แสงเทียนมองบน ...นอกจากเป็นนักธุรกิจหญิงที่เก่งและหาตัวจับยาก ผู้หญิงคนนี้ก็หลงตัวเองเอามาก ๆ เช่นกัน“ไหนคุณบอกว่าคนอย่างคุณ งานมากจนล้นมือ แต่ทำไมถึงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ฉัน’ เรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นดีจัง” เธอเก็บคำว่า ‘ฉัน’ ไว้ในใจธัญกรรู้ว่าแสงเทียนกำลังหว่านแหเพื่อให้เธอคลายความจริงบางอย่างออกมาและแน่นอนว่าครั้งนั้นเธอได้ใช้เสน่ห์ล่อให้ใบข้าวเข้าไปสืบและตีสนิทแสงเทียนเพื่อล้วงข้อมูลบางอย่างครั้งที่อยู่ต่างประเทศ“รู้ไหมว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง... ” แล้วสายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างบาง เป็นการย้ำว่าสิ่งไหนที่เธออยากได้ก็ต้องได้ แม้ต้องเสียเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมากเพียงใดก็ตามแสงเทียนกัดริมฝีปากของตัวเองจนห้อเลือด สะบัดหน้าหนี อยากตะโกนบอกไปนักว่า ‘เขาช่างเป็นคนที่หลงตัวเองได้อย่างน่าเกลียด’ หากแต่ที่เขาพูดมามันเรื่องจริง คนมีเงิน แค่บอกว่าต้องการสิ่งไหน ทุกคนก็พร้อมจะประเคนให้อย่างไม่มีอิดออด รวมทั้งศักดิ์ศรี ที่เธอยอมขายให้ตามสัญญาหากเธอไม่ไร้หนทาง หรืออาจเป็นเพราะฟ้ากำหนดให้มาเจอเจ้ากรรมนายเวรอย่างธัญกร!เมื่อคิดว่า ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว แสงเทียนจึงหันหลังเด
“ไหวค่ะ” แล้วดันตัวเองลุกขึ้น โดยมีธัญกรช่วยประคองไว้อีกที แต่อาการเดินกระเผลกของเธอ ทำให้ธัญกรตัดสินใจยกร่างบางขึ้นอุ้ม แสงเทียนคว้ารอบคอคนตัวโตไว้แน่นด้วยความตกใจ“คุณธัญ คุณทำอะไร ปล่อยเทียนลงค่ะ” เธอร้องบอกด้วยความตกใจและเกรงใจในคราเดียวกัน “อยู่นิ่ง ๆ ถึงห้องแล้วจะปล่อย” เธอบอกเสียงเด็ดขาด“เทียนหนักนะคะ” เธอบอกเสียงอ่อนลง“ผู้หญิงบางคนยังอุ้มผู้ชายที่เป็นแฟนตัวเองเลยนะ” ธัญกรยกข้ออ้าง“แต่นี่เรา...” แสงเทียนแย้ง แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนธัญกรพูดแทรกด้วยน้ำเสียงติดดุ“เงียบเลย!”แสงเทียนกัดปากตัวเอง จิกตามองค้อน “อยากเดินออกมาอ่อยไม่รู้ตาม้าตาเรือ”“คุณ!” แสงเทียนโกรธจนไม่รู้จะหาคำใดมาแย้งได้ เพราะเธอไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แต่เลือกที่จะปิดปากตัวเองโดยปล่อยให้สายตาทำงานแทนไป“หรือไม่จริง”แต่ธัญกรยังไม่หยุด เธอจึงต้องโต้กลับไปอย่างกดไม่อยู่“ใครอ่อยคุณ” เธอย้อนถาม หากแก้มนวลกลายเป็นสีแดงเรื่อยังไม่จางลง“งั้นอ่อยใคร อย่าบอกนะ ว่าที่เดินออกมานี่เพื่อจะไปอ่อยแขกคนอื่น ๆ นี่คิดนอกใจเชียว ไม่งั้นฉันเล่นคุณหนักแน่” เธอต่อว่าและวขู่กำชับแสงเทียนตาเบิกกว้าง อยากตะกายหน้
หื่น! ต่อว่าด้วยความหมั่นไส้“แน่จริงก็อย่าด่าในใจสิ” ธัญกรพูดขัดขึ้น“หืออ...” แสงเทียนลากเสียงขึ้นจมูก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเธอได้ จึงโพล่งออกไปด้วยความหมั่นไส้ “มาสิงร่างเถอะ” เธอประชด“แน่ใจนะที่พูด” ธัญกรส่งสายตากรุ่มกริ่ม แสงเทียนหน้าร้อนสลับกับกระดากอาย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรับประโยคกลับมาเช่นนี้ เถอะ พร้อมกระโดดเข้าใส่ตลอด!“...” คนบ้า! เธอฟิดฟัดอยู่ในใจ“ว่าไงล่ะ ตกลงยอมให้สิงหรือเปล่า”ธัญกรยังสนุกกับการแหย่ให้อีกฝ่ายอับอาย เมื่อเห็นว่าแสงเทียนไม่แน่จริงอย่างที่พูด“คุณธัญ...” เมื่อโดนแหย่มาก ๆแสงเทียนก็ทั้งเคืองทั้งอายเลยผลุดลุกขึ้นแล้วแขย่งเท้ารีบเดินเข้าห้อง ธัญกรไม่คิดว่าแสงเทียนจะดื้อเดินหนีทั้งที่เท้าเจ็บ ก็รีบเดินตามไปประกบ“ตามมาทำไมเล่า” เธอถามเสียงขม แต่ธัญกรไม่สนรีบตอบกลับ“ก็เป็นห่วง...”คนที่ปรับอารมณ์ไม่ได้หยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้า สายตาของเธอธัญกรเห็นถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง แต่จะช่วยอะไรได้เมื่อต่างคนต่างเลือกเดินมาจุดนี้...“ห่วงทำไม ก็คนคนหนึ่งที่ทำเพื่อสัญญาเท่านั้น ไม่ต้องแสดงความห่วงใย ลำบากใจคุณเปล่า ๆ ”แม้จะเป็นประโยคที่เจ็บปวด แต่เธอก็กลั้นใจ
เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอหยุดแผ่วลง ก่อนจะขยับตัวพลิกไปอีกด้าน ธัญกรที่นอนมองใบหน้างาม รีบหลับตาลง ทั้งที่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ‘คุณสวยและฉลาด...แต่คุณก็คือลูกสาวของ ‘ปิยะ เตชะรัฐ’ แล้วคุณก็เลือกเกิดไม่ได้...’ เปลือกตาที่เคยปิดสนิทปรือขึ้นพร้อมคำถามอยู่ในใจ แสงเทียนอยากเขย่าร่างบางที่นอนเคียงข้างอยู่ให้ลุกขึ้นมาตอบคำถามเธอเหลือเกิน หากติดที่ว่าเธอกลัว ว่ามันจะจบลงแบบก่อนหน้าอีก...ก็ผู้หญิงตรงหน้าหาเรื่องเอาเปรียบเธออยู่ร่ำไป!เมื่อต่างคนต่างเงียบบวกกับอากาศเย็นสบายต่างก็กลับสู่ห้วงนิทราพร้อม ๆ กับความอ่อนล้าของทั้งคู่รุ่งเช้าของวันใหม่ร่างบางที่เคยเว้นระยะห่าง หากเมื่อเวลาผ่านไป กลับอยู่ในสภาพก่ายกอดกัน ประหนึ่งต่างฝ่ายต่างต้องการความอบอุ่นของกันและกัน และถูกปลุกด้วยแสงสว่างยามเช้าที่ส่องผ่านช่องว่างของม่านหน้าต่าง ทำให้นัยน์ตาที่หลับพริ้มอยู่เริ่มขยับปรือน้อย ๆ หากแต่ประสาทรับรู้ยังคงหนักอึ้ง ค่อย ๆ รู้สึกถึงความสว่างและเสียงนกน้อยร้องประสานก้องไปทั่วบ้านพัก“อื้อ...” เสียงแผ่วดังขึ้นแล้วบิดตัวเพื่อลดความเมื่อยขบ ก่อนจะขยับตัวแล้วนอนหงาย “เช้าแล้วหรือนี้...” แสงเทียนลืมตาอย่างยากล
“เป็นงานเหมือนกันนี่...”จังหวะหนึ่งธัญกรหยุดพร้อมกับเอ่ยปากชม หากคนบนตักหูอื้อ สมองเบลอกลับไม่ได้ยินคำใด นอกจากตั้งหน้าตั้งตาแอ่นอกยกสะโพกโยกรับการสัมผัสจากนิ้วเรียวที่ยังบรรเลงอยู่ในช่องแคบที่ตอดรัด โดยเธอแหงนหน้าพร้อมกับห่อปากสูดอากาศเข้าปอด เมื่อต้องการตัวช่วยผ่อนคลายความรัญจวนที่อีกฝ่ายเหมือนเสแสร้งแกล้งหยอกเอินให้เธอคลั่ง“อ๊ะ...คุณธัญ ทะ เทียน ไม่ไหวแล้ว...” เธอเว้าวอนเสียงแผ่ว เนื้อตัวแดงก่ำ เมื่อเพลิงกามาที่ธัญกรมอบให้เริ่มเต็มหน่วย สมองอื้อตาพร่าพราวใกล้ถึงขีดสุด “ใจเย็นก่อน อ่าส์...” น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยบอก แต่ที่จริงในกายรุ่มร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิง ก่อนจะทาบริมฝีปากอวบเข้ากลีบปากบางที่เผยออย่างเย้ายวน ทำให้ลิ้นร้อน ๆ สามารถแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นร้อนชื้นดุนดันหยอกเอินกันไปมา จากนั้นก็ประคองใบหน้าหวานและบดจูบหนักหน่วงยิ่งขึ้น “อื้อ...” แสงเทียนยังส่งเสียงคราง เมื่อริมฝีปากอวบของ ธัญกรเปลี่ยนบทบาทจากที่จูบดูดดื่ม ไล้ลงไปขบเม้มซอกคออุ่นจนเกิดรอยแดงมือเรียวบางเริ่มลูบไล้สะเปะสะปะใปตามแผ่นหลังกว้างและวกกลับมาที่หน้าท้องราบแบนของธัญกรด้วยความลืมตัว
“คุ คุณ!” เธอต่อว่าเขาทางสายตา เหมือนจะบอกว่า ไม่มีมารยาท!“เออรับไปสิ เดี๋ยวพ่อคุณก็รอนานหรอก”“หา...” เสียงแหลมแผดดัง พร้อมกับตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนจะรีบหุบปากฉับ และค่อย ๆ ถามเสียงแผ่วเบา “คุ คุณว่าไงนะคะ”“พ่อคุณโทรมา” เธอตอบสวนกลับไปน้ำเสียงคงเดิม โดยไม่กลัวว่าคนรอสายจะได้ยินหรือไม่เมื่อได้ยินคำตอบชัดเจนมือเรียวรีบคว้ามือถือของตัวเองทันที ก่อนจะกำเครื่องมือสื่อสารไว้แน่น เหมือนต้องการย้ำเตือนว่าตอนนี้ เธอกำลังเจอเรื่องหนักอกอีกเรื่องเข้าแล้วแสงเทียนสูดอากาศเข้าปอดแรง ๆ แล้วผ่อนออกมาช้า ๆ ย่างทำใจ แล้วค่อย ๆ ยกมือถือขึ้นแนบข้างหูและกรอกน้ำเสียงแผ่วเข้าไป“สวัสดีค่ะคุณพ่อ...” เธอทักทายเพื่อหยั่งเชิง“ใช่ลูกพ่อเอง ลูกอยู่ไหนและอยู่กับใคร...”“คือ...” คำถามที่ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ ทำเอาสมองตื้อปากหนักขึ้นฉับพลัน ยิ่งเห็นสีหน้าที่เธอเผอิญผันไปเห็น เหมือนกำลังเย้ยหยัน ทำให้ปากของเธอขยับลำบากขึ้นอีก“ว่าไงลูก ใช่เจ้านายที่ลูกไปทำงานด้วยเปล่า” ชายสูงวัยคาดเดาลงน้ำหนักเสียง แสงเทียนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอไม่เคยทำให้พ่อหนักใจเลยสักครั้ง“ค่ะพ่อ เจ้านายเทียนเอง”คำตอบที่ได้เรียกเสียงถอนหาย
หลังจากเดินทางออกจากที่พัก เพื่อไปยังสถานที่นัดพบตามคำบอกกล่าวของธัญกร ปฏิกิริยาเคร่งขรึมเหมือนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกของเธอก็กลับมาเยือนในความรู้สึกแสงเทียนอีกครั้ง‘ผีเข้าผีออก’ดวงตากลมโตจับจ้องร่างสูงบางที่เดินนำไปก่อนด้วยท่าทางสุขุม ซึ่งในแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง สายตามุ่งมั่นไม่วอกแวกสิ่งรอบข้าง จนแสงเทียนรู้สึกประหม่าในตัวเอง หากแต่ชื่นชมอีกฝ่าย ที่สมกับเป็นนักธุรกิจที่ใคร ๆ ก็ต้องการตัวและด้วยความเผลอตัว เมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน “ว้าย!” สุดท้ายเธอก็ชนกับแผ่นหลังบางที่หยุดเดินโดยไม่บอกกล่าวกันที่“ใจลอยไปถึงใคร” ธัญกรหันมาถามเสียงขุ่น พร้อมกระชากแขนเรียวที่เจ้าตัวชนเองกระเด็นเสียหลักเองไปหลายก้าว เข้ามาประชิดตัว “เท้ายังไม่หายดี เดินก็ระวังหน่อย”จะว่าเธอห่วงหรือสมเพชดีนะ... “ฮึ...” เธอทำเสียงขึ้นจมูกมองสบตาคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ แล้วพยายามสะบัดตัวหนีเพื่อเว้นระยะห่าง แต่มือเรียวไม่ปล่อยให้ทำได้ดั่งใจ เธอจึงได้แต่ยืนขืนตัวอยู่ตรงนั้น“โกรธเหรอ...” ธัญกรถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ต่อปากต่อคำเหมือนอย่างเคย“โกรธคุณเหรอ”“ใช่”“จะโกรธคุณทำไม ในเมื่อเลือกเอง”“งั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อเล
แสงเทียนอ้าปากค้าง จะร้องห้ามก็ไม่ทันการ เมื่อรถคันหรูจอดอยู่หน้ามุขเรียบร้อยแล้วลินดาที่เพิ่งกลับจากด้านนอกโดยที่ยังไม่ทันก้าวผ่านประตูก็หยุดชะงัก หันมองกลับไปทางด้านหลัง ครั้นรถจอดสนิทนิ่ง นางถึงกับมองตาค้างลูกเทียน แล้วมากับใคร... นางจึงตัดสินใจยืนคอยแทนที่จะรีบเข้าบ้าน ที่สำคัญนางอยากรู้ว่าเจ้าของรถคันราคาหลายล้านคนนั้นเป็นใคร...ภายในรถเกือบเกิดศึกขนาดย่อย เมื่อแสงเทียนเอ่ยขึ้นอย่างโมโหว่า“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเข้ามา หรือคุณอยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่”ธัญกรไหวไหล่ ก็นั้นละที่เธออยากให้เป็น...“นั่นมันเรื่องของคุณ” เธอตอบอย่างไม่สนใจแสงเทียนหน้าตึงอย่างแค้นเคือง ก่อนจะเปิดประตูลงไปพร้อมกระแทกประตูกลับเสียงดัง จนเจ้าของต้องสูดปากแกล้งทำเป็นหวาดเสียว แล้วเปิดประตูรถเดินตามลงตามไปแสงเทียนเห็นผู้เป็นแม่ยืนอยู่ จากที่อารมณ์ขุ่นมัว ก็รีบปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วยกมือไหว้กล่าวทักทายมารดา“สวัสดีค่ะแม่”“กลับมาแล้วหรือ แล้วงานเป็นไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม”น้ำเสียงเจือแววปลื้มปริ่ม มองสำรวจใบหน้าหวานของลูกสาวเพียงครู่ก็ผันมองดูเจ้าของรถด้วยแววตาหลากหลาย “คุณธัญกร เจ้านายเทียนเองค