการ์อยู่ เขาอิจฉาพี่ชายทั้งสองเหลือเกินที่พี่สะใภ้ยอมให้อภัยแล้ว เหลือแต่ตัวเองนี่แหละที่ต้องมานั่งดื่มย้อมใจทุกวันในห้องของโรงแรมที่เคยเป็นสวรรค์ของตนและบูรณิการ์ ห้องนี้แหละที่ทำให้เขาและเธอได้มีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด! “ครับแม่” เมื่อเห็นว่าเป็นแม่โทรมา เขาจึงรีบรับ ไม่อยากให้ท่านรอนาน “อยู่ไหนน้องเหิม ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่บ้านนะลูก” นารีเอ่ยถามลูกชายคนเล็ก นางได้อยู่ยาวตั้งแต่กองพลโดนยิงอาการสาหัสและมีเรื่องวุ่นวายต่อให้จัดการจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปหาสามีและลูกที่ต่างประเทศ โชคดีที่พวกเขาเข้าใจนางว่าลูกชายทั้งสาม
บัวบูชากับอำนาจมองหลานสาวที่ตนเองรักเหมือนลูกสาวแท้ๆ เพราะทั้งสองแต่งงานอยู่กินด้วยกันมานานยี่สิบปีก็ไม่มีโซ่ท้องคล้องใจ แต่ก็มีหลานสาวและหลานชายลูกพี่ชายมาให้ได้ชื่นใจ และตอนนี้บูรณิการ์ก็มาอยู่ด้วยที่นครปฐม มาช่วยงานที่ร้านทองกิจการของตนและสามีและช่วยจัดการบริหารระบบของตลาดสดให้ใหม่ “คุณว่าหนูบีบีดูซึมๆ ไหมคะ” บัวบูชาถามสามีพร้อมกับมองไปทางหลานสาวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนหลังบ้านในตอนเช้า “ผมสังเกตตั้งแต่วันแรกที่หลานมาถึงที่นี่แล้วแหละบัว แล้วบัวได้โทรถามพี่บันลือและพี่จิตตรารึยังว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูบีบีถึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ชอบแล้วมาอยู่ช่วยงานเราที่นี่” อำนาจเอ่ยกับภรรยา “บัวโทรไปถามพี่บันลือแล้วค่ะ แต่พี่บันลือก็ไม่รู้เรื่องอะไร ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของหนูบีบีเอง อีกอย่างพี่บันลือก็บอกว่าให้หนูบีบีพูดเอง เราอย่าไปเซ้าซี้เดี๋ยวจะทำให้บีบีเกิดความเครียดได้ค่ะ” บัวบูชาบอกสามี&n
บูรณิการ์เตรียมซองขาวไว้ลาออกติดกระเป๋าไว้ตลอดมาสักพักแล้ว พอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตั้งครรภ์ลูกของคนถ่อย เธอก็นำซองขาวมายื่นที่ฝ่ายบุคคลก่อนจะกลับบ้านทันที จากที่ว่าจะยื่นลาออกตอนสิ้นเดือนนี้ แต่ตอนนี้คงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว กองทัพก็เห็นที่ตรวจครรภ์แล้ว พอยื่นจดหมายลาออกเสร็จก็กลับบ้านของตัวเองทันที พอมาถึงบ้านก็เจอกับพ่อและแม่ที่เลิกงานกลับมาก่อนตัวเอง เธอก็บอกท่านทั้งสองว่าตัวเองได้ลาออกจากที่ทำงานแล้วและพร้อมจะไปทำงานช่วยคุณอาที่นครปฐม “แน่ใจแล้วเหรอลูก?” ผู้ว่าบันลือถามลูกสาว เพราะคุยกันครั้งก่อนยังไม่มีแววว่าจะลาออก แต่อยู่ๆ วันนี้ก็มาบอกว่าลาออกแล้ว “ค่ะพ่อ บีบีจะไปช่วยงานคุณอาค่ะ” เธอบอกท่านทั้งสองเสียงหนักแน่น “ลูกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมลูก ไม่ใช่ตัดสินใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบใช่ไหมบีบี” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม เพราะสังเกตเห็นตาที่แดงก่ำของลูกสาวเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มายังไงไม่รู้&n
หากกองทัพไม่ได้ถาม เธอก็ลืมไปเลยว่าตั้งแต่เดือนที่แล้วประจำเดือนของตนนั้นเลื่อน จนมาเดือนนี้ก็ยังไม่มา ทำให้ต้องแวะร้านขายยาซื้อที่ทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจขณะเดินทางมาทำงานในช่วงกะเช้า อาทิตย์นี้เธอทำงานกะเช้ายาวจนถึงสิ้นเดือน ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด! มีสายเรียกเข้า เธอจึงหยุดเดินขณะจะเดินไปห้องน้ำแล้วล้วงกระเป๋าสะพายตัวเองหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นสมทรง เพื่อนสนิทของตน “บีบีเสาร์ว่างไหม?” สมทรงกรอกเสียงที่พยายามดัดให้เล็กส่งมาในสายที่บูรณิการ์กดรับ “เดี๋ยวบอกอีกทีแล้วกันสมทรงว่าว่างไหม”เธอยังไม่พร้อมจะเจอเพื่อนๆ ตอนนี้เพราะครั้งที่แล้วเพื่อนๆ ก็ซักเรื่องที่เธอถูกผู้ชายอุ้มออกจากผับแล้วหายไปด้วยกันทั้งคืน จนตอนนี้เธอก็ยังบอกเพื่อนๆ ไม่ได้ เพราะอายที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง ทั้งๆ ที่ปกติมีเรื่องอะไร ปัญหาอะไรจะเล่าให้สมทรง นิภา
เกษมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบน้ำชาหลังทานมื้อเช้าอิ่มแล้วพี่สาวก็เดินถือถาดผลไม้เข้ามาในห้องนั่งเล่นนั่งลงโซฟาตัวยาวอีกตัวที่อยู่ถัดทางขวามือของตัวที่ตนนั่ง เกษมปิดหนังสือพิมพ์แล้วพับหนังสือพิมพ์แล้ววางลงบนโต๊ะกลางโซฟาตรงหน้าแล้วหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบดื่ม “สีหน้าพี่บู่ไม่ค่อยดี มีอะไรรึเปล่าครับ” “ก็หลานทั้งสามน่ะสิ พักนี้ไม่รู้เป็นอะไรไม่ค่อยสนใจพี่เลยพ่อเษม”บู่บอกน้องชาย กองพลก็ไปอยู่เหมืองไม่ยอมกลับมานอนบ้านทั้งๆ ที่ปกติมาค้างที่บ้านให้เห็นหน้าทุกวัน กองบินก็ไปฝรั่งเศสกว่าจะกลับก็เป็นอาทิตย์ แถมกลับมาก็ใช่จะกลับมาที่กำแพงเพชร เดี๋ยวก็อ้างงานที่กรุงเทพฯ ยุ่งเยอะอีก ส่วนไอ้หลานคนเล็ก กองทัพก็อยู่สระบุรี ไม่เข้าใจทำไมต้องไปมีธุรกิจที่นั่นด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ หลานชายของนางถึงต้องไปอยู่กันคนละที่ ส่วนไอ้คนโตว่าทำงานอยู่บ้านด้วย แต่พักนี้ทำตัวแปลก “พวกมันไม่สนใจ พี่ก็โทรหาพวกมันสิพี่บู่ จะรอให้พวกมั