คนบนรถเงียบ มาจนถึงวิลล่าที่นอร์เวย์ของจิเหยียนโจว สถานที่ที่ถูกตัดขาด และห่างไกล จนไม่มีแม้แต่สัญญาณจิเหยียนโจวสั่งให้คนรับใช้แยกกันแบกซูหว่านกับเด็กน้อยเข้าห้อง จากนั้นหยิบบุหรี่ออกมาซองนึง โยนให้จอร์จ ทั้งสองคนสวมเสื้อ เดินออกจากวิลล่าจิเหยียนโจวกัดบุหรี่ จุดไฟแช็ก แล้วจุดไฟให้จอร์จก่อน แล้วค่อยจุดให้ตัวเอง ทั้งสองคนสูบและพ่นควันออกมา โดยที่ไม่พูดอะไรจอร์จอาศัยแสงสลัวและอากาศที่หนาวเหน็บของนอร์เวย์ มองไปยังจิเหยียนโจวที่ยืนย้อนแสงอยู่ "นายวางแผนจะทำยังไง?"จิเหยียนโจวเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ "ทำยังไงอะไร?"จอร์จสอดมือที่หนาวจนแข็งเข้ากระเป๋าเสื้อโค้ท "นายแย่งลูกของชูยีมา แล้วก็ชิงตัวคุณซูมาอีก ตั้งใจจะอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิต?"จิเหยียนโจวสูงบุหรี่ทีนึง แล้วถามกลับจอร์จ "ไม่ได้หรอ?"จอร์จได้ยินดังนั้น ก็ถอนหายใจหนัก "จิ นายจะอยู่กับพวกเธอทั้งชีวิตในนามอะไร?"ลูกของชูยี มีพ่อเป็นของตัวเอง คุณซูก็มีคนที่ตัวเองรัก พวกเธอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิเหยียนโจวจิเหยียนโจวกระตุกผุยผงบุหรี่ พูดด้วยความไม่แคร์ "ไม่มีนาม แล้วจะใช้ชีวิตไม่ได้หรือไง?"จอร์จขมวดคิ้ว "จิ คนตั้งมากมายกำลังตาม
ซูหว่านยังคงไม่อยากพูด จอร์จก็ไม่ได้บังคับเธอ เพียงแต่ในวันต่อๆมา ก็อุ้มกั่วกัวมาเยี่ยมเธอดังปกติในช่วงเช้า กั่วกัวจะเกาะอยู่หน้าเตียงของซูหว่าน ใช้นิ้วมือจ้ำม้ำจิ้มหน้าของเธอเล่น"คุณ เหมือนตุ๊กตาที่ปะปี๊ซื้อให้หนูเลย เค้าหน้าตาน่ารักเหมือนคุณน้า แล้วก็พูดไม่ได้..."ก็ไม่รู้ว่าจอร์จพูดกล่อมกั่วกัวจนเชื่อได้ยังไง นอกจากที่เจอกันครั้งแรก แล้วเรียกเธอว่าหม่ามี๊ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรียกเธอคุณน้าคำว่าคุณน้าที่เรียกขานไม่หยุด ทำเอาหัวใจของซูหว่านรู้สึกอบอุ่น ตกกลางคืนถึงเวลานอน ก็ยังอดกอดร่างเล็กจ้อยของกั่วกัวอย่างไม่รู้ตัวก็เหมือนกับท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ทันใดนั้นก็เจอเรือน้อยๆลำนึง ขณะที่พาเธอออกไปท่องโลกนั้น ทำให้เธอเห็นวิวทิวทัศน์ที่สดใสซูหว่านก้มหน้าลงมองเด็กน้อยในอ้อมกอด อยากดูว่าเธอหน้าตายังไงแต่พบว่าดวงตาของเธอมองไม่เห็น อารมณ์ที่นึกเสียดายก็ทะลักเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง...ถ้าตายไปแล้วจะกลับมามองเห็นอีกไหม?ถ้าไม่ งั้นแม้กระทั่งตายไปแล้วเธอก็จะไม่เห็นว่าจี้ซือหานเป็นยังไงใช่ไหม...ซูหว่านกอดกั่วกัว ดวงตาที่ว่างเปล่าเปิดออก มองไปยังสถานที่ที่นึงไกลๆ...ซ
ณ เมืองเอ โรงพยาบาลของอลันนับตั้งแต่ระยะเวลาที่จี้ซือหานไม่ได้สติ ก็ผ่านไปสองเดือนแล้วชายหนุ่มเป็นเตียงคนไข้ ใบหน้าที่งามสง่าราวหมอก ผิวขาวสว่างใส ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท เห็นก็แต่แพขนตาหนาดำเขานอนอยู่บนเตียงสีขาวเงียบๆ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด ราวกับไปจากโลกอันวุ่นวายนี้ไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่กายหยาบจี้เหลียงชวนรับคอตตอนบัดที่ซูชิงส่งมาให้ จุ่มน้ำอุ่น แล้วซับริมฝีปากแห้งกร้านแทนชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงคนไข้หลังจากซับเสร็จ ก็เอาผ้าขนหนูสะอาดมาเช็ดหน้าผากให้ชายหนุ่ม พร้อมกับถามหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลัง "ยังหาไม่เจอหรอ?"หัวหน้าบอดี้การ์ดก้มศีรษะลงครึ่งนึง สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ "ขอโทษครับ ฝั่งที่อยู่อังกฤษก็ยังหาไม่พบครับ..."จี้เหลียงชวนได้ยินดังนั้น ก็กำผ้าขนหนูในมือแน่น หันไป แล้วโยนใส่หัวของหัวหน้าบอดี้การ์ด "พวกขยะ แค่คนๆเดียวก็ยังหาไม่เจอ!"หัวหน้าบอดี้การ์ดไม่กล้าแม้แต่ขยับ ปล่อยให้จี้เหลียงชวนระบายความโกรธ "สามเดือนที่แล้ว เครื่องบินส่วนตัวลำนั้นที่บินไปอังกฤษ มีคนเห็นเธอขึ้นไปแน่ๆ ทำไมถึงหาไม่เจอ?!"จี้เหลียงชวนเดือดจนหน้าเขียวไปหมด ชี้หน้าหัวหน้า
หลังจากที่ซูชิงดึงสติกลับมาจากความตกใจได้ เขาก็รีบสาวเท้าตรงไปยังเตียงผู้ป่วยอย่างกระตือรือร้น พลันจ้องมองดวงตาของจี้ซือหานขนตาที่เรียงเป็นแพหนาสั่นไหวไปมาให้ความรู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้อยู่กับใครบางคนในฝัน...จี้ซือหานพยายามจะลืมตาขึ้นมา ทว่าแม้เขาจะพยายามเท่าไรมันก็ไม่ยอมลืมเสียที...เขากำลังติดอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันสวยงาม ในฝันซูหว่านกำลังโอบกอดลูกของพวกเขาพร้อมกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขจี้ซือหานจมอยู่ในความฝันโดยไม่อยากจะจากไป ทว่าวันหนึ่งกลับมีซูหว่านอีกร่างที่ดูไร้ชีวิตชีวายื่นมือออกมาหาเขาซูชิงที่คอยเฝ้ามองซือหานตลอดทั้งคืนเอามือลูบท้องของตัวเองเบาๆ เธอร้องไห้พร้อมกล่าว "ซือหานฉันคิดถึงคุณจังเลย เมื่อไรคุณจะมารับฉันล่ะ"จี้ซือหานหันกลับไปมองซูหว่านที่กำลังอุ้มลูกพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ตน ขณะเดียวกันเขาก็หันกลับมามองซูหว่านอีกคนที่ยืนร้องไห้จนตาบวมอยู่ในกลุ่มหมอกเขาแยกไม่ออกว่าใครคือซูหว่านตัวจริงกันแน่ จึงทำได้แค่เพียงตกอยู่ในสภาวะที่ต้องดิ้นรนสับสนระหว่างความสุขและความเสียใจท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะเดินไปหาซูหว่านที่แทบจะทำให้ตนปวดใจราวกับเป็นอัมพาต ยิ่งเข้าใกล้เธอ
นี่ประธานจี้กำลังคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอกอยู่?พอดีเลยเขากับซูเหยียนเดิมทีก็มีเรื่องบาดหมางกันอยู่แล้ว งั้นก็รวมยอดทั้งของเก่าของใหม่รวมกันเลยเป็นไง?ซูชิงที่เต็มไปด้วยพลังบวกตอบรับจี้ซือหาน "ไม่ต้องห่วงครับ ให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ"เมื่อทำการมอบหมายภารกิจสำเร็จ จี้ซือหานก็พยายามจะดันตัวเองขึ้นมา แต่เขากลับพบว่านอกจากนิ้วมือที่ขยับไปมาได้แล้วนั้นทั่วทั้งร่างกายเขาก็ไม่สามารถขยับได้เลยนิ้วมือถูกเขาบิดทีละนิ้วเป็นการรวบรวมพลังทั้งหมด จี้ซือหานรวมแรงไปที่ฝ่ามือหวังว่ามันจะช่วยดันตัวเขาขึ้นมาได้ แต่มันก็ไร้ประโยชน์รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าวิจิตรดุจประติมากรรมชั้นยอดนั้นปรากฎเหงื่อพราย ซูชิงจึงรีบเข้าไปห้ามปราม"ประธานจี้คุณเพิ่งจะฟื้นหลังจากหมดสติไปนาน อย่าเพิ่งขยับอะไรมากเลยครับ ผมว่าคุณควรฟื้นฟูร่างกายก่อนสักพักแล้วก็ทำกายภาพบำบัด...."จี้ซือหานลองใช้แรงยกตัวเองขึ้นมารอบแล้วรอบเล่า เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ผลเขาก็จนปัญญายอมยกธงขาว...เขาขมวดคิ้วลงอย่างห่อเหี่ยวใจพลันนึกขึ้นมาได้ว่าหว่านหว่านเองก็เคยหมดสติไปนานเช่นเดียวกันก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรับรู้ได้ถึ
จี้ซือหานพอลืมตาตื่นก็เป็นวันที่สองแล้ว พอมองไปภายในห้องพักฟื้นก็เห็นคนตระกูลจี้ยืนอยู่เต็ม คิ้วคมกริบและแววตาอันพร่างพราวก็ย้อมฉาบไปด้วยการหมดความอดทนตระกูลจี้รู้ว่าเขาเป็นคนชอบความเงียบสงบ เลยไม่ได้โหวกเหวกโวยวาย ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ แต่เพราะมันเงียบเกินไป เลยเหมือนกับการประชุมของสมาชิกครอบครัวตรงหัวเตียงมีชายอายุวัย 75 ปี สวมชุดสูทรรองเท้าหนัง ผมขาวไปทั้งหัว หน้าตาก็ยังดูอ่อนเยาว์และกระฉับกระเฉง ลำตัวตั้งตรงเหมือนกับพู่กัน ดวงตาร้อนผ่าวไปด้วยน้ำตา เขามองดูใบหน้าอันซูบเซียวและซีดขาวของจี้ซือหานเขาถือไม้เท้าไว้และกล่าวด้วย้สียงทุ้มต่ำ "ซือหาน เจ้าคงลำบากเลยสินะ"เสียงของคนวัยชราแฝงไปด้วยความรู้สึกของคนอายุที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่กลับยังคงแข็งแกร่งและมีพลังผนวกกับบรรยากาศรอบตัวราวกับจะกลืนภูเขากลืนแม่น้ำที่แผ่ซ่านออกมา พอรวมกับเสียงนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกถึงพลังพลานุภาพของความกดดันความรู้สึกดดันนั้นเป็นของคนตระกูลจี้ที่มีมาแต่กำเนิด นั่นคือบรรยากาศของคนอันทรงพลังที่ของคนที่อยู่ในตําแหน่งสูงมานาน ไม่มีใครอาจจะสามารถเทียบได้ง่ายนักจี้ซือหานก้มหน้าและพรุบสายตาลง เขาได้แต
นอร์เวย์ อาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนี้ได้สาดแสงส่องผ่านหน้าต่างของคฤหาสน์กระทบเข้ามาในห้องที่ก่อขึ้นด้วยอิฐแดงภายใต้แสงอาทิตย์ แผ่นหลังของเธอไปคลุมไปด้วยผมหยิกหนา รูปร่างเพรียวบาง พอมองจากไกลๆ ก็ให้ความรู้สึกราวกับเหมือนเป็นภาพวาดจากสีน้ำมันซูหว่านกอดกั่วกัวเอาไว้และคลำหาขนมปังในจานพร้อมกับใช้มือที่สวมถุงมือเอาไว้ค่อยๆ ฉีกขนมปังออก จากนั้นก็ค่อยป้อนเข้าปากของเด็กผู้หญิงตัวเล็กกั่วกัวอ้าปากด้วยแก้มตุ้ยนุ้ยของเธอ เธอชะเง้อคอกินขนมปังโทสต์ที่น้าสาวยื่นมาให้ หลังจากเคี้ยวขนมปังโทสต์นุ่มๆ นั้นแล้วก็เงยหน้าจึ้นหันไปมองคนฝั่งตรงข้ามจิเหยียนโจวค่อยๆ ยุรยาตรเอามีดหั่นเสต็คเนื้อ หลังจากหั่นออกมาได้เป็นชิ้นก็ตักขึ้นมาชิ้นหนึ่งและป้อนมาไว้ตรงปากของซูหว่าน"ชูยี อ้าปาก"ภายในศีรษะเล็กๆ ของกั่วกัวกลับเต็มไปด้วยความสงสัย ลุงจอร์จบอกว่าแม่ของเขาชื่อว่าชูยี น้าสาวชื่อว่าชูนวลแต่ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ ลุงแปลกๆ คนนี้เรียกน้าสาวว่าชูยี ทำให้กั่วกัวแยกไม่ออกระหว่างน้าสาวกับชูยีกั่วกัวไม่เข้าใจและไม่กล้าถาม กลัวว่าลุงแปลกๆ คนนี้จะดูเธอ เลยจึงได้แต่ก้มศีรษะเล็กๆ และทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆซูหว่านพอถูกช
ผู้ช่วยคนนั้นสั่นไปด้วยความตกใจและกล่าวอีกครั้ง "จี้ซือหานฟื้นแล้วครับ"จิเหยียนโจวตกใจได้ไม่กี่วินาทีก็กลับมามีท่าทีตามปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาและก็ไม่ได้เอามาใส่ใจเขาหยิบผ้าเช็ดมือบนโต๊ะอาหารอย่างไม่เร็วไม่ช้ามาเช็ดนิ้วที่เปื้อนโจ๊กจนสะอาด...หลังจากเขาเช็ดสะอาดก็เงยหน้าขึ้นมาและหันไปมองกล้องวงจรปิดและบอกกับผู้ช่วย "ในเมื่อฟื้นแล้ว งั้นก็เอาของไปมอบให้เขาสักชิ้น"รับรองว่าพอจี้ซือหานได้เห็นจะต้องดีใจมาก ก็แค่ไม่รู้ว่าจะดีใจมากจนอาจจะกลับไปหมดสติอีกครั้งรึเปล่า...เขาเฝ้ารออยากเห็นท่าทีของจี้ซือหาน...จี้ซือหานซึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ก็ได้เห็นคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดส่งมาที่มือถือ หัวใจเขาเหมือนกับถูกม้าเหยียบกดเอาไว้ จนเขาเจ็บปวดรวดร้างอยากจะตาย เหมือนกับลำไส้ได้ถูกตัดออกนิ้วอันสั่นเทาของเขาได้ปัดคลิปวิดีโอจิเหยียนโจวป้อนข้าวให้กับซูหว่าน จากนั้นก็เปิดคลิปวิดีโอที่สองอย่างไม่อาจควบคุมได้ซูหว่านภายในคลิปวิดีโอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นพร้อมกับยิ้มให้กับจิเหยียนโจว เรียกเขาด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน : "เหยียนโจว..."ใบหน้าของจิเหยียนโจวก็เผย