“ดีใจนะคะ ที่คุณรับยายเทียนเข้าทำงาน ยายเทียนแกเป็นคนหัวไว เรียนก็เก่ง ได้ทำงานกับคุณ รับรองคุณไม่ผิดหวังแน่นอนเลยค่ะ”“ค่ะ เธอเก่งมาก...” ‘ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย’ ประโยคหลังกล่าวต่อในใจลินดายิ้มปลื้มเมื่อแสงเทียนได้รับคำชมจากนักธุรกิจสาว...การสนทนาผูกติดอยู่ในเรื่องของแสงเทียน เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยเหมือนโฆษณาลูก โดยธัญกรได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มรับ จนเธอกลายเป็นผู้ฟังที่ดีไปโดยปริยาย“คุณ! ลูกกลับมาแล้วเหรอ” เสียงทุ้มร้องถามมาแต่ไกล ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วยืนชะงักนิ่ง เมื่อภรรยาไม่ได้นั่งอยู่ตามลำพังหรือนั่งอยู่กับลูกสาว แต่เป็นผู้หญิงที่ปิยะไม่คิดว่าจะเจอหน้ากันไวขนาดนี้ใบหน้าอวบที่มีรอยย่นไปตามวัย คล้ายเลือดในร่างกายแข็งตัวขึ้นฉับพลัน“คุณปิยะ...” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงระรื่นดีใจ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่ฟังดูห้วนระคายหู หากวันนี้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูมีความสุขจนล้นออกตา เธอรีบสาวเท้าเข้ามาหาสามี “ยายเทียนกลับมาแล้ว นี่คุณธัญกร เจ้านายยายเทียนเองค่ะ”ปิยะกำหมัดแน่นมองหญิงสาวคราวลูกด้วยสายตาเจ็บปวด“คุณไม่รู้อะไรเอาเสียเลย...” เสียงถูกเค้นออกมาอย่างแผ่วเบา มองหน้าภรรยาสายตาตัดพ้อ แล้วมอ
ลินดาก้าวเท้าไปตามทางเดินอย่างรีบเร่ง เพราะไม่อยากให้สามีและแขกของลูกสาวอยู่ด้วยกันนานเกินไป เพราะครั้งนี้เธอเห็นถึงอาการดื้อดึงและจริงจังของสามีอย่างเห็นได้ชัด แต่ใจหนึ่งเธออยากให้เรื่องทุกอย่างจบ โดยคิดว่าหากลบเรื่องบาดหมางในอดีตของสองตระกูลออกไป ความสัมพันธ์ของเด็กรุ่นใหม่คงไม่สะดุด... ลินดาคิดเข้าข้างแสงเทียน เพราะเชื่อว่าความสวยและความเก่ง คงทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักได้ไม่ยาก และอยากรู้ว่าต่อนี้ไป สามีนางจะเดินเกมไปทิศทางใด รึไม่เช่นนั้น นางนี่แหละจะเป็นตัวเชื่อม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแปลสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง... ก๊อก ก๊อก ก๊อก“เทียนทำอะไรอยู่ลูก เปิดประตูให้แม่เข้าไปหน่อย” นางเคาะประตู แล้วส่งเสียงเรียกผ่านไม้เนื้อดีเข้าไป“แม่หรือคะ เทียนปวดหัว... คุณแม่ช่วยส่งแขกให้หนูด้วยนะคะ”เธอที่เพิ่งที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดอยู่กับบ้านเรียบร้อย นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนอน ผงกศีรษะตะโกนตอบ“ส่งอะไรกันล่ะ ลุกขึ้นมาเปิดประตูให้แม่ก่อน แล้วช่วยลงไปคุยกับพ่อ ก่อนที่จะเล่นงานคุณธัญกร” นางตอบเสียงร้อนรนกลับไปแม้มีประตูบานหนากั้นเพื่อกรองเสียง หากแต่คนด้านในได้ยินชัดเจนร่างบางผุดลุกขึ้นต
ธัญกรได้ยินเสียงสะอื้น หัวใจรู้สึกอ่อนยวบจนอยากเข้าไปโอบปลอบ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตที่ ‘เตชะรัฐ’ ได้ทำกับครอบครัวตัวเองไว้จึงกลบความรู้สึกนั้นไปปิยะเซื่องซึมไปเมื่อการกระทำครั้งนี้บีบหัวใจตัวเองจนแตกละเอียดคามือ ลูกเจ็บตัวเองก็เจ็บยิ่งกว่า ยิ่งได้เห็นน้ำตาและใบหน้าที่มีรอยปื้นเต็มซีกหน้าพร้อมเลือดซิบ ๆ มันก็เหมือนเขาได้ทำร้ายตัวเองไปแล้ว“ตกลงมันอะไรกันแน่ โอ๊ย ฉันงงไปหมดแล้ว ” ลินดาครางครวญพร้อมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ และนวดคลึงขมับ ออกแรงกดเพื่อให้รู้สึกบรรเทาเบาบางกับเรื่องชวนปวดหัวตรงหน้า“เรื่องมันจบแล้ว พ่อได้ยื้อชีวิตของคนในบริษัทไว้ หนูทำเพื่อบริษัทของพ่อนะคะ” เธอกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อเธอเสียสละไปแล้ว ไม่มีคำพูดใดจะปลอบใจตัวเองหรือแก้ตัวต่อใคร ๆ นอกจากผลที่ได้รับกลับมา ทุกคนในบริษัทมีงานทำ นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการธัญกรผ่อนลมหายใจแรง ๆ กับความใจเด็ดของแสงเทียนอีกครั้ง ยังไงเธอก็เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเสมอ“แล้วลูกถามความต้องการพ่อหรือเปล่า ว่าพ่อต้องการให้ลูกทำอย่างนั้นไหม”“มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะและหนูก็ไม่ได้ซีเรียสกับสิ่งที่หนูตัดสินใจไปแล้ว” เสียงหวานหา
“นี่คุณจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้วนะ” จากที่รู้สึกดี ตอนนี้ติดลบ“ไม่ได้ดูถูกนะคะ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำมากกว่าแค่ดู ‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’” เธอย้อนกลับ ทุกอย่างเธอดูที่เหตุผล เมื่อมีโอกาสก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรที่สุดแสงเทียนสะดุดคำว่า ‘‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’ แต่ก็เก็บความอยากรู้เอาไว้ โดยสีหน้าของแม่เธอดูเปลี่ยนไปทันที“นี่คุณ มะ หมายความว่าไง” ความร้อนตัว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงรุ่นลูก ทำให้ลินดาเกือบตั้งสติไม่อยู่ธัญกรบิดยิ้มมุมปาก ...เธอจะทำให้คนพวกนี้หัวหมุน“ธัญจะไม่ขอพูดอะไรมาก หากไม่อยากให้ทุกอย่างพังก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนธัญกับลูกสาวคุณเราตกลงกันเองได้” เธอสรุป โดยไม่ถามความคิดเห็นผู้หญิงที่ตัวเองเอ่ยถึงแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าตอนนี้ เธอไม่อยากให้แสงเทียนไกลตา...“หมายความว่าไง” สามคนพ่อแม่ลูกออกเสียงประโยคพร้อมกัน แต่ไม่มีใครเรียกความสนใจเธอได้นอกจากแสงเทียน“ให้เวลาสิบห้านาที ไปเก็บเสื้อผ้าของคุณซะ” น้ำเสียงเฉียบขาดหันไปสั่งแสงเทียนแสงเทียนส่ายหน้า ยังไงเธอไม่ยอมไปอยู่ด้วยตอนนี้แน่เมื่อโดนอีกฝ่ายเล่น
คำตอบนั้นทำให้แสงเทียนอยากรู้ขึ้นมาเป็นเท่าตัว หากเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีหรือท่านทั้งสองจะไม่พูดถึงบ้าง นั่นเท่ากับว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น“ว่าไงล่ะ บอกแล้วว่าพ่อกับแม่ของคุณ ไม่อยากเอ่ยถึงเพื่อนเก่าที่เคย...”“หยุด! บอกว่าอย่าเอ่ยถึงมันอีก... ลูกเทียนก็เหมือนกัน เอาเรื่องตรงนี้ให้รอดก่อนเถอะ อย่าไปดึงคนอื่นมาให้ปวดหัวอีก”ลินดาแทรกขึ้น ทำให้ธัญกรหยุดคำพูดไว้ ก่อนที่นางจะหันไปตำหนิลูกสาวตัวเองต่อ“แม่ หากมันจำเป็น ทำไมแม่ไม่บอกให้เทียนรู้บ้าง”“รู้ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา”“พ่อกับแม่มีเรื่องกับครอบครัวคุณธัญกรอย่างที่เขาว่ามาก่อนใช่ไหมคะ แล้วตอนนี้เรื่องทุกอย่างจึงมาลงที่เทียนแบบนั้นใช่ไหมคะ”เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ตั้งแต่เธออยู่ต่างประเทศ หากคนที่ไม่รู้จักครอบครัวเธอ มีหรือจะโทรหาและรู้ว่าเธอเป็นใคร และรู้เรื่องบริษัทที่เกือบล้มละลายอยู่รอมร่อ แล้วล่อให้เธอไปหา...คำถามของลูกสาว จี้แทงใจดำของคนเป็นพ่อและแม่อย่างจัง ปิยะถึงกับถอยหลังห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ส่วนธัญกรสะดุ้งน้อย ๆ“ไม่ เทียนต้องการรู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิด
แสงเทียนถึงกับหมดแรงทรุดลงนั่งกับพื้นแข็ง ๆ ในที่สุดสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า“โอเค เมื่อคุณปิยะต้องการอย่างนั้นก็ตามใจ เพราะใคร ๆ ก็รู้ บริษัทนั้นมันไม่ใช่ของพวกคุณตั้งแต่ต้น พรุ่งนี้คุณเข้าไปเก็บของของคุณออกมาให้หมด จากนั้นธัญจะให้คนของธัญเข้าไปบริหารต่อ”คนถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยบอก อีกฝ่ายก้มหน้ารับอย่างจำนนเมื่อตกลงกันง่ายและเข้าใจกันดี ธัญกรจึงเดินออกไปแบบไม่ลังเลหรือเรียกร้องอะไรอีก ทิ้งให้บุคลทั้งสามตกอยู่ในภวังค์อึ้งก้ำกึ่งดีใจและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน...แม้เคยอยู่เป็นดาวแต่ถึงคราวร่วงหล่น แสงเทียนไม่ได้เศร้าโศกอย่างที่ควรจะเป็น ผิดกับพ่อและแม่ของเธอ เพราะหลังจากเก็บของใช้ส่วนตัวออกจากบริษัท ก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องทำงานและขังตัวเองอยู่แต่ในนั้น ส่วนแม่ของเธอก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน จนถึงเวลากินข้าวจึงชวนกันลงมา โดยที่ไม่มีใครเอ่ยหรือซ้ำเติมถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกเลย “พ่อคะ แม่คะ เทียนจะออกไปหางาน พ่อกับแม่จะว่าไงบ้าง”เมื่อคิดว่าตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะอยู่กันพร้อมหน้า อีกทั้งคิดว่าท่านทั้งสองกินข้าวอิ่มแล้วจึงตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้ “ลูกจะไปหางานที่ไหนล่ะ
“เชิญค่ะ เดี๋ยวเอลิสจะพาเทียนไปเดินดูให้ทั่ว แล้วค่อยกลับมายื่นใบสมัครเพื่อเป็นพิธี” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้นของเอลิสไม่ทำให้แสงเทียนรู้สึกตื่นเต้นตาม แต่เธอพยายามเก็บความหดหู่เอาไว้“เอ่อ...” เธอทำหน้าบุเลี่ยน“เป็นอะไร...”“อ้อ โรงแรมใหญ่โตดีนี่” เธอแสร้งทำเป็นคุยเรื่องอื่น เอลิสฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น“ค่ะ ใหญ่โตพอกับที่โน่นเลย” สายตาคมเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ที่โน่นคือโรงแรมแม่ที่อยู่ต่างประเทศ โดยแม่เธอเป็นผู้ดูแลและบริหารร่วมกันกับเครือญาติ ส่วนที่เมืองไทยก็แตกสาขา โดยมีพ่อดูแลและถึงตอนนี้ก็มีหุ้นส่วนฝีมือดีเข้ามาดูแลนั่นคือ ‘ธัญกร เทียนเทพ’ ซึ่งนั่นเป็นผลดีต่อโรงแรมเป็นอย่างมาก“โรงแรม NY” แสงเทียนเปรยขึ้นเบา ๆ ในใจหวังไว้ว่าธัญกรจะไปสิงอยู่ที่โครงการอื่นแล้ว เธอยังจำได้ธัญกรเคยพูดไว้ว่าโรงแรมนี้ยกให้เอลิสเป็นคนดูแล...“ทำไมเหรอ”“อะ ปะ เปล่า...” เธอลากเสียงแล้วยิ้มกลบจากนั้นเอลิสก็เดินนำเข้าไปในโรงแรม ทันทีที่ก้าวเข้าไปพนักงานที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าต่างยกมือไหว้ทักทายผู้ที่ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นใคร แสงเทียนยิ้มบาง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ครั้งห
“เทียน เธอมันยายตัวแสบ!” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นเดินตึง ๆ ออกจากห้องไป เพราะอยากรู้ว่าเธอกลับมาที่นี่ทำไม ทั้งที่รู้อยู่ว่าหากเข้ามาเหยียบที่นี่ ก็เท่ากับเดินมาหาจุดเดิมอีกครั้งเสียงสนทนาอยู่อีกมุมหนึ่ง แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่น้ำเสียงที่มีความขบขันอยู่ตลอดเวลา ธัญกรหยุดฟังและหันหลังพิงฝาอีกด้านอยู่เงียบ ๆ จากนั้นสาวสวยทั้งสองที่เดินคุยกันอย่างออกรส ก็เดินผ่านไปยังทางเดินที่เธอรู้ดีว่าทั้งสองจะไปหยุดที่ใด หากไม่ใช่ห้องทำงานของเอลิสคิดจะหาตัวช่วยหรือไง... สายตาคมดุมองตามแผ่นหลังบางที่เดินหายไปจากสายตาอย่างมาดหมาย ก่อนจะบิดยิ้มมุมปากด้วยความครึ้มใจ แล้วค่อย ๆ ล้วงเครื่องมือสื่อสารขนาดเหมาะมือ ตาจ้องมองบนแป้นหน้าปัด ครั้นแล้วริมฝีปากบางกระตุกขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง พร้อมกันนั้นนิ้วมือที่คล่องและชำนาญกดลงไป“สวัสดีค่ะ ธัญกรนะคะ คุณปรายฟ้าใช่ไหมคะ” เสียงนุ่มหวานมีน้ำหนักรีบแนะนำและเอ่ยถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสายคนปลายสายนิ่งอึ้ง ก่อนจะฉีกยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้“สวัสดีค่ะ ปรายฟ้าเลขาคุณเอลิสกำลังพูดค่ะ”“รบกวนหน่อยสิ...” ธัญกรหยั่งเชิง กลัวอีกฝ่ายงานยุ่ง“ดะ ได้ค่ะ...” แม่ปรายฟ้าจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แ