ธัญกรได้ยินเสียงสะอื้น หัวใจรู้สึกอ่อนยวบจนอยากเข้าไปโอบปลอบ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตที่ ‘เตชะรัฐ’ ได้ทำกับครอบครัวตัวเองไว้จึงกลบความรู้สึกนั้นไปปิยะเซื่องซึมไปเมื่อการกระทำครั้งนี้บีบหัวใจตัวเองจนแตกละเอียดคามือ ลูกเจ็บตัวเองก็เจ็บยิ่งกว่า ยิ่งได้เห็นน้ำตาและใบหน้าที่มีรอยปื้นเต็มซีกหน้าพร้อมเลือดซิบ ๆ มันก็เหมือนเขาได้ทำร้ายตัวเองไปแล้ว“ตกลงมันอะไรกันแน่ โอ๊ย ฉันงงไปหมดแล้ว ” ลินดาครางครวญพร้อมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ และนวดคลึงขมับ ออกแรงกดเพื่อให้รู้สึกบรรเทาเบาบางกับเรื่องชวนปวดหัวตรงหน้า“เรื่องมันจบแล้ว พ่อได้ยื้อชีวิตของคนในบริษัทไว้ หนูทำเพื่อบริษัทของพ่อนะคะ” เธอกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อเธอเสียสละไปแล้ว ไม่มีคำพูดใดจะปลอบใจตัวเองหรือแก้ตัวต่อใคร ๆ นอกจากผลที่ได้รับกลับมา ทุกคนในบริษัทมีงานทำ นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการธัญกรผ่อนลมหายใจแรง ๆ กับความใจเด็ดของแสงเทียนอีกครั้ง ยังไงเธอก็เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเสมอ“แล้วลูกถามความต้องการพ่อหรือเปล่า ว่าพ่อต้องการให้ลูกทำอย่างนั้นไหม”“มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะและหนูก็ไม่ได้ซีเรียสกับสิ่งที่หนูตัดสินใจไปแล้ว” เสียงหวานหา
“นี่คุณจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้วนะ” จากที่รู้สึกดี ตอนนี้ติดลบ“ไม่ได้ดูถูกนะคะ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำมากกว่าแค่ดู ‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’” เธอย้อนกลับ ทุกอย่างเธอดูที่เหตุผล เมื่อมีโอกาสก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรที่สุดแสงเทียนสะดุดคำว่า ‘‘เตชะรัฐ’ ก็รู้ดี ว่าเคยทำอะไรเอาไว้กับ ‘เนตรศิริ’ แต่ก็เก็บความอยากรู้เอาไว้ โดยสีหน้าของแม่เธอดูเปลี่ยนไปทันที“นี่คุณ มะ หมายความว่าไง” ความร้อนตัว ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงรุ่นลูก ทำให้ลินดาเกือบตั้งสติไม่อยู่ธัญกรบิดยิ้มมุมปาก ...เธอจะทำให้คนพวกนี้หัวหมุน“ธัญจะไม่ขอพูดอะไรมาก หากไม่อยากให้ทุกอย่างพังก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนธัญกับลูกสาวคุณเราตกลงกันเองได้” เธอสรุป โดยไม่ถามความคิดเห็นผู้หญิงที่ตัวเองเอ่ยถึงแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าตอนนี้ เธอไม่อยากให้แสงเทียนไกลตา...“หมายความว่าไง” สามคนพ่อแม่ลูกออกเสียงประโยคพร้อมกัน แต่ไม่มีใครเรียกความสนใจเธอได้นอกจากแสงเทียน“ให้เวลาสิบห้านาที ไปเก็บเสื้อผ้าของคุณซะ” น้ำเสียงเฉียบขาดหันไปสั่งแสงเทียนแสงเทียนส่ายหน้า ยังไงเธอไม่ยอมไปอยู่ด้วยตอนนี้แน่เมื่อโดนอีกฝ่ายเล่น
คำตอบนั้นทำให้แสงเทียนอยากรู้ขึ้นมาเป็นเท่าตัว หากเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีหรือท่านทั้งสองจะไม่พูดถึงบ้าง นั่นเท่ากับว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น“ว่าไงล่ะ บอกแล้วว่าพ่อกับแม่ของคุณ ไม่อยากเอ่ยถึงเพื่อนเก่าที่เคย...”“หยุด! บอกว่าอย่าเอ่ยถึงมันอีก... ลูกเทียนก็เหมือนกัน เอาเรื่องตรงนี้ให้รอดก่อนเถอะ อย่าไปดึงคนอื่นมาให้ปวดหัวอีก”ลินดาแทรกขึ้น ทำให้ธัญกรหยุดคำพูดไว้ ก่อนที่นางจะหันไปตำหนิลูกสาวตัวเองต่อ“แม่ หากมันจำเป็น ทำไมแม่ไม่บอกให้เทียนรู้บ้าง”“รู้ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา”“พ่อกับแม่มีเรื่องกับครอบครัวคุณธัญกรอย่างที่เขาว่ามาก่อนใช่ไหมคะ แล้วตอนนี้เรื่องทุกอย่างจึงมาลงที่เทียนแบบนั้นใช่ไหมคะ”เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาเป็นฉาก ๆ ตั้งแต่เธออยู่ต่างประเทศ หากคนที่ไม่รู้จักครอบครัวเธอ มีหรือจะโทรหาและรู้ว่าเธอเป็นใคร และรู้เรื่องบริษัทที่เกือบล้มละลายอยู่รอมร่อ แล้วล่อให้เธอไปหา...คำถามของลูกสาว จี้แทงใจดำของคนเป็นพ่อและแม่อย่างจัง ปิยะถึงกับถอยหลังห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ส่วนธัญกรสะดุ้งน้อย ๆ“ไม่ เทียนต้องการรู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิด
แสงเทียนถึงกับหมดแรงทรุดลงนั่งกับพื้นแข็ง ๆ ในที่สุดสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า“โอเค เมื่อคุณปิยะต้องการอย่างนั้นก็ตามใจ เพราะใคร ๆ ก็รู้ บริษัทนั้นมันไม่ใช่ของพวกคุณตั้งแต่ต้น พรุ่งนี้คุณเข้าไปเก็บของของคุณออกมาให้หมด จากนั้นธัญจะให้คนของธัญเข้าไปบริหารต่อ”คนถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยบอก อีกฝ่ายก้มหน้ารับอย่างจำนนเมื่อตกลงกันง่ายและเข้าใจกันดี ธัญกรจึงเดินออกไปแบบไม่ลังเลหรือเรียกร้องอะไรอีก ทิ้งให้บุคลทั้งสามตกอยู่ในภวังค์อึ้งก้ำกึ่งดีใจและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน...แม้เคยอยู่เป็นดาวแต่ถึงคราวร่วงหล่น แสงเทียนไม่ได้เศร้าโศกอย่างที่ควรจะเป็น ผิดกับพ่อและแม่ของเธอ เพราะหลังจากเก็บของใช้ส่วนตัวออกจากบริษัท ก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องทำงานและขังตัวเองอยู่แต่ในนั้น ส่วนแม่ของเธอก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน จนถึงเวลากินข้าวจึงชวนกันลงมา โดยที่ไม่มีใครเอ่ยหรือซ้ำเติมถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกเลย “พ่อคะ แม่คะ เทียนจะออกไปหางาน พ่อกับแม่จะว่าไงบ้าง”เมื่อคิดว่าตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะอยู่กันพร้อมหน้า อีกทั้งคิดว่าท่านทั้งสองกินข้าวอิ่มแล้วจึงตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้ “ลูกจะไปหางานที่ไหนล่ะ
“เชิญค่ะ เดี๋ยวเอลิสจะพาเทียนไปเดินดูให้ทั่ว แล้วค่อยกลับมายื่นใบสมัครเพื่อเป็นพิธี” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้นของเอลิสไม่ทำให้แสงเทียนรู้สึกตื่นเต้นตาม แต่เธอพยายามเก็บความหดหู่เอาไว้“เอ่อ...” เธอทำหน้าบุเลี่ยน“เป็นอะไร...”“อ้อ โรงแรมใหญ่โตดีนี่” เธอแสร้งทำเป็นคุยเรื่องอื่น เอลิสฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น“ค่ะ ใหญ่โตพอกับที่โน่นเลย” สายตาคมเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ที่โน่นคือโรงแรมแม่ที่อยู่ต่างประเทศ โดยแม่เธอเป็นผู้ดูแลและบริหารร่วมกันกับเครือญาติ ส่วนที่เมืองไทยก็แตกสาขา โดยมีพ่อดูแลและถึงตอนนี้ก็มีหุ้นส่วนฝีมือดีเข้ามาดูแลนั่นคือ ‘ธัญกร เทียนเทพ’ ซึ่งนั่นเป็นผลดีต่อโรงแรมเป็นอย่างมาก“โรงแรม NY” แสงเทียนเปรยขึ้นเบา ๆ ในใจหวังไว้ว่าธัญกรจะไปสิงอยู่ที่โครงการอื่นแล้ว เธอยังจำได้ธัญกรเคยพูดไว้ว่าโรงแรมนี้ยกให้เอลิสเป็นคนดูแล...“ทำไมเหรอ”“อะ ปะ เปล่า...” เธอลากเสียงแล้วยิ้มกลบจากนั้นเอลิสก็เดินนำเข้าไปในโรงแรม ทันทีที่ก้าวเข้าไปพนักงานที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าต่างยกมือไหว้ทักทายผู้ที่ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นใคร แสงเทียนยิ้มบาง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ครั้งห
“เทียน เธอมันยายตัวแสบ!” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นเดินตึง ๆ ออกจากห้องไป เพราะอยากรู้ว่าเธอกลับมาที่นี่ทำไม ทั้งที่รู้อยู่ว่าหากเข้ามาเหยียบที่นี่ ก็เท่ากับเดินมาหาจุดเดิมอีกครั้งเสียงสนทนาอยู่อีกมุมหนึ่ง แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่น้ำเสียงที่มีความขบขันอยู่ตลอดเวลา ธัญกรหยุดฟังและหันหลังพิงฝาอีกด้านอยู่เงียบ ๆ จากนั้นสาวสวยทั้งสองที่เดินคุยกันอย่างออกรส ก็เดินผ่านไปยังทางเดินที่เธอรู้ดีว่าทั้งสองจะไปหยุดที่ใด หากไม่ใช่ห้องทำงานของเอลิสคิดจะหาตัวช่วยหรือไง... สายตาคมดุมองตามแผ่นหลังบางที่เดินหายไปจากสายตาอย่างมาดหมาย ก่อนจะบิดยิ้มมุมปากด้วยความครึ้มใจ แล้วค่อย ๆ ล้วงเครื่องมือสื่อสารขนาดเหมาะมือ ตาจ้องมองบนแป้นหน้าปัด ครั้นแล้วริมฝีปากบางกระตุกขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง พร้อมกันนั้นนิ้วมือที่คล่องและชำนาญกดลงไป“สวัสดีค่ะ ธัญกรนะคะ คุณปรายฟ้าใช่ไหมคะ” เสียงนุ่มหวานมีน้ำหนักรีบแนะนำและเอ่ยถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสายคนปลายสายนิ่งอึ้ง ก่อนจะฉีกยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้“สวัสดีค่ะ ปรายฟ้าเลขาคุณเอลิสกำลังพูดค่ะ”“รบกวนหน่อยสิ...” ธัญกรหยั่งเชิง กลัวอีกฝ่ายงานยุ่ง“ดะ ได้ค่ะ...” แม่ปรายฟ้าจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แ
“หยาบคาย!” เธอต่อว่ากลับไป และพยายามทำตัวให้ลีบเล็ก เมื่อคนด้านบนจงใจเบียดกายเข้าหาเธอ อย่าบอกนะว่าจะทำให้เธอครางตอนนี้... แสงเทียนคิด ด้วยความหวั่นใจ เหงื่อเริ่มซึมตามรูขุมขนจากที่เคยเชิดหน้ากลายเป็นว่าเธอต้องหลบสายตาที่เริ่มส่งความหื่นกระหายออกมาให้เห็น พร้อมปลายจมูกโด่งที่เริ่มก้มต่ำลงมาจนรับรู้ถึงลมหายใจที่รดอยู่ตรงซอกคอ“คุณจะทำอะไร เทียนร้องให้คนช่วยแน่” เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายหื่นใส่เธอไม่เลือกที่ จึงต้องขู่เอาไว้“ก็เอาสิ คนอื่นจะได้รู้กันไป” เขาตอบเสียงกระเส่า หากแต่คนฟังขนชี้ชัน“คุณมัน... บ้า” เธอด่าออกมาอย่างเหลืออด“บ้าที่ไหนกัน ผัวเมียจะทำอะไรนิด ๆหน่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอก”ริมฝีปากได้รูปกัดเม้มเข้าหากัน คนหน้าด้าน! แสงเทียนได้แต่กนด่าอยู่ในใจ โดยส่งสายตาต่อว่าอีกแรง“แอบด่าอีกล่ะสิ” เธอเอ่ยอย่างรู้ทัน พร้อมกันนั้นจมูกโด่งฉกลงมา แสงเทียนสะดุ้งหลบไม่ทันธัญกรหัวเราะหึในลำคอเมื่อตัวเองชนะได้แสงเทียนกำมือเข้าหากันจนไร้ช่องโหว่ รู้แล้วยังทำตัวรุ่มร่ามอีก น่าเกลียดจริง! “อย่าทำแบบนี้ มันไม่เหมาะนะคะ” เธอผ่อนเสียงให้เบาลง เผื่ออีกฝ่ายจะได้เย็นลงบ้าง และแล้วร่างบางก็นิ่งเหมือนฉุกค
“ทีกับผัว แตะต้องไม่ได้แม้กระทั้งคำพูด แล้วทีกับคนอื่นไปไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ”แสงเทียนหน้าชา ลำคอแห้งฉับพลัน เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยคำว่า ‘ผัว’ ได้เต็มปากเต็มคำ“คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ” เธอย้อนกลับอย่างเดือดดาลไม่แพ้กัน“หึ...บ้าก็เพราะความอยากได้ของพวกคุณนั่นแหละ” เพราะเรื่องในอดีต ที่เธอไม่ยอมปล่อยวางได้“คุณอย่ามาพาลหาเรื่องนะ” แม้จะไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่มากนัก แต่เมื่อของทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนี้อยากได้ก็คืนกลับไปแล้ว ก็ถือว่าเรื่องทุกอย่างจบลง แต่ดูเหมือนธัญกรยังไม่ยอมจบ!“พาลเหรอ พาลตรงไหน” เธอทำหน้ามึน ทั้งที่รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่อง“ก็ที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ...รู้เอาไว้ด้วย ว่าพวกขี้แพ้เท่านั้นแหละที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงคนอื่น”“และคนขี้แพ้ ที่ชอบกุเรื่องให้คนอื่นไม่มีที่ยืนในสังคม จะต้องเปรียบเหมือนอะไรดี...” ธัญกรยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ ๆ เหมือนกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยินแสงเทียนหน้าจืดเจื่อน เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจพาลไปถึงเรื่องในอดีต“เทียนไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” บอกจบก็รีบวิ่งปรี่ไปยังประตูกว่าจะรู้ตัวว่าเผลอปล่อยให้อีกฝ่ายหนีเอาตัวรอดไปได้ ธัญกรก็คว้าตัวแสงเทียนไว้ไม่ทัน เล่นทีเผลอนี่! เธอ