รุยมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกระป๋องเครื่องดื่มจากตู้เย็นใต้เคาน์เตอร์โยนมาให้ ผมรับไว้ เปิดฝา แล้วกระดกเข้าปาก“ถ้ามึงจะสืบจริงๆ เริ่มจากอะไร?”“ยังไม่แน่ใจ” ผมพึมพำ “แต่พวกที่เข้ามาใหม่ต้องมีจุดเชื่อมโยงกับใครสักคนที่นี้…กูต้องหาว่ามันเชื่อมกับใคร”“แล้วมึงจะเริ่มจากใคร?”ผมกระแทกกระป๋องลงกับโต๊ะเบาๆ แล้วสบตารุย“ไอ้พวกที่มึงบอกว่าแอบปล่อยของในร้าน กูอยากรู้ว่ามีใครในพวกมันที่เราเคยเจอมาก่อนบ้าง”รุยเลิกคิ้ว “มึงคิดว่าเป็นพวกหน้าเดิมที่มีใครหนุนหลังใหม่?”“ก็เป็นไปได้” ผมตอบ “ถ้าใช่…แสดงว่าพวกมันแค่หาคนใหม่มาคุมแทน”“หรือไม่…” รุยพูดแทรก “ก็มีใครบางคนแฝงตัวอยู่ในพวกมันแล้วแกล้งทำเป็นหน้าใหม่”คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งไป...ใช่…ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ แสดงว่าพวกนี้ไม่ได้มาแค่ขายของ แต่มันกำลังสืบอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกันแล้วใครกันที่มันต้องการทดสอบ?ผมกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ แล้วหันไปมองรุย “กูขอรายชื่อพวกนั้นหน่อย”“หึ กะไว้แล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้” รุยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววางมันลงตรงหน้าผมหน้าจอแสดงรายชื่อและรูปของคนที่เคยมีประวัติแอบป
ผมนั่งอยู่หลังพวงมาลัย รถเคลื่อนตัวไปบนถนนกลางดึก มีเพียงแสงไฟริมทางที่ส่องเป็นแนวเส้นนำทางไปข้างหน้าเสียงเครื่องยนต์ดังสม่ำเสมอ แต่ในหัวของผมกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายชื่อของไอ้หมอนั่น…มันอยู่ทั้งในลิสต์ของพี่ริว และในข้อมูลที่รุยได้มาถ้าพี่ริวกำลังตามสืบหมอนี่จริง ทำไมเขาถึงไม่พูดให้ชัดไปเลย? แล้วถ้าเขารู้อยู่แล้วว่าหมอนี่เป็นหนึ่งในพวกที่ปล่อยของ ทำไมเขาถึงไม่จัดการเอง แต่กลับปล่อยให้ข้อมูลมันรั่วไหลมาถึงพวกผม?ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยมันเหมือนกับว่า…ผมกำลังถูกไล่ต้อนให้เดินเข้าสู่เส้นทางบางอย่างที่มีใครสักคนวางเอาไว้แล้ว…และผมเกลียดการเป็นหมากในเกมของคนอื่นที่สุดผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความที่ได้รับจากแหล่งข่าวที่เคยช่วยผมมาก่อน‘เจอหมอนี่ได้ที่โกดังร้างท้ายซอย 14 ตีสอง’ผมกดล็อกหน้าจอ นัยน์ตาจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าซอย 14 เป็นพื้นที่ค่อนข้างเปลี่ยว อยู่ตรงเขตอุตสาหกรรมเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปหลายปีแล้ว พวกค้าของเถื่อนมักใช้สถานที่แบบนี้เป็นจุดนัดพบหรือลำเลียงของ ถ้าหมอนี่อยู่ที่นั่น ก็มีความเป็นไปได้สูงว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายของล็อตใหม่…หรือมันอาจจะกำลังรอ
เสียงกระสุนยังดังเป็นระยะ แม้พวกมันจะถูกไต้ฝุ่น รุย ฮิลล์ พี่ริว และสารวัตรเล่นงานไปพอสมควร แต่ยังมีบางคนที่ดื้อด้านพยายามดักซุ่มยิงอยู่ตามมุมโกดัง“ต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกมันจะตามคนมาเพิ่ม!” ฮิลล์พูดเสียงดัง ขณะที่กำจัดศัตรูตรงหน้าอย่างเยือกเย็นไต้ฝุ่นยิงกระสุนไปอีกสองนัด พลางหันมามองผมกับสารวัตร “ถ้ายังไม่เลิกยืนใกล้กันแบบนี้ พวกกูขอออกไปก่อนเลยนะ” หลังจากนั้นมันหันไปสบตากับพี่ริวก่อนส่งแม็กกาซีนที่เตรียมไว้ให้แล้วค้อนสายตากลับไปสนใจอีกฝั่งต่อรุยหัวเราะหึๆ ขณะรีโหลดกระสุน “เออ จริง ถ้าจะมีโมเมนต์แบบ ‘ฉันดีใจที่นายไม่เป็นอะไร’ ก็รอให้พ้นจากนรกนี่ก่อนค่อยทำ”สารวัตรดูเหมือนจะไม่สนใจคำพูดของพวกมัน เขายังคงจับแขนผมแน่น ดวงตาสีเข้มจ้องมองเหมือนกำลังสแกนหาบาดแผล“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เสียงของเขายังคงแข็งกระด้างผมกระจ้องหน้าเขาก่อนจะถอนหายใจ กลับไปผมต้องละลายความเย็นชาของเขายังไง“ผมไม่เป็นไร” ผมตอบเสียงอ่อย ก็ตอนนี้ผมกำลังเป็นคนผิดอยู่นี่ จะมั่นหน้าเดี๋ยวอาจจบไม่สวยหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงปัง! ปัง!เสียงกระสุนดังขึ้นกระชั้นชิด ผมแทบไม่ทันตั้งตัว แต่ร่างของสารวัตรขยับเข้ามาแทบจะทันท
เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องท่ามกลางความเงียบของถนนยามดึก ไฟหน้าของรถที่ไล่ตามพวกเราสาดแสงวูบวาบสะท้อนกระจกหลัง ฮิลล์ยังคงควบคุมพวงมาลัยอย่างมั่นคง แม้เส้นทางที่เขาพาเลี้ยวเข้ามาจะคับแคบและคดเคี้ยว“อีกไกลแค่ไหน?” ผมถามเสียงเครียด มือกำปืนแน่น“ไม่เกินห้านาที” ฮิลล์ตอบกลับโดยไม่ละสายตาจากถนน “แต่ปัญหาคือพวกมันมาเร็วเกินกว่าที่คิด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ พวกมันต้องหาทางล้อมเราก่อนถึงจุดหมายแน่”“ให้ฉันจัดการก่อนเลยไหม?” ไต้ฝุ่นถามเสียงห้าว ขณะที่เขากำลังเลื่อนตัวไปชิดประตู“อย่าพึ่ง! มันยังเร็วเกินไป” สารวัตรห้ามเสียงเข้ม “เรายังไม่รู้ว่าพวกมันมีเท่าไหร่ ขืนโจมตีตอนนี้อาจเปิดโอกาสให้พวกมันไล่ต้อนเราได้” เขาพูดตามประสบการณ์และจากการฝึกมาไต้ฝุ่นสบถออกมาเบาๆ แต่ก็ยอมฟังคำสั่งโดยดี ในที่นี้นอกจากคุณสารวัตรก็คงมีเพียงพี่ริวที่ดูจะพอมีประสบการณ์กับเรื่องเสี่ยงตายแบบนี้มาบ้าง“เอาแบบนี้” รุยเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวฉันกับไต้ฝุ่นจะยิงเปิดทาง ให้พวกมันชะลอความเร็ว ส่วนฮิลล์ นายขับให้ถึงทางแยกที่เราเตรียมไว้เร็วที่สุด”ฮิลล์พยักหน้า “รับทราบ”“ส่วนแก” รุยหันมาทางผม ดวงตาของเขาทอแววครุ่นคิด “อย่าลืมว่าเราต้อง
….ด้านของไต้ฝุ่น…..เสียงลมหายใจหนักๆ ดังอยู่ในตรอกแคบไต้ฝุ่นขยับตัวหลบอยู่หลังถังขยะโลหะเก่าๆ มือของเขากำปืนแน่น เลือดจากบาดแผลเล็กๆ บนแขนซึมออกมาผ่านแขนเสื้อเขาหันไปมองรอบๆ ศัตรูยังอยู่ใกล้ๆ ประมาณสามคน พวกมันกำลังเดินลาดตระเวน พยายามหาเขาเชี่ยเอ๊ย!… ดันพลาดจนได้ตอนที่พวกเขากำลังจะขึ้นรถ มีพวกมันคนหนึ่งกระโจนเข้าใส่เขาจากด้านหลัง ไต้ฝุ่นพลิกตัวต่อสู้ แต่พวกมันอีกสองสามคนก็เข้ามาล็อกตัวเขาไว้ การดิ้นรนทำให้เขาพลาดจังหวะขึ้นรถไป แต่เอาจริงใจร่างกายเขามันไม่สามารถก้าวขาขึ้นรถได้เมื่อเห็นว่าหมอนั่นไม่ยอมไปด้วยไต้ฝุ่นหลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาดูเย็นเยียบและสงบนิ่งเขาแนบตัวกับเงามืด ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามตรอกอีกด้านหนึ่ง ริวกำลังยืนอยู่บนหลังคาของตึกเตี้ย ใกล้ๆ กัน…เขามองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง ดวงตาคมกริบกวาดมองสถานการณ์ด้านล่างเขาเห็นกลุ่มศัตรูที่กำลังตามหาไต้ฝุ่น เห็นไต้ฝุ่นที่กำลังหลบซ่อน และที่สำคัญ… เขาเห็นกลุ่มกำลังเสริมที่กำลังมุ่งหน้ามายังที่นี่“…เร็วเกินไป” ริวพึมพำเขาคิดไว้แล้วว่าหน่วยของสารวัตรจะต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะเร่งกำลังเส
ผม รุยและฮิลล์ที่ตอนนี้พวกเราอยู่ภายในห้องประชุมของหน่วยสืบสวนพิเศษ กำลังตั้งใจฟังสารวัตรพูดโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อหลังจากพวกเราทราบข่าวว่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้เข้าช่วยเหลือพี่ริวกับรุยแล้ว คุณสารวัตรจึงพาพวกผมมารอกันที่นี่แทนไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ริวกับไต้ฝุ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง พวกผมยังไม่กล้าติดต่อบอกใครสักคน ถ้าคุณลุงรู้เรื่องนี้ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าสภาพผมกับไต้ฝุ่นจะเป็นยังไง“ทีมบอกเจอตัวสองคนนั้นแล้ว กำลังพามาที่นี่”ฟู่ววว~พวกผมสามคนที่รอฟังข่าวแทบทรุดลงกับพื้น เหมือนอะไรที่หนักๆ ถูกยกออกไปจากอก“ปลอดภัยทั้งสองไหมคุณสารวัตร” ผมถามออกไปอย่างไม่วางใจชิ้ง~สายตาเย็นเฉียบถูกส่งมายังผม…นี่ผมทำอะไรผิดเหรอ ผมแค่ห่วงเพื่อนเองนะผมยืนงงอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันและกลิ่นบุหรี่จางๆ จากที่ไหนสักแห่ง ผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังเครียดเพราะเรื่องของไต้ฝุ่นกับพี่ริว หรือเพราะสายตาเย็นชาของสารวัตรที่จ้องมากันแน่“ดูเป็นห่วงกันดีนะครับ”น้ำเสียงเย็นเฉียบของสารวัตรทำให้ผมชะงักไปชั่วขณะ รุยที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองผมนิดหนึ่งก่อนจะปรายตาไปที่สารวัตรด้วยสายตาไม่สบอารมณ์นัก“แปลกตรงไหนเหรอครับที่เ
ผมหรี่ตามองพี่ริวและไต้ฝุ่นสลับกัน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆทำไมพวกเขาดูสนิทกันเกินไป…ปกติพี่ริวจะไม่ปกป้องใครขนาดนี้โดยเฉพาะไต้ฝุ่นที่นานๆ เจอกันที…แต่ผมยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แค่เก็บความสงสัยไว้ในใจสารวัตรไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ข้างหลังส่งโทรศัพท์ไปให้ฝ่ายเทคนิคตรวจสอบ“หวังว่ามันจะมีประโยชน์” น้ำเสียงของเขายังเย็นชาเช่นเคยผม รุย และฮิลล์สบตากันเล็กน้อย รุยพ่นลมหายใจพรืด ก่อนจะยกแขนกอดอก เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ขณะที่ไต้ฝุ่นยักไหล่นิดๆ เหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่ผมรู้ดีว่าเขากำลังสังเกตทุกคนในห้องผมชอบที่เขาจริงจังกับงานนะ แต่ผมไม่ชอบที่ตอนนี้เขามองข้ามผมเหมือนเป็นอากาศธาตุพี่ริวเท้าคางกับโต๊ะ นัยน์ตาคมเข้มของเขาดูเหนื่อยล้า แต่ยังแฝงไปด้วยความเคร่งขรึม เขาถามออกมา “พวกผมจะกลับได้เมื่อไหร่?”“ขึ้นอยู่กับว่าหลักฐานที่ให้มาเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน” สารวัตรปรายตามองหน้าพี่ริว มือของเขายกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะพ่นควันสีเทาออกมาเป็นสาย สร้างบรรยากาศอึมครึมไปทั่วห้องผมเม้มริมฝีปาก ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยให้ตาย!สารวัตรกับพี่ริวเล่นเกมจ้องตากันไม่เลิก แต่ไ
พี่ริวให้ทนายมาจัดการเรื่องทางกฎหมายของเหตุการณ์ยิงปะทะเดือดที่เกิดขึ้น ตำรวจกันพวกผมไว้เป็นพยาน แต่กว่าจะเคลียร์เรื่องเสร็จก็กินเวลามาจนสายๆ ของวันใหม่ ฮิลล์ รุย ไต้ฝุ่นและพี่ริวจึงแยกกลับไปนอนกันก่อนทุกคนผ่านเรื่องราวหนักๆ มาจนล้ากันทั้งคืน รวมทั้งสารวัตรด้วย แต่เขากลับอยู่เคลียร์งานต่อราวกับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นคนมันก็ต้องพักป่ะวะผมมองสารวัตรที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก้มหน้าก้มตาเคลียร์เอกสารกับจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ราวกับว่าเขาไม่ได้อดหลับอดนอนมาทั้งคืนเหมือนผม“คุณไม่คิดจะพักบ้างเหรอ?” ผมอดถามออกไปไม่ได้สารวัตรเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจกองแฟ้มต่อ “เดี๋ยวก็ได้พักเอง”“ตอนไหน? ตอนร่างพังเหรอ?” ผมขมวดคิ้ว“ไม่ถึงขนาดนั้น” เขายักไหล่ ก่อนจะหยิบบุหรี่มาคาบไว้ที่ริมฝีปาก ปกติผมไม่เคยเห็นเขาสูบเลย เรื่องที่เกิดขึ้นคงทำให้เขาลำบากใจมาก“คุณสารวัตร” ผมเอ่ยเสียงจริงจัง “ถ้าไม่พักแล้วจะเอาแรงจากไหนมาสืบสวนต่อ?”เขาหรี่ตามองผมนิดๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “จะว่าไป…นายเองก็ยังไม่กลับไปนอนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”“ผมแค่หงุดหงิดที่เห็นคนทำงานหนักเกินไ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส
…ด้านไซโคลน….ผมเดินออกจากห้องทำงานของสารวัตรด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ ทุกอย่างมันชัดเจนในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สับสนจนแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ทุกๆ อย่างที่ทำไปมันยังไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ“ผมเหนื่อย…มาก…” เสียงของผมดังในหัวผมเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้ว…เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่วิ่งตามเขา ผมมักจะเป็นคนแรกที่เขาเลือกจะตัดทิ้งง่ายๆ นั่นมันก็แสดงชัดเจนแล้วว่าผมควรหยุดได้แล้ว…ผมเดินไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองห้องทำงานนั้น ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นความเจ็บปวดในแววตาของผมในตอนนี้ ความรู้สึกที่คล้ายกับการถูกทอดทิ้ง มันร้อนรุ่มอยู่ในอก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางจะถึงผมกดปุ่มลิฟต์และยืนรอจนประตูเปิดออก ความรู้สึกข้างในมันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังแหลกสลายไปกับทุกก้าวที่เดิน ใจผมมันโหวงและว่างเปล่าบอกไม่ถูกเมื่อถึงชั้นล่างผมเดินออกจากอาคารโดยไม่คิดจะหยุดกลับไปมอง หัวใจของผมมันบีบคั้นจนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมหยุดตรงมุมถนนและมองไปที่ท้องฟ้า เหมือนกับกำลังมองหาคำตอบจากสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งที่ทำล
คดีของพ่อผมถูกปิดลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไร เราทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง เขามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา พ่อผมอาจจะไม่ได้ซัดทอดใครออกมา แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความจริงบางอย่างได้ พวกเรายังเอื้อไปไม่ถึงตัวการใหญ่นั้นพี่ชายของผมทุกคนก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่พ่อทำ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงพยายามช่วยเหลือพ่อในทุกทางที่ทำได้ ไม่มีใครโกรธผมที่ต้องทำหน้าที่จับพ่อ แม้ความรู้สึกจะหนักหน่วงแค่ไหน พวกเขาก็ยอมรับมันได้พวกเขาเห็นสิ่งที่พ่อเคยสอนและปลูกฝังในตัวผมมาตลอดชีวิต….แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ข่าวของพ่อที่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมก็ถูกกลบไปอย่างเงียบๆ ทุกอย่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยข่าวใหม่ ที่มันเหมือนจะกระทบกับทุกคนรอบตัว ข่าวนั้นเป็นเรื่องของการชิงตัวนักโทษระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฝากขังสองคน และเหมือนจะเป็นการกระทำของแก๊งต่างชาติที่มีอิทธิพลข่าวนี้มันกลบข่าวของพ่อไปจนเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ตำรวจถูกเหยียบย่ำอีกครั้ง หลังจากการสืบสวนคดีของพ่อผมคดีที่มันทำให้พวกเราเปิดเผยถึงบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้… แต่ตอนนี้…ทุ
….สไนเปอร์ Talk….ผมพยายามเจรจากับผู้บังคับบัญชาจนตัวเองยังสามารถอยู่ในคดีนี้ต่อได้ และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอให้คนพาพ่อมาสอบสวนสักพักเจ้าหน้าที่สองนายก็พาตัวพ่อซึ่งถูกสวมกุญแจมือ เข้ามายังห้องสอบสวน เขายังคงใส่ชุดของเมื่อคืนอยู่แววตาของเขาดูล้าเล็กน้อย…“พ..พ่อ…” มันยากมากที่เสียงจะหลุดออกจากลำคอของผมตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นเขาโทรมแบบนี้มาก่อน แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอแล้วดูสิ….วันนี้เขากลับอยู่ในสภาพแบบนี้ คนเป็นลูกแบบผมควรทำอย่างไรระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ผมควรเลือกสิ่งไหน…พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วพูดช้าๆ“ฉันเห็นแกแล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลย”ประโยคสุดท้ายที่เขาพูด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากข้างในบุคลิก ความคิด นิสัย ผมล้วนสืบทอดมาจากเขาทั้งนั้น…พ่อมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง เท้าแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ดูจะเล็กไปสำหรับเขา“แกจะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเงียบผมเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่กุญแจมือที่ล่ามเขาไว้“…ทำไม?” ผมถามเสียงแผ่ว “ทำไมพ่อต้องทำเรื่องพวกนี้?”พ่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาคม