แสงเทียนมารู้ตัวเองว่าเสียท่า ก็ต่อเมื่อใบหน้างามของคนที่ตัวเองนอนทับโน้มเข้ามาใกล้เพียงลมหายใจสัมผัส“ก็คุณยั่วโมโหนี่คะ” แสงเทียนรู้ตัวว่าพลาด ก็พยายามไม่ขึ้นเสียงใส่คนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเธออยู่ระดับไหน“อ้อหากโดนยั่วโมโห ก็ระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ งั้นแบบนี้ฉันก็ระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็ไม่ผิดใช่ไหม” พูดจบเธอก็ฉกจมูกลงบนแก้มสีเรื่อเป็นการเอาคืนทันที“อะ...” แสงเทียนอ้าปากค้าง ก่อนจะหาลิ้นตัวเองเจอ“นี่ คุณ คุณฉวยโอกาส ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะคะ” เธอร้องห้ามเสียงแปร๋น หากแต่ธัญกรบิดยิ้มมุมปากสายตาแพรวพราว“เรื่องอะไร เกมนี้คุณแพ้แล้วนะ ตอนนี้ก็ถึงบทลงโทษล่ะ...”ประโยคที่เสมือนมนต์สะกด ทำให้แสงเทียนหยุดนิ่ง และเป็นโอกาสให้เจ้าของสายตาแพรวพราวได้จังหวะสำรวจอีกฝ่าย อีกทั้งสายตาจ้องลึกไปยังร่องอกโดยคอเสื้อที่ห้อยลงมาพอให้มองเห็นเนินเนื้อเนียนใต้ร่มผ้าถนัดตา และที่สำคัญความตูมเต่งสัมผัสเสียดสีจนรู้สึกได้ แม้มีเนื้อผ้าบางขวางกั้นก็ไม่ได้ทำให้ความต้องการทางร่างกายของเธอที่ตื่นเพริดหดหาย กลับกันมันถูกกระตุ้นด้วยสารบางอย่างที่ออกฤทธิ์ทันตาเห็น จนอยากกอดรัดเคล้นคลึงร่างกลมกลึงโดยไม่ประวิงเวล
สีผิวที่เคยขาวผ่องของแสงเทียนตอนนี้กลายเป็นสีแดงเรื่อฉ่ำสีด้วยความเสียวกระสัน ด้วยความต้องการแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบ ควบคุมจุดอ่อนไหวจนอยากปลดปล่อย เพราะการกระทำของธัญกรที่กระตุ้นความรู้สึกและเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเธอให้เดือดพล่านไปทั่วสรรพางค์กายแผ่นหลังบางลอยแอ่นกายขึ้น ประหนึ่งเชิญชวนให้อีกฝ่ายโน้มลงมาครอบครองปลายถันที่ชูช่องามสล้างของตนเองได้ถนัดถนี่ขึ้น และนั่นเป็นการกระทำที่แสงเทียนคิดว่าการตอบสนองของร่างกาย มันน่าละอายยิ่งนัก แต่จิตใจส่วนลึกไม่อาจต้านความปรารถนาที่กำลังเล่นงานตัวเองได้!ปลายถันสีชมพูระเรื่อชูช่อแข่งกันอวดสายตา นักธุรกิจสาวผู้ช่ำชองถึงกับกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงลำคออย่างยากลำบาก เมื่อสิ่งที่กำลังกลืนลงไปนั้นแห้งผากดั่งลำธารขาดน้ำมานานนับปี ผิวขาวนวลเนียนเกลี้ยงเกลาไร้ตกกระ วาบไหวยามฝ่ามือเรียวไล้สัมผัสผ่าน “อึบ...” ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากัน เพื่อสกัดกลั้นเสียงครางที่เกือบเล็ดลอดออกมาประจานตัวด้วยความกระสันเสียวไว้ พร้อมกันนั้นร่างบางผวาเฮือกเมื่อ หญิงสาวผู้ช่ำชองตวัดเรียวลิ้นร้อนชื่นเข้าครอบครองปลายถันชูชัน ขบเม้มดูดดึง จนกลางลำตัวของแสงเทียนปวดทรมาน“อืออ คุ
ด้วยความต้องการของร่างกายที่หลุดอยู่ในห้วงไฟราคะ เธอจึงหลุดปากออกมา ธัญกรยิ้มกริ่มจากนั้นก็เริ่มขยับนิ้วและเพิ่มจำนวนเป็นสอง แต่ร่างบางมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย ทำให้เจ้าของนิ้วเรียวหยุดชะงัก และเปลี่ยนใจค่อย ๆ ขยับนิ้วที่เพิ่มเข้าไปออกมา เมื่อเห็นว่าร่างกายของแสงเทียนยังไม่คุ้นชินและคับแน่นเกินกว่าจะไปต่อได้เมื่อทุกอย่างลงตัว โดยร่างกายก็ตอบสนอง โดยแอนสะโพกโยกรับจังหวะยามนิ้วมือเรียวกระแทกลงไปเป็นจังหวะตอบรับธัญกรยิ้มกริ่มจากนั้นก็เร่งความเร็วของนิ้วที่สะบัดพลิ้วอย่างย่ามใจ“อ่าส์... เทียน ไม่ไหวนะคะ เร่งอีกค่ะ...”เมื่อเจ้าของนิ้วเรียวยาวเร่งจังหวะ เธอก็เกือบปริแตกจนร้องขอ ในขณะที่หัวใจเต้นแรงท้องไส้บิดมวนด้วยความทรมานที่เต็มไปด้วยความวาบหวามรัญจวน จึงเผลอตัวเผลอใจปล่อยคำที่เขาต้องการออกมา “ดีมาก...” ธัญกรก้มหน้ากระซิบใกล้ติ่งหูขาวใจพองโต เธอชนะแล้วธัญกร... จากนั้นเธอก็เพิ่มความเร็วและแรงขึ้น ส่วนมืออีกข้างเลื่นไปทำหน้าที่ เคล้นคลึงสองเต้ากลม ก่อนจะโอบอุ้มเข้าหาอุ้งปากชื่นแล้วดูดกลืนเม็ดทับทิม ใช้ปลายลิ้นขยับสะบัดพลิ้วอย่างหยอกเอิน“อ่า ซีดส์...” คนใต้ร่างเริ่มส่งเสี
แสงเทียนมองบน ...นอกจากเป็นนักธุรกิจหญิงที่เก่งและหาตัวจับยาก ผู้หญิงคนนี้ก็หลงตัวเองเอามาก ๆ เช่นกัน“ไหนคุณบอกว่าคนอย่างคุณ งานมากจนล้นมือ แต่ทำไมถึงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ฉัน’ เรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นดีจัง” เธอเก็บคำว่า ‘ฉัน’ ไว้ในใจธัญกรรู้ว่าแสงเทียนกำลังหว่านแหเพื่อให้เธอคลายความจริงบางอย่างออกมาและแน่นอนว่าครั้งนั้นเธอได้ใช้เสน่ห์ล่อให้ใบข้าวเข้าไปสืบและตีสนิทแสงเทียนเพื่อล้วงข้อมูลบางอย่างครั้งที่อยู่ต่างประเทศ“รู้ไหมว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง... ” แล้วสายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างบาง เป็นการย้ำว่าสิ่งไหนที่เธออยากได้ก็ต้องได้ แม้ต้องเสียเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมากเพียงใดก็ตามแสงเทียนกัดริมฝีปากของตัวเองจนห้อเลือด สะบัดหน้าหนี อยากตะโกนบอกไปนักว่า ‘เขาช่างเป็นคนที่หลงตัวเองได้อย่างน่าเกลียด’ หากแต่ที่เขาพูดมามันเรื่องจริง คนมีเงิน แค่บอกว่าต้องการสิ่งไหน ทุกคนก็พร้อมจะประเคนให้อย่างไม่มีอิดออด รวมทั้งศักดิ์ศรี ที่เธอยอมขายให้ตามสัญญาหากเธอไม่ไร้หนทาง หรืออาจเป็นเพราะฟ้ากำหนดให้มาเจอเจ้ากรรมนายเวรอย่างธัญกร!เมื่อคิดว่า ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว แสงเทียนจึงหันหลังเด
“ไหวค่ะ” แล้วดันตัวเองลุกขึ้น โดยมีธัญกรช่วยประคองไว้อีกที แต่อาการเดินกระเผลกของเธอ ทำให้ธัญกรตัดสินใจยกร่างบางขึ้นอุ้ม แสงเทียนคว้ารอบคอคนตัวโตไว้แน่นด้วยความตกใจ“คุณธัญ คุณทำอะไร ปล่อยเทียนลงค่ะ” เธอร้องบอกด้วยความตกใจและเกรงใจในคราเดียวกัน “อยู่นิ่ง ๆ ถึงห้องแล้วจะปล่อย” เธอบอกเสียงเด็ดขาด“เทียนหนักนะคะ” เธอบอกเสียงอ่อนลง“ผู้หญิงบางคนยังอุ้มผู้ชายที่เป็นแฟนตัวเองเลยนะ” ธัญกรยกข้ออ้าง“แต่นี่เรา...” แสงเทียนแย้ง แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนธัญกรพูดแทรกด้วยน้ำเสียงติดดุ“เงียบเลย!”แสงเทียนกัดปากตัวเอง จิกตามองค้อน “อยากเดินออกมาอ่อยไม่รู้ตาม้าตาเรือ”“คุณ!” แสงเทียนโกรธจนไม่รู้จะหาคำใดมาแย้งได้ เพราะเธอไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แต่เลือกที่จะปิดปากตัวเองโดยปล่อยให้สายตาทำงานแทนไป“หรือไม่จริง”แต่ธัญกรยังไม่หยุด เธอจึงต้องโต้กลับไปอย่างกดไม่อยู่“ใครอ่อยคุณ” เธอย้อนถาม หากแก้มนวลกลายเป็นสีแดงเรื่อยังไม่จางลง“งั้นอ่อยใคร อย่าบอกนะ ว่าที่เดินออกมานี่เพื่อจะไปอ่อยแขกคนอื่น ๆ นี่คิดนอกใจเชียว ไม่งั้นฉันเล่นคุณหนักแน่” เธอต่อว่าและวขู่กำชับแสงเทียนตาเบิกกว้าง อยากตะกายหน้
หื่น! ต่อว่าด้วยความหมั่นไส้“แน่จริงก็อย่าด่าในใจสิ” ธัญกรพูดขัดขึ้น“หืออ...” แสงเทียนลากเสียงขึ้นจมูก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเธอได้ จึงโพล่งออกไปด้วยความหมั่นไส้ “มาสิงร่างเถอะ” เธอประชด“แน่ใจนะที่พูด” ธัญกรส่งสายตากรุ่มกริ่ม แสงเทียนหน้าร้อนสลับกับกระดากอาย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับประโยคกลับมาเช่นนี้ เถอะ พร้อมกระโดดเข้าใส่ตลอด!“...” คนบ้า! เธอฟิดฟัดอยู่ในใจ“ว่าไงล่ะ ตกลงยอมให้สิงหรือเปล่า”ธัญกรยังสนุกกับการแหย่ให้อีกฝ่ายอับอาย เมื่อเห็นว่าแสงเทียนไม่แน่จริงอย่างที่พูด“คุณธัญ...” เมื่อโดนแหย่มาก ๆแสงเทียนก็ทั้งเคืองทั้งอายเลยผลุดลุกขึ้นแล้วแขย่งเท้ารีบเดินเข้าห้อง ธัญกรไม่คิดว่าแสงเทียนจะดื้อเดินหนีทั้งที่เท้าเจ็บ ก็รีบเดินตามไปประกบ“ตามมาทำไมเล่า” เธอถามเสียงขม แต่ธัญกรไม่สนรีบตอบกลับ“ก็เป็นห่วง...”คนที่ปรับอารมณ์ไม่ได้หยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้า สายตาของเธอธัญกรเห็นถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง แต่จะช่วยอะไรได้เมื่อต่างคนต่างเลือกเดินมาจุดนี้...“ห่วงทำไม ก็คนคนหนึ่งที่ทำเพื่อสัญญาเท่านั้น ไม่ต้องแสดงความห่วงใย ลำบากใจคุณเปล่า ๆ ”แม้จะเป็นประโยคที่เจ็บปวด แต่เธอก็กลั้นใจ
เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอหยุดแผ่วลง ก่อนจะขยับตัวพลิกไปอีกด้าน ธัญกรที่นอนมองใบหน้างาม รีบหลับตาลง ทั้งที่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ‘คุณสวยและฉลาด...แต่คุณก็คือลูกสาวของ ‘ปิยะ เตชะรัฐ’ แล้วคุณก็เลือกเกิดไม่ได้...’ เปลือกตาที่เคยปิดสนิทปรือขึ้นพร้อมคำถามอยู่ในใจ แสงเทียนอยากเขย่าร่างบางที่นอนเคียงข้างอยู่ให้ลุกขึ้นมาตอบคำถามเธอเหลือเกิน หากติดที่ว่าเธอกลัว ว่ามันจะจบลงแบบก่อนหน้าอีก...ก็ผู้หญิงตรงหน้าหาเรื่องเอาเปรียบเธออยู่ร่ำไป!เมื่อต่างคนต่างเงียบบวกกับอากาศเย็นสบายต่างก็กลับสู่ห้วงนิทราพร้อม ๆ กับความอ่อนล้าของทั้งคู่รุ่งเช้าของวันใหม่ร่างบางที่เคยเว้นระยะห่าง หากเมื่อเวลาผ่านไป กลับอยู่ในสภาพก่ายกอดกัน ประหนึ่งต่างฝ่ายต่างต้องการความอบอุ่นของกันและกัน และถูกปลุกด้วยแสงสว่างยามเช้าที่ส่องผ่านช่องว่างของม่านหน้าต่าง ทำให้นัยน์ตาที่หลับพริ้มอยู่เริ่มขยับปรือน้อย ๆ หากแต่ประสาทรับรู้ยังคงหนักอึ้ง ค่อย ๆ รู้สึกถึงความสว่างและเสียงนกน้อยร้องประสานก้องไปทั่วบ้านพัก“อื้อ...” เสียงแผ่วดังขึ้นแล้วบิดตัวเพื่อลดความเมื่อยขบ ก่อนจะขยับตัวแล้วนอนหงาย “เช้าแล้วหรือนี้...” แสงเทียนลืมตาอย่างยากล
“เป็นงานเหมือนกันนี่...”จังหวะหนึ่งธัญกรหยุดพร้อมกับเอ่ยปากชม หากคนบนตักหูอื้อ สมองเบลอกลับไม่ได้ยินคำใด นอกจากตั้งหน้าตั้งตาแอ่นอกยกสะโพกโยกรับการสัมผัสจากนิ้วเรียวที่ยังบรรเลงอยู่ในช่องแคบที่ตอดรัด โดยเธอแหงนหน้าพร้อมกับห่อปากสูดอากาศเข้าปอด เมื่อต้องการตัวช่วยผ่อนคลายความรัญจวนที่อีกฝ่ายเหมือนเสแสร้งแกล้งหยอกเอินให้เธอคลั่ง“อ๊ะ...คุณธัญ ทะ เทียน ไม่ไหวแล้ว...” เธอเว้าวอนเสียงแผ่ว เนื้อตัวแดงก่ำ เมื่อเพลิงกามาที่ธัญกรมอบให้เริ่มเต็มหน่วย สมองอื้อตาพร่าพราวใกล้ถึงขีดสุด “ใจเย็นก่อน อ่าส์...” น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยบอก แต่ที่จริงในกายรุ่มร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิง ก่อนจะทาบริมฝีปากอวบเข้ากลีบปากบางที่เผยออย่างเย้ายวน ทำให้ลิ้นร้อน ๆ สามารถแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นร้อนชื้นดุนดันหยอกเอินกันไปมา จากนั้นก็ประคองใบหน้าหวานและบดจูบหนักหน่วงยิ่งขึ้น “อื้อ...” แสงเทียนยังส่งเสียงคราง เมื่อริมฝีปากอวบของ ธัญกรเปลี่ยนบทบาทจากที่จูบดูดดื่ม ไล้ลงไปขบเม้มซอกคออุ่นจนเกิดรอยแดงมือเรียวบางเริ่มลูบไล้สะเปะสะปะใปตามแผ่นหลังกว้างและวกกลับมาที่หน้าท้องราบแบนของธัญกรด้วยความลืมตัว
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต