แสงเทียนรีบเดินเลี่ยงออกไปชิดริมฟุตปาธ เมื่อคิดว่าตนเองอาจเดินไปขวางทางรถ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่ที่เธอเดินอยู่ไม่น่าจะใช่ จึงหันกลับไปมองและได้เห็นใบหน้าสวยคมที่กำลังชะลอรถและเลื่อนกระจกลง โดยมีผู้หญิงนั่งคู่กันมา“จะไปไหน ขึ้นรถสิ เดี๋ยวจะไปส่ง” เมื่อได้จังหวะ สายตาประสบกันพอเหมาะพอเจาะ ธัญกรเจ้าของรถคันหรูก็ถามทันที“...” คำพูดถูกกลืนหาย แสงเทียนรู้สึกความร้อนพาดผ่านบนใบหน้า เมื่อนึกถึงการกระทำที่ผ่านมาก่อนหน้าของผู้หญิงที่กำลังควงสาวอื่นต่อหน้าต่อตาเธอใบข้าวได้แต่จิกมองซีกหน้าคนบนทางเท้า เมื่อได้ยินคำถามของผู้หญิงที่คิดว่าไม่กล้ามองสาวคนไหนนอกจากเธอ “ใครคะพี่ธัญ” เสียงเคยหวานหยดขุ่นขึ้น แต่ธัญกรไม่สน“หุ้นส่วน” เธอตอบได้เต็มปากเต็มคำ แสงเทียนได้ยินทุกถ้อยคำ ได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองไว้ ‘หุ้นส่วนงั้นเหรอ’คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าที่แต่งไว้จัดจ้านคลายลงไปเล็กน้อย แต่ก็ใช่จะไว้วางใจ เพราะเจ้าของรูปร่างสมส่วน แม้จะเดินอยู่บนถนน ท่าทางรีบร้อนแต่ก็สง่างามจนน่าอิจฉาแสงเทียนเพ่งมองให้แน่ใจ กับคำถามที่ได้ยินจากอีกฝ่าย แต่สะดุดกับใบหน้าที่แต่งไว้จัดจ้าน โดยกรีดอายไลเนอร์ในโทนสีที่สาวๆ เกาหลีนิ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงใส ๆ ของใบข้าวที่คอยถามไถ่ความเป็นไปของแสงเทียนตั้งแต่แยกกัน จนมาเจอกันอีกครั้งตอนนี้ไม่ขาดปาก โดยมีผู้ร่วมฟังที่ดีคอยปรับสีหน้าใคร่รู้ตาม แม้อาหารจะมีอยู่เต็มปาก หากแต่เป็นภาพที่มองดูเป็นธรรมชาติไม่ไว้ตัวเหมือนผู้หญิงบางคนที่ชอบทำตัวเหนียม ชี้นิ้วกรีดกราย ยามอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบ “แล้วนี่ไปเป็นหุ้นส่วนกันตอนไหน... แล้วทำเกี่ยวกับอะไรคะ” เมื่อหมดคำถามจากเพื่อนสาวที่แก่กว่า ก็หันมาถามหญิงสาวที่นั่งคู่กัน โดยเธอตกลงใจจะจับให้อยู่หมัด แม้ว่าเคยตกลงกันไว้ว่าระยะที่มีความสัมพันธ์กัน ไม่มีการผูกมัดใด ๆ เพราะที่คบกันก็ด้วยความพึงพอใจทั้งสองฝ่ายและข้อตกลงทั้งหมดนั้นใบข้าวเป็นคนตั้งขึ้นเอง โดยที่ธัญกรเองก็ไม่ขัดข้อง“...”ธัญกรอึ้งไป หากแต่ใบข้าวยิ้มหน้าระรื่นรอฟัง แม้รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรถาม แต่สิทธิ์ของความคุ้นเคยและได้ใกล้ชิดมากกว่าสาวคนไหน ๆ เธอจึงมั่นใจว่าคำนี้ ไม่เป็นที่น่าเกลียดหากเธอจะถาม “อืม ก็ไม่นานนะ...ส่วนทำอะไรก็ต้องดูเอา” “ตอบแบบนี้ต้องมีโครงการใหม่มาอีกแน่ใช่ไหมคะ” ใบข้าวคาดเดาด้วยความมั่นใจ “ก็คงงั้นแหละ”ส่ว
“พูดผิดแล้ว ใบข้าวไม่ได้เบี่ยงแบน แต่มันคือความชอบที่ใบข้าวคิดว่ามั่นใจแล้ว” สายตาไม่อนาทรคู่ขาที่บังเอิญเกิดความสัมพันธ์ทางร่างกายกันขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ หากแต่ฝ่ายชายกลับยึดติดความสัมพันธ์ฉาบฉวยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “โกหก ใบข้าวไม่ได้ชอบแบบนี้” “จริง แค่ตอนนั้นใบข้าวยังไม่รู้ใจตัวเอง” ใบบ้าวเถียงกลับ ธามไทกระตุกยิ้ม “จะให้ทำอีกครั้งไหม จะได้รู้ว่าใบข้าวชอบแบบไหนกันแน่” “ไม่” แล้วเธอก็สะบัดตัวออกห่าง“อย่ามาทำเป็นรังเกียจ หรือจะให้ผมแสดงตัว” ธามไทไม่ได้ขู่ เพราะแม้ใบบัวจะอยู่ใกล้ผู้หญิงเหมือนกันตัวเองก็หวง “แสดงบ้าอะไร” เธอถามเสียงตื่น “ก็แสดงตัวว่า ใบข้าวเป็นของใคร!” ริมฝีปากบางยกยิ้ม พร้อมทำเสียงอย่างหยัน ๆ ในความคิดอีกฝ่าย“หึ... คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้หรือไง ทำซะออกนอกหน้าขนาดนี้” “รู้แล้วยังเล่นตัว ไม่รู้ใจตัวเองอยู่อีก” “ใบข้าวไม่ได้เล่นตัว แต่แค่เลือกแล้ว” “ที่ว่าเลือกแล้ว เลือกผู้หญิงน่ะเหรอ” “ใช่!” “เพราะ?” “เพราะ... พี่ธามก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ระหว่างนักธุรกิจพันล้านกั
ธามไทกระหยิ่มอกพองโต เธอร้อนถูกใจเขาทุกอย่าง โดยไม่รอให้ผู้หญิงเป็นรุก จึงใช้ลิ้นร้อนชื้นสอดเข้าในโพรงปากอุ่นร้อน ดูดดุนดันควานหาความหอมหวานและร้อนแรงจากริมฝีปากตรงหน้าอย่างโหยหาและพึงพอใจ “พี่ธาม ...อืมม” เสียงครางต่ำจากคนใต้ร่าง ทำให้ชายชาตรีอย่างธามไทรู้เลยว่าคนที่เขาต้องการคือเธอตลอดไปนั้นพอใจแค่ไหนเอวเล็กเริ่มยกสูง ตอบโต้เป็นจังหวะแล้วส่ายไปมา สิ่งที่ต่อเชื่อมกันกดลึกแล้วดึงออก เรียกความกระสันเสียวได้ทุกจังหวะ มือหนาทำหน้าที่บดคลึงสองเต้ากลมที่ชูชันสู้ ก่อนจะเปลี่ยนจากมือเป็นปลายลิ้นของเขา มือหนาเปลี่ยนหน้าที่ใหม่ลากไล้วนเวียนที่ใต้สะดือและสะโพกมน บีบเคล้นอย่างเมามันจนเกิดรอยแดงทิ้งไว้ทุกที่ หากแต่ไม่เจ็บใจกลางตอดรัดแก่นกาย ธามไทเริ่มเร่งมือ กดย้ำจังหวะเอวให้เร็วขึ้น ขยับถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ขาเรียวต้องยกขึ้นรัดเอวสอบไว้ เป็นจังหวะดีสะโพกเนียนยกสูงขยับเข้าหาตามจังหวะตอบรับอย่างลงตัว“บะ ใบข้าว ไม่ไหวแล้วนะ...” ริมฝีปากเรียวบางครางบอกเสียงพร่าแล้วถูกกลืนหาย เมื่อริมฝีปากหนาไม่ปล่อยให้เรียวปากบางเป็นอิสระได้นานก็ก้มจูบดูดกลืนเสียงหวานหายลงลำคอทุกส่วนในร่างกายทำหน้าที่
ก็เมื่อเธอเป็นคนลงลายเซ็นยินยอมนั้นเอง...“หรือคุณอยากให้มีการยกเลิก ก็ทำให้ได้นะ... แค่ยกมือถือแล้วโทรออกไป” คนเจ้าเล่ห์ หยั่งเชิงดู“ยกเลิก อะไร”แสงเทียนถามเสียงรน เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องเสียความรู้สึกไปมากเท่าไหร่ แล้วเมื่อเธอกล้าข้ามผ่านจุดนั้นมาแล้ว ก็จะไม่ถอยหลังเด็ดขาด!“อ้าว สัญญาของเราทุกข้อไง”“...” แสงเทียนจ้องหน้าคนชอบขู่ รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ได้บอกยกเลิกนะ แต่แค่บอกว่าไม่พร้อม ขอเวลาหน่อยสิ” เธอเอ่ยเสียงเบา คล้ายคนบ่นอยู่กับตัวเอง“คุณว่าอะไรนะ… ได้ยินไม่ถนัด” ธัญกรถามพร้อมกับเอียงศีรษะเพื่อไปฟังประโยคนั้นใหม่แสงเทียนกำหมัดแน่น รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจแกล้ง “ก็ไม่ได้บอกจะให้ยกเลิกสัญญาไง”“งั้นก็ไม่มีข้ออ้างเนอะ” ธัญกรสรุป“คึ คือเทียน เอ่อไม่เคย...” น้ำเสียงขาดห้วง กระดากปาก เมื่อเธอจินตนาการไปด้วย ประสบการณ์ไม่มี อาจทำให้เขาหงุดหงิด ก็ดูเอาแต่ใจสะขนาดนั้น“ไม่น่าเชื่อ...” ธัญกรทำท่าแปลกใจ“แต่ไม่เป็นไร ครูดีไม่ต้องกลัว”“...เอ่อ” พูดไปก็มีแต่เสีย แสงเทียนจึงเก็บคำพูดไว้ค่างคนต่างเงียบ ไม่มีใครยอมอ่อนให้ ธัญกรเลยเปลี่ยนเรื่อง“โทรหาพ่อคุณสิ ป่านนี้คงเปิดแชมเป
แสงเทียนอยากลบภาพมาดนักธุรกิจก่อนหน้านี้ของธัญกรให้ออกจากสมองให้หมดเสียเดี๋ยวนั้น เพราะคนตรงหน้าตอนนี้เกือบกลายเป็นคนละคน ใจดีหัวหมอหน้ามึนหรือหื่นกระหายกันแน่! “ขอกลับบ้านไปเตรียมเสื้อผ้าก่อนได้ไหมคะ”แสงเทียนพยายามไม่ใส่อารมณ์ ทั้งที่สายตานั่นเกือบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธออยู่ร่อมร่อ แล้วแบบนี้จะให้อยู่ใกล้ ด้วยความอุ่นใจได้ไง... เหมือนธัญกรจะอ่านความคิดแสงเทียนออก เธอจึงเดินเข้ามาใกล้ มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าใหม่ แล้วหยุดสายตาอยู่ตรงหน้าอกอวบตึง เพื่อแกล้งคนเรื่องมากใบหน้าหวานร้อนผะผ่าวเมื่อโดนสายตาอีกฝ่ายจ้องมาอย่างเปิดเผย หากแต่ไม่กล้าต่อว่า“เดือดร้อนอะไรหนักหนาคะ ก็บอกอยู่ว่าเลือกเอาไปใส่ได้เลย” เธอทำเสียงแข็งใส่แสงเทียนหน้ายู่ จิกตาค้อนขวับ หากแต่จะโวยวายก็ไร้ประโยชน์ “ก็เสื้อผ้าใส่ได้อยู่ค่ะ...แต่ชุด...” แล้วมองไปตรงจุดหนึ่งในร่างกาย ธัญกรหัวเราะพรืด “ใส่กันได้อยู่นะ” ธัญกรบอกโดยไม่มีอาการเคอะเขิน แสงเทียนหน้าซีดแล้วซีดอีก ชุดชั้นในเนี่ยนะ!“ของมีพร้อมอยู่แล้ว ด้านขวาลิ้นชักยังไม่ได้ใช้ เลือกเอาไปได้เลย แล้วรีบไปเตรียมกระเป๋าเถอะ ก่อนที่ฉัน
“หนูต้องเดินทางแล้วนะคะ”“จ้า ตั้งใจทำงานนะลูกนะ แล้วแม่จะบอกพ่อให้” เสียงแหลมเอ่ยบอกแล้วกดวางสายไปด้วยความรีบร้อนแสงเทียนมองเครื่องมือสื่อสารค้างไว้ ขอบตาร้อนผ่าวน้ำตาปลื้มปริ่ม“เรียบร้อยยัง” เจ้าของรถคันใหม่เอี่ยมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเลื่อนลอย โดยมีทีท่าไม่สนใจเธอที่ยืนรออยู่ คนต้องปลุกจากความคิดแสงเทียนสะดุ้งมองธัญกรตาปริบ ๆ เมื่อนึกขึ้นได้“เอา ยังมองหน้าอีก ไป๊ ไปกันได้แล้วจะได้ไม่ค่ำ”แสงเทียนรีบเดินไปหาและนั่งลงในที่ของตัวเอง“คุณธัญแน่ใจหรือคะ ว่าไม่ต้องการเอาเลขาส่วนตัวจริง ๆ”เมื่อรถเคลื่อนตัวบนถนนสายหลักและความเร็วคงที่ เสียงหวานขื่น ๆ ก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงธัญกรหันมองหน้าหญิงสาวแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปมองถนนและเอ่ยขึ้น“ทำงานมานาน เป็นนายตัวเองมาก็หลายปี เลขาไม่สำคัญต้องตามติดเจ้านายไปทุกที่ เลขาก็แค่ทำงานที่มอบหมายให้สำเร็จลุล่วงตามคำสั่งก็เพียงพอ เพราะคนพวกนั้นไม่สำคัญเท่าผู้หญิงที่ต้องพกติดไปไหนทุกครั้งหรอก”“...” อย่างเช่นตอนนี้ใช่ไหม ‘ผู้หญิงที่เธอต้องพกติดตัว’ข้างกายของธัญกรไม่เคยขาดผู้หญิงสินะ แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกเลือกใช่ไหม... เธออยากจะตบปา
ธัญกรจึงก้มหยิบกระเป๋าและเอกสารบางอย่างที่เอาติดตัวมาด้วยเข้าที่พักไปเงียบ ๆเมื่อคนทำให้ใจเธอสั่นไหวเดินจากไปแล้ว บรรยากาศที่กลมกลืนกับธรรมชาติสไตล์ป่าเขาและลำธาร ไม่อาจทำให้ใจของเธอเพลิดเพลินหรือสงบลงได้ หากแต่ทนยืนมองอยู่อย่างนั้น ในใจก็ก่นด่าคนบ้านพักไปอีกหลายครั้ง“คนเอาแต่ใจ ไม่คิดสอบถามความสมัครใจหรือเห็นด้วยเลยหรือไร” เธอหันไปค้อนคนในบ้านพักตาคว่ำ เจ็บจี๊ดในใจเหมือนโดนมีดกรีดเป็นร่องลึก ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ที่เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองตั้งแต่จำความได้ มาบัดนี้ต้องมาขายร่างกายเพื่อทดแทนบุญคุณบุพการี เรื่องแบบนี้ใครกล้ายกย่องให้ตัวเองสูงส่งได้ล่ะ หากไม่ใช่ความรู้สึกอับอายขายหน้าจนอยากมุดผืนแผ่นดินหนีหายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!เฮ้อ! คิดแล้วถอนหายใจหันหลังให้กับทิวทัศน์สวยงามตรงหน้า“อุ๊ย!/ เอ๊ย!” ร่างบางเซเสียหลัก และด้วยสัญชาตญาณมือของเธอก็คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวติดมือไปด้วย นั่นก็คือร่างบางที่เดินพรวดพลาดเข้ามาจนเป็นเหตุให้ชนกันเอง“ขะ ขอโทษค่ะ...” แสงเทียนรีบบอกรีบดันตัวเองออกห่าง แต่อีกฝ่ายยังกอดรัดไว้แน่น “แล้วนี่เดินเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันเลย” เธอต
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต