“คุ คุณ!” เธอต่อว่าเขาทางสายตา เหมือนจะบอกว่า ไม่มีมารยาท!“เออรับไปสิ เดี๋ยวพ่อคุณก็รอนานหรอก”“หา...” เสียงแหลมแผดดัง พร้อมกับตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนจะรีบหุบปากฉับ และค่อย ๆ ถามเสียงแผ่วเบา “คุ คุณว่าไงนะคะ”“พ่อคุณโทรมา” เธอตอบสวนกลับไปน้ำเสียงคงเดิม โดยไม่กลัวว่าคนรอสายจะได้ยินหรือไม่เมื่อได้ยินคำตอบชัดเจนมือเรียวรีบคว้ามือถือของตัวเองทันที ก่อนจะกำเครื่องมือสื่อสารไว้แน่น เหมือนต้องการย้ำเตือนว่าตอนนี้ เธอกำลังเจอเรื่องหนักอกอีกเรื่องเข้าแล้วแสงเทียนสูดอากาศเข้าปอดแรง ๆ แล้วผ่อนออกมาช้า ๆ ย่างทำใจ แล้วค่อย ๆ ยกมือถือขึ้นแนบข้างหูและกรอกน้ำเสียงแผ่วเข้าไป“สวัสดีค่ะคุณพ่อ...” เธอทักทายเพื่อหยั่งเชิง“ใช่ลูกพ่อเอง ลูกอยู่ไหนและอยู่กับใคร...”“คือ...” คำถามที่ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ ทำเอาสมองตื้อปากหนักขึ้นฉับพลัน ยิ่งเห็นสีหน้าที่เธอเผอิญผันไปเห็น เหมือนกำลังเย้ยหยัน ทำให้ปากของเธอขยับลำบากขึ้นอีก“ว่าไงลูก ใช่เจ้านายที่ลูกไปทำงานด้วยเปล่า” ชายสูงวัยคาดเดาลงน้ำหนักเสียง แสงเทียนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอไม่เคยทำให้พ่อหนักใจเลยสักครั้ง“ค่ะพ่อ เจ้านายเทียนเอง”คำตอบที่ได้เรียกเสียงถอนหาย
หลังจากเดินทางออกจากที่พัก เพื่อไปยังสถานที่นัดพบตามคำบอกกล่าวของธัญกร ปฏิกิริยาเคร่งขรึมเหมือนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกของเธอก็กลับมาเยือนในความรู้สึกแสงเทียนอีกครั้ง‘ผีเข้าผีออก’ดวงตากลมโตจับจ้องร่างสูงบางที่เดินนำไปก่อนด้วยท่าทางสุขุม ซึ่งในแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง สายตามุ่งมั่นไม่วอกแวกสิ่งรอบข้าง จนแสงเทียนรู้สึกประหม่าในตัวเอง หากแต่ชื่นชมอีกฝ่าย ที่สมกับเป็นนักธุรกิจที่ใคร ๆ ก็ต้องการตัวและด้วยความเผลอตัว เมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน “ว้าย!” สุดท้ายเธอก็ชนกับแผ่นหลังบางที่หยุดเดินโดยไม่บอกกล่าวกันที่“ใจลอยไปถึงใคร” ธัญกรหันมาถามเสียงขุ่น พร้อมกระชากแขนเรียวที่เจ้าตัวชนเองกระเด็นเสียหลักเองไปหลายก้าว เข้ามาประชิดตัว “เท้ายังไม่หายดี เดินก็ระวังหน่อย”จะว่าเธอห่วงหรือสมเพชดีนะ... “ฮึ...” เธอทำเสียงขึ้นจมูกมองสบตาคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ แล้วพยายามสะบัดตัวหนีเพื่อเว้นระยะห่าง แต่มือเรียวไม่ปล่อยให้ทำได้ดั่งใจ เธอจึงได้แต่ยืนขืนตัวอยู่ตรงนั้น“โกรธเหรอ...” ธัญกรถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ต่อปากต่อคำเหมือนอย่างเคย“โกรธคุณเหรอ”“ใช่”“จะโกรธคุณทำไม ในเมื่อเลือกเอง”“งั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อเล
แสงเทียนอ้าปากค้าง จะร้องห้ามก็ไม่ทันการ เมื่อรถคันหรูจอดอยู่หน้ามุขเรียบร้อยแล้วลินดาที่เพิ่งกลับจากด้านนอกโดยที่ยังไม่ทันก้าวผ่านประตูก็หยุดชะงัก หันมองกลับไปทางด้านหลัง ครั้นรถจอดสนิทนิ่ง นางถึงกับมองตาค้างลูกเทียน แล้วมากับใคร... นางจึงตัดสินใจยืนคอยแทนที่จะรีบเข้าบ้าน ที่สำคัญนางอยากรู้ว่าเจ้าของรถคันราคาหลายล้านคนนั้นเป็นใคร...ภายในรถเกือบเกิดศึกขนาดย่อย เมื่อแสงเทียนเอ่ยขึ้นอย่างโมโหว่า“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเข้ามา หรือคุณอยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่”ธัญกรไหวไหล่ ก็นั้นละที่เธออยากให้เป็น...“นั่นมันเรื่องของคุณ” เธอตอบอย่างไม่สนใจแสงเทียนหน้าตึงอย่างแค้นเคือง ก่อนจะเปิดประตูลงไปพร้อมกระแทกประตูกลับเสียงดัง จนเจ้าของต้องสูดปากแกล้งทำเป็นหวาดเสียว แล้วเปิดประตูรถเดินตามลงตามไปแสงเทียนเห็นผู้เป็นแม่ยืนอยู่ จากที่อารมณ์ขุ่นมัว ก็รีบปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วยกมือไหว้กล่าวทักทายมารดา“สวัสดีค่ะแม่”“กลับมาแล้วหรือ แล้วงานเป็นไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม”น้ำเสียงเจือแววปลื้มปริ่ม มองสำรวจใบหน้าหวานของลูกสาวเพียงครู่ก็ผันมองดูเจ้าของรถด้วยแววตาหลากหลาย “คุณธัญกร เจ้านายเทียนเองค
“ดีใจนะคะ ที่คุณรับยายเทียนเข้าทำงาน ยายเทียนแกเป็นคนหัวไว เรียนก็เก่ง ได้ทำงานกับคุณ รับรองคุณไม่ผิดหวังแน่นอนเลยค่ะ”“ค่ะ เธอเก่งมาก...” ‘ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย’ ประโยคหลังกล่าวต่อในใจลินดายิ้มปลื้มเมื่อแสงเทียนได้รับคำชมจากนักธุรกิจสาว...การสนทนาผูกติดอยู่ในเรื่องของแสงเทียน เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยเหมือนโฆษณาลูก โดยธัญกรได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มรับ จนเธอกลายเป็นผู้ฟังที่ดีไปโดยปริยาย“คุณ! ลูกกลับมาแล้วเหรอ” เสียงทุ้มร้องถามมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วยืนชะงักนิ่ง เมื่อภรรยาไม่ได้นั่งอยู่ตามลำพังหรือนั่งอยู่กับลูกสาว แต่เป็นผู้หญิงที่ปิยะไม่คิดว่าจะเจอหน้ากันไวขนาดนี้ใบหน้าอวบที่มีรอยย่นไปตามวัย คล้ายเลือดในร่างกายแข็งตัวขึ้นฉับพลัน“คุณปิยะ...” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงระรื่นดีใจ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่ฟังดูห้วนระคายหู หากวันนี้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูมีความสุขจนล้นออกตา เธอรีบสาวเท้าเข้ามาหาสามี “ยายเทียนกลับมาแล้ว นี่คุณธัญกร เจ้านายยายเทียนเองค่ะ”ปิยะกำหมัดแน่นมองหญิงสาวคราวลูกด้วยสายตาเจ็บปวด“คุณไม่รู้อะไรเอาเสียเลย...” เสียงถูกเค้นออกมาอย่างแผ่วเบา มองหน้าภรรยาสายตาตัดพ้อ แล้วมอ
ลินดาก้าวเท้าไปตามทางเดินอย่างรีบเร่ง เพราะไม่อยากให้สามีและแขกของลูกสาวอยู่ด้วยกันนานเกินไป เพราะครั้งนี้เธอเห็นถึงอาการดื้อดึงและจริงจังของสามีอย่างเห็นได้ชัด แต่ใจหนึ่งเธออยากให้เรื่องทุกอย่างจบ โดยคิดว่าหากลบเรื่องบาดหมางในอดีตของสองตระกูลออกไป ความสัมพันธ์ของเด็กรุ่นใหม่คงไม่สะดุด... ลินดาคิดเข้าข้างแสงเทียน เพราะเชื่อว่าความสวยและความเก่ง คงทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักได้ไม่ยาก และอยากรู้ว่าต่อนี้ไป สามีนางจะเดินเกมไปทิศทางใด รึไม่เช่นนั้น นางนี่แหละจะเป็นตัวเชื่อม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแปลสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง... ก๊อก ก๊อก ก๊อก“เทียนทำอะไรอยู่ลูก เปิดประตูให้แม่เข้าไปหน่อย” นางเคาะประตู แล้วส่งเสียงเรียกผ่านไม้เนื้อดีเข้าไป“แม่หรือคะ เทียนปวดหัว... คุณแม่ช่วยส่งแขกให้หนูด้วยนะคะ”เธอที่เพิ่งที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดอยู่กับบ้านเรียบร้อย นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนอน ผงกศีรษะตะโกนตอบ“ส่งอะไรกันล่ะ ลุกขึ้นมาเปิดประตูให้แม่ก่อน แล้วช่วยลงไปคุยกับพ่อ ก่อนที่จะเล่นงานคุณธัญกร” นางตอบเสียงร้อนรนกลับไปแม้มีประตูบานหนากั้นเพื่อกรองเสียง หากแต่คนด้านในได้ยินชัดเจนร่างบางผุดลุกขึ้นต
ธัญกรได้ยินเสียงสะอื้น หัวใจรู้สึกอ่อนยวบจนอยากเข้าไปโอบปลอบ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตที่ ‘เตชะรัฐ’ ได้ทำกับครอบครัวตัวเองไว้จึงกลบความรู้สึกนั้นไปปิยะเซื่องซึมไปเมื่อการกระทำครั้งนี้บีบหัวใจตัวเองจนแตกละเอียดคามือ ลูกเจ็บตัวเองก็เจ็บยิ่งกว่า ยิ่งได้เห็นน้ำตาและใบหน้าที่มีรอยปื้นเต็มซีกหน้าพร้อมเลือดซิบ ๆ มันก็เหมือนเขาได้ทำร้ายตัวเองไปแล้ว“ตกลงมันอะไรกันแน่ โอ๊ย ฉันงงไปหมดแล้ว ” ลินดาครางครวญพร้อมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ และนวดคลึงขมับ ออกแรงกดเพื่อให้รู้สึกบรรเทาเบาบางกับเรื่องชวนปวดหัวตรงหน้า“เรื่องมันจบแล้ว พ่อได้ยื้อชีวิตของคนในบริษัทไว้ หนูทำเพื่อบริษัทของพ่อนะคะ” เธอกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อเธอเสียสละไปแล้ว ไม่มีคำพูดใดจะปลอบใจตัวเองหรือแก้ตัวต่อใคร ๆ นอกจากผลที่ได้รับกลับมา ทุกคนในบริษัทมีงานทำ นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการธัญกรผ่อนลมหายใจแรง ๆ กับความใจเด็ดของแสงเทียนอีกครั้ง ยังไงเธอก็เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเสมอ“แล้วลูกถามความต้องการพ่อหรือเปล่า ว่าพ่อต้องการให้ลูกทำอย่างนั้นไหม”“มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะและหนูก็ไม่ได้ซีเรียสกับสิ่งที่หนูตัดสินใจไปแล้ว” เสียงหวานหา
“นี่คุณจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้วนะ” จากที่รู้สึกดี ตอนนี้ติดลบ“ไม่ได้ดูถูกนะคะ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำมากกว่าแค่ดู ‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’” เธอย้อนกลับ ทุกอย่างเธอดูที่เหตุผล เมื่อมีโอกาสก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรที่สุดแสงเทียนสะดุดคำว่า ‘‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’ แต่ก็เก็บความอยากรู้เอาไว้ โดยสีหน้าของแม่เธอดูเปลี่ยนไปทันที“นี่คุณ มะ หมายความว่าไง” ความร้อนตัว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงรุ่นลูก ทำให้ลินดาเกือบตั้งสติไม่อยู่ธัญกรบิดยิ้มมุมปาก ...เธอจะทำให้คนพวกนี้หัวหมุน“ธัญจะไม่ขอพูดอะไรมาก หากไม่อยากให้ทุกอย่างพังก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนธัญกับลูกสาวคุณเราตกลงกันเองได้” เธอสรุป โดยไม่ถามความคิดเห็นผู้หญิงที่ตัวเองเอ่ยถึงแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าตอนนี้ เธอไม่อยากให้แสงเทียนไกลตา...“หมายความว่าไง” สามคนพ่อแม่ลูกออกเสียงประโยคพร้อมกัน แต่ไม่มีใครเรียกความสนใจเธอได้นอกจากแสงเทียน“ให้เวลาสิบห้านาที ไปเก็บเสื้อผ้าของคุณซะ” น้ำเสียงเฉียบขาดหันไปสั่งแสงเทียนแสงเทียนส่ายหน้า ยังไงเธอไม่ยอมไปอยู่ด้วยตอนนี้แน่เมื่อโดนอีกฝ่ายเล่น
คำตอบนั้นทำให้แสงเทียนอยากรู้ขึ้นมาเป็นเท่าตัว หากเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีหรือท่านทั้งสองจะไม่พูดถึงบ้าง นั่นเท่ากับว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น“ว่าไงล่ะ บอกแล้วว่าพ่อกับแม่ของคุณ ไม่อยากเอ่ยถึงเพื่อนเก่าที่เคย...”“หยุด! บอกว่าอย่าเอ่ยถึงมันอีก... ลูกเทียนก็เหมือนกัน เอาเรื่องตรงนี้ให้รอดก่อนเถอะ อย่าไปดึงคนอื่นมาให้ปวดหัวอีก”ลินดาแทรกขึ้น ทำให้ธัญกรหยุดคำพูดไว้ ก่อนที่นางจะหันไปตำหนิลูกสาวตัวเองต่อ“แม่ หากมันจำเป็น ทำไมแม่ไม่บอกให้เทียนรู้บ้าง”“รู้ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา”“พ่อกับแม่มีเรื่องกับครอบครัวคุณธัญกรอย่างที่เขาว่ามาก่อนใช่ไหมคะ แล้วตอนนี้เรื่องทุกอย่างจึงมาลงที่เทียนแบบนั้นใช่ไหมคะ”เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ตั้งแต่เธออยู่ต่างประเทศ หากคนที่ไม่รู้จักครอบครัวเธอ มีหรือจะโทรหาและรู้ว่าเธอเป็นใคร และรู้เรื่องบริษัทที่เกือบล้มละลายอยู่รอมร่อ แล้วล่อให้เธอไปหา...คำถามของลูกสาว จี้แทงใจดำของคนเป็นพ่อและแม่อย่างจัง ปิยะถึงกับถอยหลังห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ส่วนธัญกรสะดุ้งน้อย ๆ“ไม่ เทียนต้องการรู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิด